อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2271 เจ้าเด็กนี่เป็นบ้าอะไร?
หลุมดำนี้ปล่อยพลังงานที่อาจกดข่มได้แม้พลังปราณเทียบฟ้า ทำให้การขับเคลื่อนวรยุทธเป็นไปได้ยาก แต่ก็โชคดีที่เวทนาสวรรค์ที่จางเซวียนฝึกฝนไว้ดูจะไม่กระทบกระเทือน
ทั้งคู่เดินลงไปอีกราว 2 ชั่วโมงท่ามกลางความเงียบงันที่ชวนสั่นประสาท แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลงไปถึงก้นบึ้ง
จู่ๆจางเซวียนก็เลิกคิ้ว เขานำจี้ที่ห้อยอยู่รอบลำคอออกมา เมื่อรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากจี้นั้นก็พึมพำ “ลั่วชิงคงเคยมาที่นี่เหมือนกัน…”
ทั้งสองเดินต่อไปอีกครู่หนึ่ง แล้วฝงจิ่วเกอก็หยุด เขามองไปด้านหลังและพูดว่า “ท่านอาจารย์ เราเดินมาสุดทางแล้ว คราวก่อนผมก็มาถึงตรงนี้ก่อนจะตกลงไปยังพื้นที่ประหลาด ในตอนนั้นแหละที่วรยุทธของผมตกฮวบ!”
ครั้งล่าสุดที่เขามาที่นี่ ก็เกือบจะสูญเสียทุกอย่างไป เขาไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก
ได้ยินแบบนั้น จางเซวียนมองตรงไปข้างหน้าและเห็นว่าทางเดินแคบๆหายไปแล้ว เป็นไปได้ว่านักรบผู้สร้างทางเดินนี้อาจเสียชีวิตที่นี่ หรือไม่ก็เดินกลับไป
“ดูเหมือนตรงนี้จะไม่มีอะไรพิเศษนะ ว่าแต่…ภารกิจอะไรที่ทำให้คุณต้องมาถึงที่นี่?” จางเซวียนถามด้วยความอยากรู้
ก็เหมือนกับ 6 สํานักใหญ่ของมิติเบื้องบน ตระกูลต่างๆในสรวงสวรรค์มักส่งสมาชิกในตระกูลของพวกเขาออกมาปฏิบัติภารกิจเพื่อบ่มเพาะความแข็งแกร่งและขัดเกลานิสัยใจคอ พร้อมกับหาทางรวบรวมทรัพยากรกลับตระกูลให้ได้มากขึ้น
แต่หลุมดำแห่งนี้แห้งแล้งมาก ไม่มีสิ่งอื่นนอกจากความมืดมนอนธการไม่มีที่สิ้นสุดที่ติดตามพวกเขาไปทุกแห่ง ดูไม่สมเหตุสมผลเลยที่สมาชิกคนหนึ่งของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟจะต้องเดินทางมาปฏิบัติภารกิจที่นี่
“มีตำนานกล่าวไว้ว่าในหลุมดำมีสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ช่วยให้นักรบกลายเป็นราชันย์เทพเจ้า มันเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘หญ้าราชันย์เทพเจ้า’” ฝงจิ่วเกออธิบายด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ผมคิดว่าเรื่องเล่าลือนั้นน่าจะเป็นความจริง ก็เลยมาที่นี่…”
“หญ้าราชันย์เทพเจ้า?” จางเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าสิ่งนี้จะมีจริงหรือไม่ เพราะต่อให้มันมีจริง ก็คงไม่ง่ายดายขนาดที่เพียงกินมันเข้าไปแล้วจะทำให้ใครสักคนกลายเป็นราชันย์เทพเจ้า
ผู้ที่จะได้เป็นราชันย์เทพเจ้าจะต้องมีความสามารถในการเข้าถึงอำนาจและพละกำลังของธรรมชาติ ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่สมุนไพรทั่วไปจะช่วยได้
แต่ก็นั่นแหละ ต่อให้หญ้าราชันย์เทพเจ้าทำได้แค่เพิ่มโอกาสในการฝ่าด่านวรยุทธ ก็ล้ำค่าเกินพอที่จะดึงดูดนักรบมากมายนับไม่ถ้วนให้มาเสี่ยงโชค
การได้เป็นราชันย์เทพเจ้าถือเป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่สำหรับนักรบในสรวงสวรรค์ เพราะทั่วทั้งสรวงสวรรค์มีราชันย์เทพเจ้าเพียงร้อยกว่าคนเท่านั้น ความเย้ายวนใจของการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนี้จึงไม่ใช่สิ่งที่ใครๆจะต้านทานได้
“รออยู่ตรงนี้นะ ผมจะลงไปดู ถ้าภายใน 4 ชั่วโมงผมยังไม่กลับมา ผมอยากให้คุณกลับไปเลยโดยไม่ต้องรอผม และไม่ต้องพยายามลงไปตามหาผมด้วย” จางเซวียนสั่งการอย่างเคร่งเครียด
ถ้าฝงจิ่วเกอลงไปกับเขา ก็มีโอกาสที่วรยุทธของอีกฝ่ายจะถูกพลังงานสีเทาเข้าครอบงำอีก ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น เขาลงไปคนเดียวดีกว่า
“ท่านอาจารย์…คุณจะต้องปลอดภัยกลับมานะ!”
