อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2213 พาผมไปดูที
จอมราชันย์เฉียนคุ่นไม่แยแสกิจธุระทางโลก รวมถึงการบริหารจัดการและการปกครองดินแดนของเขา เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ฝังตัวอยู่ในหอเฉียนคุ่นที่อยู่ภายในตำหนักสวรรค์เฉียนคุ่น จึงแทบไม่มีใครเคยเห็นตัวจริง
ผู้ที่มีอำนาจรองลงมาจากเขาโดยตรงคือสามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ ได้แก่บรรพบุรุษเก่าแก่แห่งตระกูลฉีของฉีหลิงเอ๋อ, ฉีเหมิง, บรรพบุรุษเก่าแก่แห่งตระกูลชางกวน, ชางกวนอู๋เฟิง และบรรพบุรุษเก่าแก่แห่งตระกูลหนานกง, หนานกงผิง
เมื่อ 40 ปีก่อน ทั้งกายเนื้อและจิตวิญญาณของหนานกงผิงถูกทำลายด้วยน้ำมือของจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ ส่งผลให้เขาเสียชีวิตเร็วกว่าอายุขัย แต่บรรดาผู้สืบทอดของเขาได้ใช้สระบาดาลบ่มเพาะเศษเสี้ยวของจิตวิญญาณที่แหลกสลาย จนเมื่อหลายสิบปีผ่านไป จิตใต้สำนึกของเขาก็กลับคืนมาอีกครั้ง ซึ่งหากเป็นแบบนี้ ไม่ช้าไม่นานก็คงฟื้นคืนชีพ
แถมยังมีราชันย์เทพเจ้าอีก 2 คนคอยปกป้องตระกูลหนานกง สถานภาพของพวกเขาจึงมั่นคงไม่คลอนแคลน
“ส่วนข่าวคราวของนายน้อยลู่ชง เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับจอมราชันย์เฉียนคุ่น ตอนนี้ผมจึงยังไม่ได้ข่าวมากนัก แต่ผมก็รู้แล้วว่าจอมราชันย์เฉียนคุ่นพักอยู่ที่ไหน เขาอยู่ในตำหนักลอยเฉียนคุ่นที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวง!” ซุนฉางสาธยาย “ผมคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะพาตัวนายน้อยลู่ชงไปที่นั่น เพราะเขาคงตั้งใจจะบ่มเพาะนายน้อยลู่ชงด้วยตัวเอง”
จางเซวียนพยักหน้า
ลูกศิษย์ของเขาได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับเรียบง่ายตั้งแต่ต้น และนั่นทำให้ทุกคนมีรากฐานวรยุทธที่แข็งแกร่ง อีกอย่าง พวกเขายังมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเทคนิคการต่อสู้ ทำให้มีประสิทธิภาพการต่อสู้เหนือชั้นกว่านักรบโดยทั่วไปของสรวงสวรรค์
จึงเป็นธรรมดาที่จะเข้าตาจอมราชันย์
ในเมื่อจอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่นทิ้งข้อความไว้บนภูเขาสวรรค์สร้างด้วยตัวเอง เขาก็ไม่น่าจะคืนคำและทำร้ายลู่ชง
จางเซวียนจึงไม่คิดว่าตอนนี้ลู่ชงจะตกอยู่ในอันตราย
แต่ในฐานะอาจารย์ของลู่ชง เขาอดเป็นห่วงไม่ได้ จึงอยากรู้ว่าตอนนี้ลู่ชงต้องเจอกับอะไรบ้าง อีกอย่าง เขาก็ไม่รู้จักจอมราชันย์เฉียนคุ่นเป็นการส่วนตัว จึงไม่อาจประเมินนิสัยของอีกฝ่ายได้
ถ้าลูกศิษย์ของเขาต้องทุกข์ทรมานจากการกดขี่ของจอมราชันย์ เขาจะต้องรีบหาทางช่วยเหลือ
“ฉีหลิงเอ๋อกลับมาหรือยัง?”
