อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2110 นี่คือพละกำลังของเทพเจ้า?
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2110 นี่คือพละกำลังของเทพเจ้า?
จางเซวียนเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ล้ำลึกและมืดมิด แต่ไม่มีอะไรให้เห็น
“จนกว่าสะพานเบื้องบนจะลงมา ไม่มีทางที่ใครจะเหยียบย่างเข้าสู่หอเทพเจ้าได้ นั่นก็เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่นักรบคนไหนจะฝ่าปราการเบื้องบนเข้าไป ปราการเบื้องบนคือสิ่งที่เหล่าเทพเจ้าทิ้งไว้ ต่อให้นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อย่างพวกเราก็ไม่อาจแตะต้องมัน” หานเจี้ยนชิวพูด
เพื่อพิสูจน์คำพูดของเขา เขารวบรวมกระแสดาบฉีไว้ที่ปลายนิ้วและชี้ขึ้นไป
กระบวนท่านั้นประกอบด้วยพละกำลังเต็มพิกัดและความเข้าใจอันล้ำลึกในศิลปะเพลงดาบ มันพุ่งเข้าใส่ราวกับสายฟ้าฟาด แต่เมื่อพุ่งขึ้นไปได้เพียง 10 เมตร ก็เกิดเสียงป๊อบ แล้วสลายตัวไปทันที
มันหายไปอย่างรวดเร็วและง่ายดายจนเกือบจะเหมือนไม่เคยมีอยู่
จางเซวียนเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
ขนาดการโจมตีอย่างเต็มกำลังจากหานเจี้ยนชิวก็ยังฝ่าปราการเบื้องบนไม่ได้ หากเป็นตัวเขาเอง คงมีโอกาสน้อยลงอีก
“แม้แรงกดดันจากโขดหินสมอสวรรค์จะมากมายมหาศาล แต่ก็ยังมีนักรบมากมายในทวีปที่ถูกลืม ที่พากันเดินทางมาที่นี่ นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ส่วนใหญ่ที่ใกล้หมดอายุขัยแล้วจะมาเยือนที่นี่เพื่อหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเองได้ แต่ไม่เคยมีใครทำสำเร็จ เมื่อเวลาผ่านไป ก็ไม่มีนักรบคนไหนอยากมาที่นี่อีกเลย” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวเสริม
ในเมื่อมันเป็นความพยายามที่สูญเปล่า นักรบส่วนใหญ่จึงคิดว่าใช้เวลาที่เหลืออยู่กับสมาชิกในครอบครัวน่าจะดีกว่า เพราะทุกวินาทีที่พวกเขาต้องสูญเสียอายุขัยที่เหลืออยู่ไปถือว่ามีค่ามาก
จางเซวียนเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง
แม้เขาจะมองไม่เห็นปลายอีกด้านหนึ่งของปราการเบื้องบนที่เป็นผลงานของเทพเจ้า แต่ก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่แผ่ลงมาจากเบื้องบน แรงกดดันนั้นทำให้เขาไม่มั่นใจว่าจะข้ามผ่านมันไปได้ ต่อให้สำเร็จวรยุทธเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เหมือนคนอื่นๆก็ตาม
ปราการเบื้องบนทำให้เขาเกิดความรู้สึกอับจนหนทาง เหมือนมนุษย์กระจ้อยร่อยที่ยืนอยู่ตรงหน้าเทพเจ้า แม้เขาจะใช้ทุกวิถีทาง ก็ไม่อาจเคลื่อนย้ายปราการได้
มดตัวหนึ่งไม่มีวันเขย่าต้นไม้ใหญ่ได้
นี่คือพละกำลังของเทพเจ้า? จางเซวียนครุ่นคิดอย่างระแวง
ไม่สงสัยแล้วว่าทำไมหอเทพเจ้าถึงมีอำนาจสูงส่งอย่างที่ไม่มีใครสั่นคลอนได้ ลำพังแค่ปราการนี้ก็เกินพอที่จะทำลายความมั่นใจของทุกคนแล้ว
น่าสงสัยมากว่าผู้ก่อตั้งสำนักดาบเมฆเหินและปรมาจารย์ขงผ่านบททดสอบนี้ไปได้อย่างไร
“ต้องขอบอกว่าผมประหลาดใจมากที่พวกคุณขึ้นมาได้ถึงที่นี่…”
ขณะที่ความคิดของจางเซวียนกำลังล่องลอยไป เสียงคำรามเย็นเยียบก็ดังขึ้นกลางอากาศ เมื่อหันไปมอง พวกเขาเห็นเจ้าสำนักป้อมปราการกระจกดำ, ไป่ซวนเฉิง กับเจ้าสำนักอมตะเลือนหาย, กู้จุ้ยอวิ๋นบินขึ้นมา
ชายวัยกลางคนอีกคู่หนึ่งตามพวกเขามาติดๆ
ทั้งคู่น่าจะเป็นตัวแทนของอัจฉริยะที่เข้าร่วมการทดสอบสะพานเบื้องบน
“พวกคุณต้านทานแรงกดดันไหวหรือ?” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนขมวดคิ้ว
นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ทุกคนในกลุ่มของพวกเขาไม่อาจต้านทานแรงกดดันที่ความสูงเกินกว่า 80% ได้ เป็นเพราะจางเซวียนออกเดินทางไปล่วงหน้าและระงับแรงกดดันไว้ได้ 2 อึดใจ พวกเขาจึงปีนป่ายขึ้นมาได้สำเร็จ
ในเมื่อเป็นแบบนั้น แล้วสองอัจฉริยะจากสำนักป้อมปราการกระจกดำกับสำนักอมตะเลือนหายขึ้นมาโดยง่ายดายได้อย่างไร?
