อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2199 จอมราชันย์?
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2199 จอมราชันย์?
ขณะที่พวกเขากำลังตั้งตารอดูความตกต่ำของจางเซวียน ก็รู้สึกได้ว่ามีร่างอันทรงพลังและมีอำนาจอย่างเหลือเชื่อบีบร่างของพวกเขาไว้จนแทบจะบี้แบน
บึ้มมมม!
ราวกับทั้งโลกถล่มเข้าใส่ ห้องนั้นอบอวลไปด้วยความหวาดกลัวรังสีที่ปรากฏ
“นี่มัน…รังสีของจอมราชันย์?”
ใครคนหนึ่งอุทานออกมา ทุกคนทรุดตัวลงคุกเข่าเพื่อแสดงการคารวะ
“ผมคือจอมราชันย์ฟู่เหมิงแห่งน่านฟ้าทองคำแข็งกล้า จ้าวหย่าคือผู้เหมาะสมต่อการฝึกฝนเทคนิควรยุทธของน่านฟ้าของเรา ผมจะพาเธอไปด้วย…”
เสียงที่ไร้อารมณ์และความรู้สึกใดๆอย่างสิ้นเชิงก้องมาจากผนัง
เสียงนั้นไม่ดังนัก แต่ดูเหมือนจะพุ่งตรงเข้าสู่จิตวิญญาณของทุกคน ผู้ที่ได้ยินเสียงต่างอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวและยำเกรง เมื่ออยู่ต่อหน้าพละกำลังระดับนี้ พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดตอบโต้
“จอมราชันย์?”
“จอมราชันย์รับตัวศิษย์สายตรงของเขาไปหรือ?”
ทุกคนงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาหันมามองชายหนุ่มด้วยนัยน์ตาที่สับสนจนแทบจะคลุ้มคลั่ง
พวกเขาคิดว่าศิษย์สายตรงของชายหนุ่มคงเหมือนกับลูกชายของหวังเสี่ยว คือน่าจะเผลอหลับ หรือได้รับบาดเจ็บอยู่ที่ไหนสักแห่งในภูเขาสวรรค์สร้าง ใครจะไปคิดว่าแท้ที่จริงแล้วเธอเข้าตาจอมราชันย์ ทำให้อีกฝ่ายถึงกับลงมารับด้วยตัวเอง!
ที่สำคัญกว่านั้น จอมราชันย์ยังถึงกับทิ้งข้อความเพื่ออธิบายสถานการณ์ไว้ด้วย…
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่จอมราชันย์จำเป็นต้องอธิบายการตัดสินใจของพวกเขากับใครๆ?
เกียรติยศครั้งนี้ยิ่งใหญ่กว่าเรื่องอื่นใดในโลก!
พวกเขากำลังคิดจะใช้โอกาสนี้เย้ยหยันจางเซวียน ใครจะไปรู้ว่าเหตุการณ์จะพลิกผันอย่างที่เห็น?
แต่ละคนหันขวับมามอง คาดว่าจะได้เห็นชายหนุ่มเสียอาการเพราะความยินดีปรีดา แต่สิ่งที่ได้เห็นคือชายหนุ่มขมวดคิ้วเป็นร่องลึกกว่าเดิม
เขาหน้าดำคร่ำเครียดราวกับมีหมึกเปื้อนใบหน้า
ศิษย์สายตรงคนหนึ่งถูกจอมราชันย์รับตัวไปบ่มเพาะด้วยตัวเอง…ไม่มีเกียรติยศไหนจะยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว เขาควรจะมีความสุขจนแทบกระโดดโลดเต้นไม่ใช่หรือ?
ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้น?
“นายน้อยจางเซวียน รีบกล่าวคำขอบคุณจอมราชันย์สำหรับความเมตตาของเขาสิ…” อู๋ฟังชิงกระตุกแขนเสื้อของจางเซวียนและออกปากเร่ง
จะทำให้ใครขุ่นเคืองใจก็ทำได้ แต่สำหรับจอมราชันย์…
ไม่มีใครในโลกนี้จะช่วยชีวิตเขาได้หากจอมราชันย์โกรธกริ้วขึ้นมา!
แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ เสียงเกรี้ยวกราดของชายหนุ่มก็ดังก้องไปทั่วทั้งห้อง “บ้าแล้ว! จอมราชันย์โอหังมาจากไหนถึงกล้าพาคนของผมไปโดยไม่ได้รับอนุญาต พวกเขาเป็นจอมโจรที่ไม่มีเกียรติยศศักดิ์ศรีเลยหรือไง?”