“ยังเลย แต่เธอให้ผู้ช่วยมาแจ้งว่าตอนนี้ขายยาเม็ดเพิ่มความงามไปได้ 30 เม็ดแล้ว และเงินก็ถูกโอนเข้าบัตรของคุณเรียบร้อย ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ ยังไม่มีความคืบหน้า” ซุนฉางพูด
จางเซวียนนำบัตรที่ฉีหลิงเอ๋อมอบให้เขาก่อนหน้านี้ออกมาและเพ่งสมาธิตรวจสอบสิ่งที่อยู่ภายใน ซึ่งก็เป็นไปตามคาด ตัวเลขในนั้นมีการเปลี่ยนแปลง
ก่อนหน้านี้ เงินที่มีอยู่ในบัตรถูกใช้ไปเกือบหมดแล้ว แต่ตอนนี้จำนวนของมันเพิ่มขึ้นกว่า 45,000 เหรียญสวรรค์
เมื่อคำนวณคร่าวๆ ยาเม็ดเพิ่มความงามน่าจะขายได้ในราคาเม็ดละ 1,500 เหรียญสวรรค์
แม้เมื่อตอนที่พวกเขาอยู่ในเมืองตะวันรอน ความต้องการยาเม็ดเพิ่มความงามก็พุ่งพรวดล้นหลาม ในเมื่อตอนนี้อยู่ในเมืองหลวง, เมืองที่นักรบผู้ทรงอิทธิพลส่วนใหญ่ของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนพำนักอยู่ ก็เป็นธรรมดาที่ความต้องการยาเม็ดเพิ่มความงามจะเพิ่มสูงขึ้นอีก
สิ่งเดียวที่ฉีหลิงเอ๋อควรพิจารณาในเวลานี้ก็คือจะสร้างตลาดยาเม็ดเพิ่มความงามในเมืองนี้ได้อย่างไร
แต่ก็นั่นแหละ นั่นไม่ใช่เรื่องที่จางเซวียนต้องกังวล ทั้งหมดที่เขาต้องรับผิดชอบก็คือถ่ายทอดพลังปราณเทียบฟ้าเข้าสู่ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้า
เมื่อได้ยินว่าฉีหลิงเอ๋อยังไม่ได้ข่าวของหลัวลั่วชิง จางเซวียนก็หมดอารมณ์จะออกจากบ้าน เขาเดินกลับห้องเพื่อขัดเกลาวรยุทธ
หนึ่งคืนผ่านไป จางเซวียนหายดีจากผลข้างเคียงที่ได้รับจากการกระตุกของหอสมุดเทียบฟ้า ถึงจะยังยกระดับวรยุทธไม่ได้ แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้ก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย
“น่าเสียดายที่เราไม่มีเทคนิควรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างที่เชื่อมโยงกับเวทนาสวรรค์…”
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา จางเซวียนไม่ได้ละเลยหน้าที่ เมื่อมีเวลาว่าง เขาจะทำการขัดเกลาเทคนิควรยุทธของตัวเองทันที
ถึงแม้จะรู้แล้วว่าอยากเดินไปในทิศทางไหน แต่การสร้างเทคนิควรยุทธใหม่โดยเริ่มจากศูนย์ก็ไม่ใช่งานง่าย
ด้วยเหตุนี้ แม้อีกเพียงนิดเดียวก็จะฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ แต่จนแล้วจนรอด จางเซวียนก็ไม่อาจก้าวข้ามขั้นสุดท้ายได้
“เราต้องมีข้อมูลมากกว่านี้ ถ้าเราประมวลเคล็ดวิชาเทียบฟ้าของวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างได้สำเร็จ ก็คงคิดค้นอะไรได้บ้าง…”
ถ้าเขาจะใช้ความสามารถของตัวเองเพียงอย่างเดียว คงต้องการเวลาอย่างน้อย 1 เดือนกว่าจะคิดออก แต่หากประมวลเคล็ดวิชาเทียบฟ้าที่เกี่ยวข้องออกมาได้ ก็น่าจะต่อจิ๊กซอว์ที่หายไปและคิดค้นเทคนิควรยุทธได้สำเร็จ
จางเซวียนจึงเดินออกจากห้องเพื่อตามหาซุนฉาง
“มีสภาปรมาจารย์อยู่ในเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนไหม?”