เห็นท่านอาจารย์ของเขาจะลงไปสำรวจโดยไม่หวาดกลัวสักนิด หวังจะไขความซับซ้อนของสภาวะร่างกายของเขาให้ได้ทั้งที่มีอันตรายรออยู่ นัยน์ตาของฝงจิ่วเกอแดงก่ำด้วยความสำนึกในบุญคุณ
ตัวเขาเป็นแค่ลูกศิษย์ธรรมดาคนหนึ่ง แต่ท่านอาจารย์เต็มใจทำเพื่อประโยชน์ของเขาขนาดนี้
ในหลุมดำนั่นมีบางอย่างที่อาจทำให้วรยุทธของคนคนหนึ่งสูญสลาย แต่ท่านอาจารย์ก็ไม่ลังเลสักนิด มีอาจารย์แบบนี้แล้ว…ชั่วชีวิตนี้เขาจะยังต้องการอะไรอีก?
จางเซวียนมองหน้าฝงจิ่วเกออย่างงุนงง
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายต้องมองเขาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ ดูใส่อารมณ์เสียจนทำให้เขาขนลุกขนชันไปทั้งตัว
เจ้าเด็กนี่เป็นบ้าอะไร?
เราก็แค่จะลงไปดู หากเจออันตรายก็จะรีบกลับขึ้นมาทันที จำเป็นต้องประทับใจอะไรขนาดนั้น? พอเถอะ! อย่าดราม่าแถวนี้ เราไม่ได้กำลังแสดงละครน้ำเน่านะ!
จางเซวียนเกาะหน้าผาไว้แน่น เขาค่อยๆไต่ลึกลงไปในหลุมดำ
มีแรงกดดันจากส่วนลึกของหลุมดำที่ชวนเขย่าขวัญสั่นประสาท ดูเหมือนพร้อมจะกลืนกินเขาเข้าไปทั้งตัว จางเซวียนจึงไม่กล้าปล่อยให้การ์ดตก
เขาไต่ลึกลงไปเรื่อยๆ จี้ที่อยู่รอบลำคอก็ค่อยๆอุ่นขึ้นจนถึงจุดที่จางเซวียนรู้สึกว่ามันเกือบจะหลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกันกับตัวเขา แถมยังทำให้การขับเคลื่อนพลังปราณเทียบฟ้าเป็นไปอย่างยากลำบาก
หลุมดำนี้คืออุปสรรคอันยิ่งใหญ่ต่อการสำแดงเทคนิควรยุทธของเขา
“เวทนาสวรรค์!”
สุดท้ายก็มาถึงจุดที่จางเซวียนถูกบีบให้ต้องขับเคลื่อนพลังปราณของเทคนิคเวทนาสวรรค์ซึ่งมีความบริสุทธิ์มากกว่า แล้วแรงกดดันก็หายวับไป เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะไต่ลึกลงไปอีก
ฟึ่บ!
