อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2197 นายหญิงน้อย
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2197 นายหญิงน้อย
ท่านอาจารย์ของเขาท้าทายคนของน่านฟ้าเสรีได้สักพักแล้ว แต่ไม่มีคำตอบจนกระทั่งตอนนี้ แต่เมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาได้ข่าวว่าเธอผู้นั้นลงไปยังโลกเบื้องล่างมาระยะหนึ่ง และทันทีที่กลับมา ก็นัดวันเวลาของการดวลทันที
นี่อาจเป็นสัญญาณที่ยืนยันว่าเธอเตรียมตัวพร้อมแล้วและมั่นใจว่าจะได้ชัยชนะ
ในการต่อสู้ระหว่างสองฝ่ายที่มีพละกำลังทัดเทียมกัน ปัจจัยที่เป็นตัวตัดสินแพ้ชนะมักเป็นปริมาณของข้อมูลและความรู้ หากผู้นั้นเข้าใจความสามารถของท่านอาจารย์ของเขาจริงๆ ก็หมายความว่าท่านอาจารย์กำลังเสียเปรียบมาก
“ต่อให้เธอรู้จักความสามารถของผม ก็แล้วอย่างไร? ปราบผมนะไม่ง่ายหรอกนะ!” ผู้อาวุโสมองชายวัยกลางคนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
แม้น้ำเสียงของผู้อาวุโสจะดูสบายๆ แต่ก็ผนวกเอาความมั่นใจไว้ด้วย หลังจากเอาชนะจอมราชันย์ได้หลายคน พละกำลังของเขาก็พุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดของสรวงสวรรค์
“ผมไม่เคยแคลงใจในพละกำลังของท่านอาจารย์ แต่ออกจะสับสนอยู่สักหน่อย…ทำไมคุณต้องสู้กับจอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรีด้วย และทำไมถึงต้องเป็นการดวลแบบชี้เป็นชี้ตาย?”
ชายวัยกลางคนไม่อาจทำความเข้าใจเรื่องนี้ได้
ท่านอาจารย์ของเขาได้การยอมรับจากจอมราชันย์ทั้ง 8 และมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วในฐานะจอมราชันย์คนที่ 10 ของสรวงสวรรค์ เพราะฉะนั้น มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องสู้กับจอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรี?
ทำแบบนี้…มันคู่ควรกับการเอาชีวิตไปเสี่ยงหรือ?
“นี่คือชะตากรรมที่เราทั้งคู่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ คุณคงไม่เข้าใจหรอก” ผู้อาวุโสส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจเฮือก
จากนั้นเขาก็มองชายวัยกลางคนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ถ้าผมเสียชีวิตในการดวล คุณก็แค่รออยู่เงียบๆนะ ยังไม่ต้องเคลื่อนไหวอะไร รอให้ผู้สืบทอดของผมปรากฏตัว และจากนั้นก็ทำตามคำสั่งของเขา”
“ผู้สืบทอด? ผู้สืบทอดของท่านอาจารย์?” ชายวัยกลางคนถามอย่างงุนงง
เขาติดตามท่านอาจารย์มานานแล้ว ผ่านโลกมาก็หลายใบ แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าท่านอาจารย์ของเขามีผู้สืบทอด!
“ใช่ เขามาจากทวีปแห่งปรมาจารย์เหมือนกัน และมีความเก่งกาจพอๆกับผม” ผู้อาวุโสตอบยิ้มๆ
“ไม่ทราบว่าผู้สืบทอดของท่านอาจารย์ชื่ออะไร? เราจะระบุตัวตนของเขาได้ด้วยวิธีไหน?” ชายวัยกลางคนถามต่อ
“คุณพบเขาเมื่อไหร่ก็จะรู้เอง” ผู้อาวุโสตอบด้วยแววตาล้ำลึก “ส่วนชื่อของเขา ผมบอกได้…เขาชื่อจางเซวียน!”
…..
ในเวลาเดียวกัน ในห้องหนึ่งของน่านฟ้าเสรี
ไอน้ำที่จับตัวเป็นก้อนหนาครอบคลุมทั่วทั้งห้อง บดบังสายตาไม่ให้ใครมองเห็นว่ามีอะไรอยู่ข้างใน
เกิดเสียงน้ำกระเซ็น แล้วร่างงดงามไร้ที่ติร่างหนึ่งก็ก้าวขึ้นจากสระน้ำที่อยู่กลางห้อง
ผมดำยาวสลวยตัดกับผิวพรรณละเอียดอ่อนที่ดูเหมือนเพียงแค่สัมผัสก็อาจบุบสลายได้ ร่างนั้นสวยสดงดงามจนยากจะเชื่อว่าจะมีคนแบบนี้อยู่ในโลก
เธอโบกมือด้วยทีท่างามสง่า จากนั้นก็ใช้ผ้าไหมผืนบางปกคลุมร่างไว้
“นายหญิงน้อย!”