ศิษย์สายตรงจาก 2 สำนักนี้เป็นผู้ทรงพลังตั้งแต่เมื่อไหร่?
“แน่นอน แรงกดดันแค่นั้นไม่ส่งผลอะไรกับอัจฉริยะของเราหรอก…”ไป่ซวนเฉิงคำรามเยาะ
ทันทีที่พูดจบ จางเซวียนก็สวนคำ “เป็นเพราะเกราะของพวกเขา”
ทุกคนหันขวับไปจ้องชายวัยกลางคนทั้งคู่ เห็นเกราะสีดำสนิทที่โดดเด่นเตะตา
มีลายเส้นประหลาดจารึกไว้บนเกราะนั้น ดูคล้ายกับอักษรจารึกที่อยู่บนโขดหินสมอสวรรค์
ก็เพราะเกราะนี้ที่ทำให้พวกเขาไม่สะทกสะท้านกับแรงกดดันที่มาจากโขดหิน
ได้ยินคำพูดของจางเซวียน ไป่ซวนเฉิงจ้องหน้าเขาอย่างตั้งอกตั้งใจก่อนจะค่อนแคะ “สมกับเป็นเจ้าสำนักจางผู้ยิ่งใหญ่”
จางเซวียนไม่ใส่ใจคำยั่วยุของไป่ซวนเฉิง เขาหันไปพิจารณาอัจฉริยะทั้งสองคนอีกครั้ง
แม้ชายวัยกลางคนทั้งคู่จะมีวรยุทธระดับเดียวกันกับผู้อาวุโสหงอู่และคนอื่นๆ แต่รังสีของพวกเขาเฉียบคมและสง่างามกว่ามาก แทบจะเหมือนกับ…
นักรบจากหอเทพเจ้า? จางเซวียนครุ่นคิดพร้อมกับขมวดคิ้ว
แน่นอนว่ายังคงมีความแตกต่างอยู่บ้าง แต่ความรู้สึกที่เขาได้รับจากสองคนนั้นแทบจะเหมือนกันเป๊ะกับเหล่านักรบจากหอเทพเจ้า
“ในเมื่อเจ้าสำนักจางมีสายตาเฉียบแหลม ไม่ทราบว่าผมจะขอรบกวนให้คุณชี้ตัวหัวขโมยที่ขโมยของล้ำค่าของผมที่ทะเลคันฉ่องน้อยได้ไหม?” ไป่ซวนเฉิงพูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
จางเซวียนตอบไป่ซวนเฉิงอย่างสุขุม “คุณเกือบจะถูกเต่าหลังดำสังหารตอนที่ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวกับผมช่วยชีวิตคุณไว้ แต่พวกเราก็ไม่ใช่นักบุญนะ ในเมื่อพวกเราช่วยชีวิตคุณไว้ ก็ถูกต้องแล้วไม่ใช่หรือที่คุณควรจะชดเชยให้?”
ไป่ซวนเฉิงหรี่ตาด้วยความโมโห
เขาตะหงิดใจว่าจางเซวียนจะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และพูดตามตรง ก็ไม่คิดว่าทั้งคู่จะยอมรับ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ใช่พฤติกรรมที่ดูดีนัก
แต่ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มจะยอมรับหน้าตาเฉย…
ขโมยสมบัติของผมไปแล้ว คุณยังมีหน้าพูดออกมาได้ ราวกับกำลังจะโอ้อวด…ไม่มีความอับอายเลยหรือไง?