เมื่อครั้งอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ เหล่าปรมาจารย์เป็นที่ขึ้นชื่อเรื่องความใจกว้างในการแบ่งปันความรู้ และพวกเขายังให้ความสำคัญอย่างมากกับสายสัมพันธ์ระหว่างครูบาอาจารย์กับลูกศิษย์ หากเขาหาลูกศิษย์ที่ปราดเปรื่องได้สักคนและถ่ายทอดเทคนิควรยุทธให้อีกฝ่ายได้ ก็น่าจะได้หน้าหนังสือสีทองมา
“ก่อนหน้านี้ สภาปรมาจารย์ในเมืองหลวงถูกสั่งไม่ให้มีบทบาทใดๆ แต่หลังจากการต่อสู้ระหว่างจอมราชันย์พิชิตสวรรค์กับจอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่น พวกเขาก็ได้รับอนุญาตให้ตั้งสาขาอย่างเป็นทางการที่นี่ เพียงแต่นักเรียนที่สภาปรมาจารย์รับไว้มักจะมีสติปัญญาและความปราดเปรื่องอ่อนด้อยกว่านักเรียนของสถาบันการศึกษาอื่นๆในน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน” ซุนฉางตอบ
“แต่พูดก็พูดเถอะ ผมได้ยินว่าเหล่าปรมาจารย์ที่นี่เก่งกาจมาก แม้บรรดาลูกศิษย์ของพวกเขาจะไม่ฉลาดปราดเปรื่องสักเท่าไหร่ แต่ปรมาจารย์ก็สามารถบ่มเพาะคนเหล่านั้นให้มีระดับวรยุทธเทียบเท่ากับบรรดาลูกศิษย์ของสถาบันการศึกษาอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ ผู้คนส่วนใหญ่จึงเลือกส่งทายาทที่ไม่ปราดเปรื่องนักไปศึกษาเล่าเรียนที่สภาปรมาจารย์”
จางเซวียนพยักหน้า
ปรมาจารย์นั้นขึ้นชื่อเรื่องความสามารถในการระบุจุดแข็งจุดอ่อนของลูกศิษย์แต่ละคนและออกแบบบทเรียนที่เหมาะสมกับพวกเขา ทำให้ลูกศิษย์พัฒนาตัวเองได้อย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้ ต่อให้ลูกศิษย์ของพวกเขาจะไม่ฉลาดปราดเปรื่องนัก แต่ขอแค่ตั้งใจหมั่นเพียรฝึกฝน ก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในอนาคต
“พาผมไปดูที!”
เมื่อรู้ว่ามีสภาปรมาจารย์ จางเซวียนรีบสั่งการให้ซุนฉางพาเขาไปที่นั่น
แม้น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนจะไม่กีดกันเหล่าปรมาจารย์แล้ว แต่ก็เป็นธรรมดาที่สภาปรมาจารย์ในเมืองหลวงจะไม่ใหญ่โตโอ่อ่าเหมือนสภาปรมาจารย์ในทวีปแห่งปรมาจารย์ เพราะสำหรับที่นี่ ปรมาจารย์เป็นเพียงวิชาชีพธรรมดาสามัญอีกอาชีพหนึ่ง เป็นรองช่างตีเหล็กและนักปรุงยาเสียด้วยซ้ำ
ดังนั้น สาขาของพวกเขาจึงมีขนาดเล็กกว่ากันมาก
จางเซวียนมองดูประตูไม้และตัวอาคารที่แสนจะเรียบง่าย เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว
ถึงปรมาจารย์ขงจะเอาชนะจอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่นได้ และสภาปรมาจารย์ก็เจริญเติบโตขึ้นมากตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังถูกมองเป็นองค์กรที่ผิดหลักการอยู่ดี คนส่วนใหญ่ให้คุณค่าสภาปรมาจารย์ต่ำกว่าสถาบันการศึกษาทั่วไป
“คุณสองคนมาเข้าฟังการบรรยายของอาจารย์ฟ่านเจ๋อใช่ไหม?”
ทันทีที่จางเซวียนกับซุนฉางผลักประตูไม้เข้าไป ชายหนุ่มคนหนึ่งก็รีบเดินมาหาและส่งยิ้มอบอุ่นเป็นการต้อนรับ
“อาจารย์ฟ่านเจ๋อ?”