จางเซวียนโมโหจนแทบตัวระเบิด
จอมราชันย์คิดว่าพวกเขาจะทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจงั้นสิ?
นี่คือศิษย์สายตรงของเขานะ! จะพาเธอไปโดยไม่บอกไม่กล่าวเขาเลยได้อย่างไรกัน? ไร้ยางอายที่สุด!
“นายท่าน…”
ได้ยินคำนั้น จางเจี้ยแทบปล่อยโฮ
คุณย้ำผมครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ใช่หรือว่าให้นอบน้อมและเก็บเนื้อเก็บตัว?
แต่แล้วคุณก็กลับลืมตัวจนถึงกับติเตียนจอมราชันย์เมื่ออีกฝ่ายพาลูกศิษย์ของคุณไปโดยไม่บอกไม่กล่าว…แบบนี้หรือที่เรียกว่านอบน้อมและเก็บเนื้อเก็บตัว?
ต่อให้จอมราชันย์จะไม่ลดตัวลงมาต่อสู้กับคุณก็เถอะ แต่มันถูกแล้วหรือที่จะหยามหน้าอีกฝ่ายอย่างเปิดเผยขนาดนี้?
ขณะที่จางเจี้ยเกือบลมจับด้วยความตกใจ ก็เห็นนายน้อยเขียนชื่อของเจิ้งหยางลงไปบนผนัง
ทันทีที่เขียนเสร็จ รังสีทรงพลังอีกสายหนึ่งก็ระเบิดออกมา
“ผมคือจอมราชันย์โจวหยางแห่งน่านฟ้าตะวันแผดเผา เจิ้งหยางมีความเหมาะสมกับเทคนิควรยุทธของน่านฟ้าตะวันแผดเผาของเรา ผมจึงมารับตัวเขาไป”
“อีกแล้ว! พวกคุณไร้ยางอายอะไรขนาดนี้?”
จางเซวียนแทบคลุ้มคลั่ง
เขารีบเขียนชื่อของลู่ชงลงไปบนผนังด้วยความโมโห
“…ผมคือจอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่นของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน ลู่ชงได้แสดงความปราดเปรื่องอย่างน่าทึ่งที่เหมาะสมกับเทคนิควรยุทธของน่านฟ้าของเรา ผมจึงมารับตัวเขาไป…”
จางเซวียนยิ่งมึนหนัก เขารีบเขียนชื่อของศิษย์สายตรงคนอื่นๆ
“ฉันคือเทพธิดาหลิงหลงแห่งน่านฟ้าหลิงหลง หวังหยิ่งกับเว่ยหรูเหยียนเหมาะสมกับน่านฟ้าของเรา ฉันจึงมารับตัวพวกเธอไป…”
“ผมคือจอมราชันย์มังกรเมฆแห่งน่านฟ้ามังกรเมฆ ขงซือเหยากับหลิวหยางเข้าตาผม ผมจึงจะ…เอ่อ หมายความว่าผมจะพาพวกเขากลับไปด้วย…”
ขณะที่จางเซวียนเขียนรายชื่อของบรรดาศิษย์สายตรงของเขาลงไป จอมราชันย์ก็ปรากฏตัวคนแล้วคนเล่า แต่ละคนทิ้งข้อความไว้ กว่าจะเสร็จเรื่อง อู๋ฟังชิงกับคนอื่นๆก็ถึงกับจังงัง
ชายวัยกลางคนทั้งกลุ่มที่มาเฝ้าดูความพินาศของจางเซวียนต่างก็นึกไม่ถึงว่าเหตุการณ์จะพลิกผันแบบนี้ ภาพลวงตาของจอมราชันย์ปรากฏขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับพวกเขากำลังเฝ้าดูขบวนแห่
ใครๆก็รู้ว่าจอมราชันย์คือสุดยอดของโลกใบนี้ ชั่วชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสแม้จะได้เห็นพวกเขาสักครั้ง!
แล้วทำไมทุกคนถึงปรากฏตัวขึ้นพร้อมๆกัน?
มันจะเกินไปหน่อยไหม?
กลุ่มชายวัยกลางคนสบตากันและกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ต่างคนต่างเห็นความพรั่นพรึงในดวงตาของอีกฝ่าย
แล้วต่อไปพวกเขาจะกล้าเยาะเย้ยศิษย์สายตรงของชายหนุ่มได้อย่างไร?
หากเปรียบเทียบกับศิษย์สายตรงของจางเซวียน ทายาทของพวกเขาไม่มีความหมายอะไรเลย!