หลังจากเดินหน้าไปได้อีกหน่อย ก็พลันรู้สึกถึงกระแสพลังงานสีเทาที่ค่อยๆซึมซาบเข้าสู่ร่างกาย
“มันมาจากตรงนี้นี่เอง…”
เพราะคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเหตุแบบนี้ จางเซวียนจึงยังคงความสุขุมเยือกเย็นไว้ได้ เขารีบปล่อยพลังปราณเทียบฟ้าเข้าใส่พลังงานสีเทานั้น การปะทะกันของพลังงานทั้งคู่ทำให้เกิดแสงสีเขียวเจิดจ้าภายในร่างของเขา
จางเซวียนที่เรืองแสงอยู่ท่ามกลางหลุมดำอันแสนมืดมิดทำให้เขาดูราวกับเทพเจ้าที่ร่อนลงมายังดินแดนมิคสัญญี
เมื่อไต่ลึกลงไปอีก กระแสพลังงานสีเทาก็ถาโถมหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่จางเซวียนต้องปล่อยพลังปราณเทียบฟ้าในปริมาณสูงสุด มิติที่อยู่โดยรอบเริ่มออกอาการของความไม่เสถียร มันสั่นสะท้านไปทุกหนแห่ง
“อันตรายแน่ถ้าเราปล่อยให้เป็นแบบนี้…” ในที่สุดจางเซวียนก็หยุดกึก
เขาบินได้ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะร่วงลงไปในหลุมดำ
สิ่งที่เขาเป็นห่วงคือความไม่เสถียรของมิติในหลุมดำแห่งนี้ โดยหากไต่ลึกลงไปอีก ก็อาจต้องจมปลักอยู่ในพลังงานวนและคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติ
ด้วยระดับวรยุทธของเขาในเวลานี้ การต้านทานพลังพิเศษของธรรมชาติยังคงเป็นเรื่องยาก
“เราจะหยุดอยู่ที่นี่สักครู่หนึ่ง และขัดเกลาพลังปราณเทียบฟ้าให้กลายเป็นพลังปราณของเวทนาสวรรค์ก่อน…”
หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ จางเซวียนก็นำดาบราชันย์เทพเจ้าออกมาแล้วเจาะหน้าผาให้เป็นถ้ำเล็กๆ ก่อนจะนั่งลงที่นั่น
เขาใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะลงมาถึงตรงนี้ จึงยังไม่อยากกลับไปโดยที่ยังไม่ได้ค้นพบอะไร ในเมื่อกระแสพลังงานสีเทาสามารถเจือจางพลังปราณเทียบฟ้าได้ มันก็น่าจะเหมาะกับการขัดเกลาพลังปราณของเขา ซึ่งในท้ายที่สุด จะมีแต่พลังปราณของเวทนาสวรรค์เท่านั้นที่หลงเหลืออยู่
จางเซวียนตั้งต้นดึงกระแสพลังงานสีเทาเข้าสู่ร่างกายและปล่อยพลังปราณเทียบฟ้าออกมาปะทะกับมัน รวมแล้วก็ใช้เวลาราว 2 ชั่วโมงกว่าจะปลดปล่อยพลังปราณเทียบฟ้าออกมาได้หมดและหลงเหลือไว้เฉพาะพลังปราณเทียบฟ้าของเวทนาสวรรค์
“ตอนนี้เราเหลือพลังปราณไม่ถึงหนึ่งในร้อยส่วนของที่เคยมี…”
ก่อนหน้านี้ ตอนที่พลังงาน 2 รูปแบบหลอมรวมเข้าด้วยกัน มันก็ก่อเกิดเป็นมหาสมุทรขนาดใหญ่ภายในจุดตันเถียนของเขา เป็นแหล่งพลังงานที่ใช้ไม่มีวันหมด แต่เมื่อพลังปราณเทียบฟ้าทั้งหมดถูกเจือจางไป ปริมาณพลังงานที่หลงเหลืออยู่ในมหาสมุทรนี้ก็เหลือเพียงไม่ถึงหนึ่งในร้อยส่วนของที่เคยมี
จางเซวียนไม่รู้ว่ามันดีต่อเขาหรือเปล่าที่ขัดเกลาพลังปราณอย่างรวดเร็วแบบนี้
แต่เมื่อพลังปราณเทียบฟ้าของเขาหายไป แรงกดดันจากกระแสพลังงานสีเทาก็หายวับไปด้วย จึงดูเหมือนจะยังเป็นผลดีกับเขาอยู่
จางเซวียนเดินออกมาที่ปากถ้ำและมองลึกลงไปขณะครุ่นคิด เขาใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะตัดสินใจได้และไต่ลึกลงไปอีก
ไม่ช้าก็มาถึงคลื่นพลังงานวนของมิติ