แม่สาวคนหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมสีเขียวรีบเดินเข้ามาและยื่นหวีให้สาวสวยคนนั้น
สาวสวยใช้หวีสางผมของเธออย่างช้าๆ ท่วงท่านั้นงามสง่าและดูเป็นธรรมชาติ เป็นที่เจริญตาแก่ผู้พบเห็น
“คุณปล่อยข่าวหรือยัง?” สาวสวยตั้งคำถาม
“ฉันจัดการแล้ว” แม่สาวเสื้อคลุมสีเขียวพยักหน้า
“ปฏิกิริยาตอบรับล่ะ?”
“ตอนนี้ยังไม่มีอะไร” แม่สาวเสื้อคลุมสีเขียวส่ายหัว เธอครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “แต่ว่า…นายหญิงน้อย เราได้พบสิ่งที่คุณถามถึงแล้ว”
“ฮะ?”
นัยน์ตาของสาวสวยเป็นประกายระยิบระยับ เธอหยุดสางผมและหันหน้ามา ส่งสัญญาณให้แม่สาวเสื้อคลุมสีเขียวเล่าต่อ
“ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อจางเซวียนปรากฏตัวขึ้นในเมืองตะวันรอน ตัวเขากับเหล่าศิษย์สายตรงปราดเปรื่องมาก ถึงขนาดที่เมื่อพวกเขาตระเวนไปทั่วภูเขาสวรรค์สร้างเพื่อตามหารังสีสวรรค์ ก็ทำให้ระฆังแห่งราชันย์ผู้ทรงเกียรติดังขึ้นหลายครั้ง!” แม่สาวเสื้อคลุมสีเขียวรายงาน
“ใช่เขาจริงๆ…” สาวสวยพึมพำขณะยิ้มหวาน
“นายหญิงน้อย คุณตั้งใจจะพบเขาไหม?” แม่สาวเสื้อคลุมสีเขียวตั้งคำถาม
รอยยิ้มหวานจับใจเลือนหายกลายเป็นการขมวดคิ้ว สาวสวยลังเล สีหน้าของเธอดูสับสนครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัว “ไม่จำเป็นหรอก ฉันต้องเตรียมการสำหรับการดวลในอีกไม่กี่วันข้างหน้า คงไม่พบใครทั้งนั้น โดยเฉพาะเขา…ฉันเกรงว่าจะทำให้ตัวเองวอกแวก”
“นายหญิงน้อย ขออภัยด้วยที่ต้องพูดแบบนี้ แต่ถ้าคุณหวั่นไหวล่ะก็ ทำไมไม่ถอนตัวจากการต่อสู้เสียล่ะ? จอมราชันย์พิชิตสวรรค์นั้นทรงพลังถึงขนาดเล่นงานจอมราชันย์ที่เหลืออีก 8 คนได้ ฉันกังวลว่า…” แม่สาวเสื้อคลุมสีเขียวพูด
นายหญิงน้อยมีพละกำลังที่เป็นสุดยอดของโลกใบนี้ แต่คู่ต่อสู้ที่เธอกำลังจะเผชิญหน้าก็ไม่ได้อ่อนด้อย
ในระยะเวลาอันสั้นเพียง 40 ปี ชายผู้นั้นก็ก้าวขึ้นมาเป็นชนชั้นนำของสรวงสวรรค์ และกลายเป็นผู้ที่ไม่มีใครไม่รู้จัก
เขาท้าทายจอมราชันย์อีก 8 คน และแม้จะไม่มีใครรู้รายละเอียดของการดวล แต่จากการที่ในที่สุดพวกเขาก็ยอมรับจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ให้เป็นจอมราชันย์คนที่ 10 ก็ชัดเจนแล้วว่าตัวเขาเป็นฝ่ายชนะ
ความสำเร็จของเขาเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของสรวงสวรรค์เลยทีเดียว
อาจดูเหมือนเป็นการตัดสินใจที่ขี้ขลาด แต่การหลบเลี่ยงการต่อสู้ก็ถือเป็นทางเลือกหนึ่ง อีกอย่าง ต่อให้พวกเขาสู้กันก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่ ใครจะชนะหรือแพ้ก็ไม่น่ามีอะไรแตกต่าง แล้วจำเป็นจะต้องใช้การดวลแบบชี้เป็นชี้ตายด้วยหรือ?
“มันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉันต้องฆ่าเขาด้วยน้ำมือของฉันเอง ไม่มีหนทางอื่น…นี่คือภารกิจที่โลกมอบให้ฉัน ฉันไม่อาจปัดความรับผิดชอบครั้งนี้” สาวสวยตอบอย่างเคร่งขรึม
“แต่…”
“คุณไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เรื่องนี้มีการตกลงกันเป็นมั่นเหมาะ และจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมันได้” สาวสวยพูดพร้อมกับโบกมือ “เอาล่ะ ฉันจะเข้าปลีกวิเวกเพื่อการฝึกฝนวรยุทธล่ะนะ…”
เมื่อพูดจบ สาวสวยก็หันหลังกลับแล้วเดินจากไป
“นายหญิงน้อย…”
แม่สาวเสื้อคลุมสีเขียวนึกไม่ถึงว่าเจ้านายของเธอจะดื้อรั้นขนาดนี้ แม้เธอจะไม่ค่อยสบายใจกับสิ่งที่ดำเนินไป แต่ก็ทำได้แค่ถอนหายใจเฮือกใหญ่และเก็บความคิดเห็นต่างๆไว้กับตัว
“ผมรู้มาว่ารังสีสวรรค์ของภูเขาสวรรค์สร้างแบ่งออกได้เป็นหลายระดับขั้น”
หลังจากอิ่มท้องด้วยอาหารโอชะและไวน์ชั้นดี กลุ่มชนชั้นสูงของเมืองตะวันรอนก็จับกลุ่มสนทนาสัพเพเหระพร้อมถ้วยไวน์ในมือ
“เอ้อ พอคุณพูดขึ้นมา ผมก็นึกได้ การทำให้รังสีสวรรค์ขั้นสูงกว่ายอมจำนนน่ะยากกว่ากันมาก แต่รังสีสวรรค์ขั้นสูงก็บริสุทธิ์และมีพละกำลังมาก ช่วยบ่มเพาะพลังงานสวรรค์ของผู้นั้นได้ดีกว่า ทำให้เกิดรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธในอนาคต”
“ผมรู้มาว่า 9 จอมราชันย์เป็นผู้ขัดเกลารังสีสวรรค์ขั้นที่สูงกว่าด้วยตัวเอง จึงมีองค์ประกอบของพละกำลังของพวกเขาอยู่ในนั้น ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่มีสภาวะร่างกายหรือใช้เทคนิควรยุทธที่ต่อต้านอำนาจของจอมราชันย์จะไม่อาจซึมซับมันได้ ดังนั้น จึงมีอัจฉริยะชั้นยอดเพียงหยิบมือที่ทำสำเร็จ”
“พลังจิตวิญญาณเสื่อมถอยมากว่า 40 ปีแล้วนะ และภูเขาสวรรค์สร้างก็เปิดมา 79 ครั้งแล้ว แต่จนถึงวันนี้ มีนักรบเพียง 3 คนเท่านั้นที่ทำให้ระฆังของราชันย์ผู้ทรงเกียรติส่งเสียงได้!”
“เมื่อลองนึกดู พวกเขาก็ดูเหมือนจะเป็นศิษย์สายตรงของจอมราชันย์พิชิตสวรรค์…”
“ผมอยากรู้ว่าคราวนี้ระฆังของราชันย์ผู้ทรงเกียรติจะดังไหม…”
“ไม่น่าจะดังหรอก เพราะผู้ที่จะได้เป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติจะต้องมีสายเลือดที่เหนือชั้นกว่าใครๆ พูดอีกอย่างก็คือ ชะตากรรมของนักรบคนหนึ่งถูกกำหนดมาแล้วตั้งแต่ถือกำเนิด สำหรับเรื่องแบบนี้ ความขยันหมั่นเพียรไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้”
“สายเลือดเป็นตัวกำหนดทุกอย่าง หากปราศจากสายเลือดที่ทรงพลังพอ ต่อให้เก่งกาจปราดเปรื่องแค่ไหน ความสำเร็จของเขาก็จะถูกจำกัด…”
เสียงหารือทำนองนี้ทำให้ผู้คนจำนวนหนึ่งถอนหายใจด้วยความเสียดาย
ได้ยินคำพูดเหล่านั้น จางเซวียนหันไปถามอู๋ฟังชิงด้วยความสงสัย “สายเลือดสำคัญกับนักรบขนาดนั้นเชียวหรือ?”