“เจ้าสำนักจาง คุณควรจะรู้นะว่าทั้ง 6 สำนักมีความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกัน คุณขโมยของล้ำค่าและแหวนเก็บสมบัติของเจ้าสำนักไป่ นั่นคือพฤติกรรมคุกคาม คุณกำลังทำลายความกลมเกลียวของ 6 สำนักและอาจก่อให้เกิดสงครามทีเดียวนะ” กู้จุ้ยอวิ๋นพูดอย่างจริงจัง
“แล้วคุณคิดว่าพวกเราควรทำอย่างไร?” จางเซวียนย้อนถาม
“อันดับแรกสุด คุณควรคืนทุกอย่างที่นำไปจากเจ้าสำนักไป่ จากนั้นก็กล่าวขอโทษเขาเสีย” กู้จุ้ยอวิ๋นตอบ
“กล่าวขอโทษ?” จางเซวียนทวนคำก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “ผมก็ไม่มีปัญหานะ”
จากนั้นเขาก็โบกมืออย่างวางมาด
ฟึ่บ!
เต่าหลังดำปรากฏตัวตรงหน้าจางเซวียนและพุ่งเข้าใส่ไป่ซวนเฉิง
จางเซวียนกำลังคิดอยู่ว่าจะหาทางเปิดโปงเรื่องที่สำนักอมตะเลือนหายกับสำนักป้อมปราการกระจกดำสมรู้ร่วมคิดกับหอเทพเจ้าได้อย่างไร แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเปิดสงครามก่อน ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องปิดปากเงียบ
“คุณจะทำอะไรน่ะ?” ไป่ซวนเฉิงถึงกับผงะ
เมื่อครู่นี้อีกฝ่ายยังพูดว่าจะขอโทษ ทำไมจู่ๆถึงนำเต่าหลังดำออกมา?
“อ๋อ ผมก็แค่จะรื้อฟื้นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเท่านั้นแหละ ผมจะขอโทษคุณอย่างแน่นอนถ้าคุณเอาตัวรอดได้” จางเซวียนหัวเราะหึๆ
“ถ้าผมไม่ติดกับดักของเต่าหลังดำ คุณคิดว่าด้วยประสิทธิภาพการต่อสู้ของมัน มันจะทำให้ผมบาดเจ็บได้หรือ?” ไป่ซวนเฉิงคำราม
เขาเงื้อมือขึ้น จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่เต่าหลังดำ
ถ้าไม่ใช่เพราะฝูงแมลงเม่าที่อยู่ในทะเลคันฉ่องน้อย เขาก็ไม่มีทางจนมุม
อีกอย่าง เต่าหลังดำย่อมเสียเปรียบหากต้องต่อสู้บนพื้นดิน คงน่าอับอายมากถ้าเขาเอาชนะมันในสภาพแบบนี้ไม่ได้!
ไป่ซวนเฉิงคำรามก้อง ลมหอบใหญ่พัดวู่หวิวรอบฝ่ามือของเขา
เต่าหลังดำยังไม่ได้กลับคืนร่างเดิม ตอนนี้มันจึงมีขนาดราว 2 เมตร พละกำลังของมันลดลงมากเพราะขนาดที่เล็กลง แต่ในขณะเดียวกันก็เคลื่อนไหวได้ว่องไวกว่าเดิม
“ก้าวออกไปข้างหน้า 3 ก้าวแล้วโจมตีจากทางขวา” จางเซวียนสั่งการ
ไป่ซวนเฉิงเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์มาหลายปีแล้ว ในสภาวะปกติ เป็นเรื่องยากที่เต่าหลังดำจะเอาชนะเขา แต่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อมีคำชี้แนะของจางเซวียน
เพียงไม่ถึง 1 นาที ใบหน้าของไป่ซวนเฉิงก็บวมฉึ่ง ร่างของเขาถูกกระดองเต่าขนาดใหญ่อัดน่วม ซี่โครงหักหลายแห่ง
“เจ้าสำนักจาง คุณจะเปิดศึกที่นี่ใช่ไหม?” กู้จุ้ยอวิ๋นไม่อาจทนดูอีกต่อไป
“ที่นี่ก็มีศึกอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? ผมต้องเริ่มด้วยหรือไง?” จางเซวียนย้อนด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ในเมื่อผมจะคืนของล้ำค่าให้เขา ผมคิดว่าก็ยุติธรรมดีที่ผมจะถอนการกระทำของผมที่เคยช่วยชีวิตเขากลับคืนมาด้วย ในครั้งนั้น เจ้าสำนักไป่ถูกเต่าหลังดำเล่นงานจนสลบตอนที่ผมเข้าไปช่วยชีวิตเขาไว้ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่รับรู้อะไรเลย ไม่ต้องห่วง ผมรู้แล้วว่าคราวนี้จะเข้าไปตอนไหน หรือไม่ คุณก็แค่เรียกร้องให้ผมกล่าวขอโทษเขาอีกที ถ้าเขาผ่านการทดสอบครั้งนี้ไปได้ คุณวางใจเถอะว่าผมจะคืนของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ให้สำนักป้อมปราการกระจกดำ และกล่าวขอโทษต่อหน้าป้ายหลุมฝังศพของเขา!”