“อ้อ นี่คงเป็นครั้งแรกที่คุณเข้ามาที่สภาปรมาจารย์สินะ อาจารย์ฟ่านเจ๋อเป็นปรมาจารย์ระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลาง เป็นอาจารย์ดาวเด่นของสภาปรมาจารย์ของเรา บทเรียนของเขาให้แรงบันดาลใจล้ำลึกมาก เพราะก่อนหน้านี้มีพ่อแม่บางคนเกิดความคลางแคลงใจในความสามารถของเขา วันนี้เขาจึงตัดสินใจเปิดการบรรยายและอนุญาตให้บรรดาพ่อแม่เข้าฟังด้วย ถ้าคุณอยากเข้าฟังการบรรยาย ผมจะพาคุณไป” ชายหนุ่มพูด
“หัวข้อการบรรยายคืออะไร?” จางเซวียนถาม
นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลางถือเป็นผู้เชี่ยวชาญในสรวงสวรรค์ แต่หากหัวข้อการบรรยายไม่เหมาะสมกับเขา ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาที่นี่
“หัวข้อการบรรยายวันนี้คือการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้าง รวมถึงการวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนของเทพเจ้าสวรรค์สร้างและการประเมินประสิทธิภาพการต่อสู้ที่แท้จริงของพวกเขา” ชายหนุ่มตอบ
“อ้อ? ถ้าอย่างนั้นผมก็สนใจเข้าฟัง” จางเซวียนพูด
หัวข้อการบรรยายดูจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการอยู่พอดี การเข้าฟังคงทำให้ได้แรงบันดาลใจบ้าง
“การบรรยายเปิดให้พ่อแม่และบรรดาลูกศิษย์เข้าฟรี แต่สำหรับพวกคุณ ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเป็นเงิน 10 เหรียญสวรรค์” ชายหนุ่มพูดขณะนำตั๋ว 2 ใบออกมา
ราคาดูจะสูงไปสักหน่อย แต่ก็พอเข้าใจได้สำหรับการบรรยายของนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลาง จางเซวียนจัดการให้ซุนฉางนำเงินออกมาจ่ายโดยไม่ลังเล
จากนั้นทั้งคู่ก็ตามชายหนุ่มไปยังห้องบรรยาย
ระหว่างทาง จางเซวียนสำรวจสภาพภายในสภาปรมาจารย์ไปด้วย
พูดได้เลยว่าอาคารนี้ทรุดโทรมกว่าสภาปรมาจารย์ในทวีปแห่งปรมาจารย์มาก บรรยากาศก็ดูไม่มีชีวิตชีวาเท่าไหร่
อย่างที่ซุนฉางบอกไว้ นักเรียนส่วนใหญ่ของที่นี่ไม่ได้เก่งกาจปราดเปรื่องนัก และมีไม่น้อยที่พิการหรือได้รับบาดเจ็บ
ไม่ง่ายเลยที่ปรมาจารย์ขงจะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสรวงสวรรค์ เพราะดินแดนส่วนใหญ่ยังอยู่ภายใต้การปกครองของ 9 จอมราชันย์
ห้องบรรยายอยู่ที่มุมหนึ่งของสภาปรมาจารย์ จางเซวียนผลักประตูและเดินเข้าไป
ในนั้นมีทั้งพ่อแม่และนักเรียน รวมแล้วก็ประมาณ 50 คน ชายชราที่ดูกระชุ่มกระชวยคนหนึ่งยืนอยู่บนเวทีที่อยู่ด้านหน้าห้องบรรยาย
รังสีของเขาให้ความรู้สึกบริสุทธิ์ แม้มองจากระยะไกลก็ยังดูโดดเด่นและสง่างาม
จางเซวียนกับซุนฉางสบตากันก่อนจะเดินตรงไปยังที่นั่งตามที่ระบุไว้ในตั๋ว
หลังจากรออยู่ราว 10 นาที อาจารย์ฟ่านเจ๋อก็ดูเวลาก่อนจะเอ่ย “เราจะเริ่มการบรรยายเดี๋ยวนี้!”
“สำหรับบทเรียนในวันนี้ ผมจะพูดถึงหัวใจของการก้าวไปสู่วรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้าง มันคืออุปสรรคที่นักรบมากมายต้องเผชิญ แต่หากก้าวข้ามไปได้ ชีวิตของพวกเขาจะเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อาจได้เป็นถึงเจ้าเมืองของเมืองชั้นรอง หรือต่อให้เป็นเมืองหลวงแห่งนี้ วรยุทธระดับนั้นก็ยังเป็นเงื่อนไขต่ำสุดของการที่ใครสักคนจะได้รับตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์”