“ใช่สิ!” อู๋ฟังชิงตอบหนักแน่น “ด้วยสติปัญญา การประสบกับโชคดี และความขยันหมั่นเพียร นักรบธรรมดาสามัญก็มีโอกาสได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง แต่เรื่องพวกนั้นได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่เพียงพอต่อการจะได้เป็นราชันย์เทพเจ้า อุปสรรคนั้นยิ่งใหญ่เกินไป ในแง่ของความเป็นไปได้ โอกาสที่นักรบที่มีสายเลือดแข็งแกร่งกว่าจะได้เป็นราชันย์เทพเจ้านั้นสูงกว่านักรบธรรมดาสามัญถึง 100 เท่า เท่าที่ผมรู้ ในบรรดาราชันย์เทพเจ้ากว่า 100 คนของเก้าเวหา คนเดียวที่เข้าถึงวรยุทธ ระดับราชันย์เทพเจ้าโดยไม่ต้องพึ่งพาสายเลือดก็คือจอมราชันย์พิชิตสวรรค์กับศิษย์สายตรงทั้งสามคนของเขา!”
“ศิษย์สายตรงของจอมราชันย์พิชิตสวรรค์?”
“ใช่ ผมรู้ว่าพวกเขามาจากโลกเบื้องล่าง แต่ไม่มีข้อมูลอื่นนอกเหนือจากนั้น จอมราชันย์พิชิตสวรรค์มีความลับมากมายที่ยังไม่ถูกเปิดเผย” อู๋ฟังชิงตั้งข้อสังเกต
หากคนอื่นพูดถึงจอมราชันย์ในลักษณะนี้ คงถูกตำหนิในความหยาบคาย ซึ่งถ้าจางเซวียนเป็นทายาทของจอมราชันย์จริงๆ เขาก็น่าจะไม่พอใจ
อู๋ฟังชิงจึงจงใจพูดออกมาเพื่อทดสอบปฏิกิริยาของอีกฝ่าย
แต่เขาก็คาดไม่ถึงว่าจะเห็นจางเซวียนแค่พยักหน้าอย่างเงียบๆโดยไม่แสดงออกถึงความผิดปกติใดๆ ยากจะอ่านความคิดของเขาได้
เกิดความเงียบงันครู่หนึ่งก่อนที่จางเซวียนจะถามอีก “ไม่ทราบว่าผมจะขอถามได้ไหมว่าระดับขั้นที่ต่างกันของรังสีสวรรค์จะนำมาซึ่งอะไรบ้าง?”
ที่ผ่านมา จางเซวียนคิดว่ารังสีสวรรค์ที่เขาได้รับในมิติเบื้องบนจะเหมือนกันกับรังสีสวรรค์ของที่นี่ ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันแบ่งออกได้เป็นหลายระดับขั้น
“เอ่อ…พูดตามตรงนะ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ต้องบอกว่ามันเป็นมากกว่าเรื่องราวที่เล่าต่อกันมา ว่ากันว่ารังสีสวรรค์นั้นแบ่งออกเป็นหลายขั้น และมีแต่ผู้ที่มีสติปัญญาและปราดเปรื่องกว่าคนอื่นๆเท่านั้นถึงจะได้รับรังสีสวรรค์ขั้นสูงสุด ซึ่งจะช่วยแผ้วถางหนทางไปสู่ความยิ่งใหญ่…” อู๋ฟังชิงตอบอย่างครุ่นคิดก่อนจะหัวเราะหึๆ
“แต่สุดท้าย เรื่องพวกนี้ก็เป็นแค่สิ่งที่ร่ำลือกัน ถือเอาเป็นจริงเป็นจังไม่ได้…”
ขณะที่อู๋ฟังชิงพูด ประตูของจัตุรัสที่อยู่ด้านหน้าคฤหาสน์เจ้าเมืองก็เปิดออก ร่างหนึ่งปรากฏ
“มีคนกลับจากภูเขาสวรรค์สร้างแล้วหรือ? โดยทั่วไป การทดสอบต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 วันนี่?” จางเซวียนนึกสงสัย
สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างปุบปับทำให้จางเซวียนลุกขึ้นยืนและเดินไปที่ลานบ้านเพื่อดูเหตุการณ์ แต่ฝูงชนที่เหลือดูจะไม่ประหลาดใจ