ทุกคนเห็นแล้วว่าทายาทของพวกเขาเก่งกาจปราดเปรื่องไม่พอแม้จะเข้าตาเทพเจ้าสวรรค์สร้างสักคนด้วยซ้ำ ขณะที่ศิษย์สายตรงของชายหนุ่มทำให้จอมราชันย์ลงมารับตัวพวกเขาไปด้วยตัวเอง ยื้อแย่งกันราวกับกลุ่มแม่บ้านที่กลุ้มรุมสินค้าลดราคา…
มาคิดดู ก็น่าหัวเราะเหลือเกินที่เมื่อครู่นี้พวกเขายังรู้สึกว่าตัวเองแสนจะเหนือชั้นกว่าอีกฝ่าย
ทุกคนหันขวับไปมองจางเซวียนอย่างร้อนใจ หวังว่าในอนาคตชายหนุ่มจะไม่เคืองแค้นจนกลับมาเอาคืน แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือชายหนุ่มกำลังชี้นิ้วไปที่ผนังอย่างหงุดหงิดและตวาดก้อง “คุณมันไอ้พวกหน้าไม่อาย พวกเขาคือศิษย์สายตรงของผมนะ…ศิษย์สายตรงของผม!”
ทุกคนตัวสั่นงันงก ไม่มีใครกล้าพูดอะไรสักคำ
หยามหน้าจอมราชันย์…หมอนี่เป็นบ้าไปแล้วหรือเปล่า?
“นายน้อย…เกิดอะไรขึ้นกับความถ่อมเนื้อถ่อมตัวของคุณ?” จางเจี้ยฉุดแขนเสื้อของจางเซวียนขณะร่ำร้องด้วยน้ำตาที่ปริ่มๆจะหยด
มันเคยคิดว่านายท่านเป็นคนฉลาดและไว้วางใจได้ แต่ถึงตอนนี้ ก็แทบจะเห็นภาพของตัวมันเองที่จบเห่เพราะความหุนหันพลันแล่นของเจ้านาย…
ส่วนอู๋ฟังชิงก็หัวหมุน เขาหยิกตัวเองอย่างแรงจนเนื้อแทบขาด แต่ก็ต้องตกใจที่ไม่รู้สึกอะไรเลย
หลังจากตำหนิติเตียนจอมราชันย์อย่างหนักได้สักครู่ จางเซวียนก็ดูจะระงับอารมณ์ได้เล็กน้อย
สำหรับตอนนี้ หากพิจารณาโดยใช้เหตุผล ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเท่าไหร่ที่จอมราชันย์พาตัวจ้าวหย่ากับคนอื่นๆไป
ด้วยปริมาณทรัพยากรอันจำกัดที่เขามีอยู่ในมือ คงยากที่บรรดาศิษย์สายตรงของเขาจะยกระดับวรยุทธได้อย่างรวดเร็วหากยังคงติดตามเขาอยู่ ถึงจะเกลียดที่ต้องยอมรับ แต่ก็รู้ว่าจอมราชันย์จะต้องมอบสิ่งที่ดีกว่าให้คนเหล่านั้นได้แน่
“แล้วท่านพ่อท่านแม่กับซุนฉางล่ะ?”
จางเซวียนบ่มเพาะศิษย์สายตรงของเขามาตั้งแต่อายุยังน้อย ดูแลและชำระกายเนื้อของคนเหล่านั้นด้วยพลังปราณเทียบฟ้า จึงพอเข้าใจได้ที่พวกเขาจะเข้าตาจอมราชันย์ ว่าแต่…ซุนฉางกับท่านพ่อท่านแม่ล่ะ…
สามคนนั้นยังไม่ได้สร้างรากฐานวรยุทธที่มั่นคงเท่าไหร่ แถมอายุก็มากแล้ว ไม่น่าจะเข้าตาจอมราชันย์คนไหน
จางเซวียนรีบเขียนชื่อท่านแม่ของเขา, หวังเหมิงหยา ลงไปบนผนัง
“ผมคือผู้แทนจากน่านฟ้าดาบสวรรค์ ผมจะถ่ายทอดศิลปะเพลงดาบให้ซุนฉาง จางเฉินชิง และหวังเหมิงหยา แล้วจะส่งพวกเขากลับไปหาคุณหลังจากเสร็จสิ้นการฝึกฝน”
คราวนี้เสียงสุขุมดังออกมาจากผนัง
“แม้แต่น่านฟ้าดาบสวรรค์ที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครก็ยังส่งผู้แทนมา?” ทุกคนถึงกับอึ้งไปอีกครั้ง