นี่คืออาณาบริเวณที่มิติไหลเวียนไปมาได้อย่างง่ายดายราวกับของเหลว ทำให้แม้แต่ราชันย์เทพเจ้าก็ไม่อาจผ่านไปได้ จางเซวียนนำของล้ำค่าระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงออกมาแล้วยื่นมันออกไปเผชิญหน้ากับคลื่นพลังงานวน
ดาบเริ่มโค้งงอไปตามกระแสของมิติ ราวกับหลุดเข้าไปในกระจกเงาที่บิดเบี้ยว
จางเซวียนรีบชักดาบออกมาด้วยความตกใจ เมื่อพิจารณาสภาพของดาบ ก็รู้ทันทีว่าอาการคดงอนั้นรุนแรงจนไม่อาจซ่อมแซมได้ แถมจิตวิญญาณที่อยู่ภายในดาบก็ถูกทำลายด้วย
“ความเสถียรของมิติคือหนึ่งในเงื่อนไขพื้นฐานที่ทำให้สิ่งมีชีวิตดำรงอยู่ได้ แม้จะเป็นไปได้ที่สิ่งมีชีวิตอาจปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมแบบนี้ แต่ก็จะบิดเบี้ยวจนแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสภาพเดิมที่เคยเป็น…”
จางเซวียนรู้ดีว่าตัวเขาต้องลงเอยเหมือนดาบเล่มนี้แน่หากหลุดเข้าไปในคลื่นพลังงานวนของมิติ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างจนปัญญาและกำลังจะปีนกลับขึ้นไป ก็พอดีกับที่เห็นบางอย่างเดือดเป็นฟองฟอดอยู่ในคลื่นพลังงานวนแห่งมิติ เกิดแรงกระเพื่อมที่แผ่กระจายออกไปโดยรอบ
จางเซวียนเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้เพื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
ภายในคลื่นพลังงานวนของมิติ มีพืชหน้าตาน่าสงสัยจำนวนหนึ่งอยู่บนหน้าผา มันเคลื่อนไหวไปมาตามกระแสคลื่นพลังงานวนนั้น
“สิ่งมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ก็ได้หรือ?” จางเซวียนตกใจ
คลื่นพลังงานวนของมิติมีกระแสพลังงานที่แตกต่างกันมากมายซึ่งไหลออกไปคนละทิศละทาง สิ่งมีชีวิตชนิดใดก็ตามที่เข้าไปอยู่ในอาณาบริเวณของมันจะถูกดึงออกไปในทิศต่างๆ ทำให้รูปร่างของมันบิดเบี้ยว
แม้ด้วยวรยุทธของเขาในเวลานี้ จางเซวียนก็ไม่มั่นใจว่าจะปัดป้องพละกำลังของคลื่นพลังงานวนนั้นได้ แต่พืชเหล่านี้กลับเอาตัวรอด ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?
“หรือว่า…พืชที่ขึ้นอยู่ตรงนั้นคือหญ้าราชันย์เทพเจ้า? จะใช่มันหรือเปล่า?”
ก่อนหน้านี้ ตอนที่เขาได้ฟังเรื่องสมุนไพรชนิดหนึ่งจากฝงจิ่วเกอ ก็คิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ แต่ตอนนี้ก็พอจะเห็นวี่แวว
หนึ่งในลักษณะพิเศษของราชันย์เทพเจ้าก็คือความเข้าใจที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์แห่งมิติ ซึ่งข้อเท็จจริงที่หญ้าชนิดนี้เอาชีวิตรอดอยู่ได้ท่ามกลางคลื่นพลังงานวนของมิติก็บ่งบอกชัดว่ามันสามารถปรับตัวเข้ากับความบิดเบี้ยวของกฎเกณฑ์แห่งมิติได้
ถ้าใครสามารถหลอมหญ้านี้ให้เป็นยาเม็ดและกินมันเข้าไป ก็น่าจะเพิ่มโอกาสของการได้เป็นราชันย์เทพเจ้าให้มีมากขึ้นได้จริงๆ
“ปัญหาเดียวก็คือเราจะนำมันมาได้อย่างไร?” จางเซวียนขมวดคิ้ว
หญ้าเหล่านี้อยู่ลึกเข้าไปในคลื่นพลังงานวนไม่มากนัก แต่ปัญหาก็คือแม้แต่เขาจะเข้าใกล้มันก็ยังไม่ได้ แล้วจะเก็บหญ้ามาได้อย่างไร?
หากไม่ได้มันมา ต่อให้หญ้าพวกนี้จะล้ำค่าแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์!
“ไก่น้อย ฉันมีเรื่องอยากให้แกช่วย!” จางเซวียนตั้งต้นสื่อสารกับไก่สีเหลืองตัวจ้อยที่อยู่ในจุดตันเถียนของเขา