คำพูดนั้นทำให้ไป่ซวนเฉิงกระอักเลือดกองใหญ่ออกมา
จะมีของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ไปเพื่ออะไรถ้าเขาตายไปแล้ว?
“คุณ…” กู้จุ้ยอวิ๋นหน้าดำคร่ำเครียด “คุณคิดบ้างไหมว่าการสังหารเจ้าสำนักป้อมปราการกระจกดำจะก่อให้เกิดอะไรตามมา?”
“คุณกำลังทำให้สำนักป้อมปราการกระจกดำเป็นศัตรูกับคุณนะ!”
“ทำให้พวกเขาเป็นศัตรูกับผม? ผมจะทำแบบนั้นไปทำไม? หลังจากไป่ซวนเฉิงตาย ผมก็จะมุ่งหน้าสู่สำนักป้อมปราการกระจกดำและรับตำแหน่งของเขา ดูเหมือนตราสัญลักษณ์เจ้าสำนักของเขาก็อยู่ในมือผมนะ และเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น ผมจะเปิดเผยคำประกาศเจตจำนงของเขาที่ส่งต่อตำแหน่งเจ้าสำนักให้ผมด้วย…” จางเซวียนหัวเราะหึๆ
“ในฐานะผู้ที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับความสงบสุขของโลกใบนี้ ผมไว้ใจว่าเจ้าสำนักกู้คงไม่เปิดโปงผมและทำให้ทั้งโลกต้องเสี่ยงกับการเข้าสู่ภาวะวิกฤต จริงไหม?”
ตอนที่จางเซวียนนำแหวนเก็บสมบัติของไป่ซวนเฉิงออกมาเมื่ออยู่ที่ทะเลคันฉ่องน้อย ตราสัญลักษณ์ของป้อมปราการกระจกดำก็อยู่ในนั้นด้วย
ตอนแรกเขาตั้งใจจะส่งคืน แต่ถ้าไป่ซวนเฉิงสมรู้ร่วมคิดกับหอเทพเจ้าจริงๆ ทุกอย่างจะกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ตราบใดที่เขายังมีตราสัญลักษณ์เจ้าสำนักอยู่ในมือ ก็คงไม่ยากเกินไปที่จะทำให้ใครๆเข้าใจว่าไป่ซวนเฉิงเต็มใจมอบตำแหน่งให้เขา
ตอนนี้เขาเป็นผู้นำของ 4 สำนักแล้ว ซึ่งก็ไม่รังเกียจอะไรที่จะรับสำนักป้อมปราการกระจกดำไว้อีกสำนักหนึ่ง
“คุณ…”
กู้จุ้ยอวิ๋นคิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะร้ายกาจขนาดนี้ เขาหรี่ตาและก้าวเข้าไปเพื่อจะช่วยชีวิตไป่ซวนเฉิงจากเต่าหลังดำ แต่แล้วก็รู้สึกเย็นเยือกถึงกระดูกสันหลัง
เขาหันกลับไป เห็นหานเจี้ยนชิว คุ่ยเฉี่ยว และฉิงหย่วนกำลังจับจ้องเขาด้วยนัยน์ตาคมกริบ
“เจ้าสำนักกู้ นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเขา ผมไม่คิดว่าการที่คนนอกอย่างคุณเข้าไปยุ่งเกี่ยวจะเป็นเรื่องเหมาะสมนะ”
รู้ดีว่าทั้งสามจะต้องโจมตีเขาแน่หากเขาเข้าไปก้าวก่าย กู้จุ้ยอวิ๋นจึงชะงักฝีเท้า
ทุกคนล้วนเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะต้องลงเอยด้วยสภาพเดียวกับไป่ซวนเฉิงแน่หากต้องเผชิญหน้ากับทั้งสามพร้อมกัน
“จะ-เจ้าสำนักจาง ช่วยผมด้วย…ผมผิดไปแล้ว! ผะ-ผมจะไม่ขอให้คุณกล่าวขอโทษผมอีก ผมไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติพวกนั้นอีกแล้วล่ะ มันเป็นของคุณทั้งหมดเลย!”