ก็เหมือนกับน่านฟ้าเสรี น่านฟ้าดาบสวรรค์ปิดตัวเองจากกลุ่มอำนาจอื่นๆที่เหลือในสรวงสวรรค์ ทำให้เป็นผู้ลึกลับในสายตาชาวโลก ด้วยเหตุนี้ จึงน่าฉงนเหลือเกินว่าทำไมพวกเขาจึงเข้ามาร่วมวงด้วยเพียงเพื่อจะถ่ายทอดศิลปะเพลงดาบให้นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ 3 คน
สำหรับทั้ง 14 คนที่จางเซวียนพามา, 11 คนถูกนำตัวไป และที่เหลือก็กำลังจะได้ร่ำเรียนศิลปะเพลงดาบจากผู้แทนของน่านฟ้าดาบสวรรค์…
สวรรค์โปรด โชคดีอะไรกันขนาดนี้…
“เอาเถอะ”
เมื่อเห็นว่าอย่างน้อยที่สุดท่านพ่อท่านแม่ของเขากับซุนฉางก็ไม่ได้ถูกพาตัวไป จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก
อย่างน้อยก็ยังเหลือคนอยู่กับเขาบ้าง เขาไม่ต้องอยู่ตามลำพัง
แต่ก็นั่นแหละ คงใช้เวลาสักระยะกว่าท่านพ่อท่านแม่กับซุนฉางจะทำความเข้าใจศิลปะเพลงดาบของน่านฟ้าดาบสวรรค์ได้เสร็จสมบูรณ์
จางเซวียนไม่เคยคิดเลยว่าการเดินทางสู่ภูเขาสวรรค์สร้างจะลงเอยแบบนี้ เขาถอนหายใจอย่างจนปัญญา จากนั้นก็หันกลับมา เห็นทุกคนกำลังคุกเข่าอยู่กับพื้นและมองมาที่เขาด้วยแววตาเป็นประกาย บ่งบอกการยอมรับ
เขาถึงกับผงะด้วยความตกใจ
จางเซวียนใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ในเมื่อเหล่าศิษย์สายตรงของเขาได้เข้ารับคำชี้แนะจากจอมราชันย์ ก็เป็นธรรมดาที่ในอนาคตคนเหล่านั้นจะต้องกลับมาปกป้องเขา
จางเซวียนส่ายหน้า
“ผมไม่ชอบเป็นจุดสนใจของใคร หวังว่าพวกคุณจะเก็บเรื่องที่ได้เห็นวันนี้ไว้เป็นความลับ”
เขานึกภาพออกว่าจะเกิดความวุ่นวายขนานใหญ่แค่ไหนหากใครๆรู้เรื่องนี้ บางที…อาจมีบางคนเห็นเขาเป็นภัยคุกคามและพยายามเล่นงานเขาก็ได้!
สุดท้าย เก็บเนื้อเก็บตัวไว้และดำเนินชีวิตไปตามเดิมย่อมฉลาดกว่า
“คุณไม่ชอบเป็นจุดสนใจของใคร…”
ฝูงชนพากันอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำพูดอันแสนจะเหลือเชื่อนั้น
คุณพูดแบบนี้ดูจะไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่นะ หลังจากที่ผมได้เห็นคุณตำหนิติเตียนจอมราชันย์โดยไม่ยั้งปากสักนิด…
แม้ฝูงชนจะคิดแบบนั้น แต่ก็ฉลาดพอที่จะไม่แสดงออกนอกหน้า พวกเขาพยักหน้าอย่างว่าง่ายและตอบว่า “พวกเราเข้าใจ เราจะปิดปากเงียบ”
“ถ้าอย่างนั้นก็กลับกันเถอะ” จางเซวียนตอบก่อนจะเดินนำออกจากห้อง
ขณะที่กำลังเดินกลับห้องโถงใหญ่ เขาหันไปถามอู๋ฟังชิง “เจ้าเมืองอู๋ คุณพอมีหนังสือศิลปะเพลงดาบให้ผมได้ดูผ่านๆบ้างไหม?”
จางเซวียนรู้ว่าคงต้องใช้เวลาสักระยะกว่าท่านพ่อท่านแม่กับซุนฉางจะกลับมา และเขาก็ไม่มีทางออกจากที่นี่โดยไม่มีคนพวกนั้น จึงตัดสินใจจัดการเรื่องนี้ก่อน
เขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพาหอสมุดเทียบฟ้าสำหรับการฝึกฝนเทคนิควรยุทธและเทคนิคการต่อสู้แล้ว แต่ก็ยังจำเป็นต้องหาความรู้ใหม่ๆเพื่อเปิดมุมมองให้กว้างขึ้น