อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2282 จอมราชันย์หลินชี
เทพธิดาหลิงหลงโบกมือ จากนั้นก็ฉีกกระชากมิติออกจากกันเพื่อตามแผ่นกระดานสีทองไป พริบตาต่อมา เธอก็มายืนอยู่ตรงหน้าประตูบานใหญ่ที่โอบล้อมด้วยม่านหมอก
น่านฟ้าเสรี, ตำหนักสวรรค์เสรี
ประตูบานนั้นปิดสนิท
“เทพธิดาหลิงหลงแห่งน่านฟ้าหลิงหลงมาขอคารวะจอมราชันย์หลินชี!” เทพธิดาหลิงหลงค้อมตัวลงต่ำและรอคอยอย่างอดทนให้ประตูเปิด
คำว่า ‘เก้าจอมราชันย์แห่งเก้าน่านฟ้า’ ทำให้ดูเหมือนว่าจอมราชันย์ทั้งเก้ามีสถานภาพทัดเทียมกัน แต่เฉพาะจอมราชันย์ด้วยกันเท่านั้นที่รู้ว่าผู้กุมอำนาจตัวจริงของสรวงสวรรค์ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรี
บริเวณโดยรอบเงียบกริบ ไม่มีแม้แต่ลมพัดหรือเสียงกู่ร้องของอสูรชนิดใดๆ
บรรยากาศตรงนั้นนิ่งงันจนรู้สึกอึดอัด
เทพธิดาหลิงหลงเฝ้ารออย่างอดทนอยู่กลางสภาพแวดล้อมที่แสนจะหนักอึ้ง ในใจของเธอพยายามขบคิดหาเหตุผลของการถูกเรียกตัวครั้งนี้
อีกฝ่ายส่งกระดานสีทองไปเชิญเธอมาที่นี่ แต่เมื่อเธอมาถึง ประตูก็ยังคงปิดสนิท ไม่มีใครออกมารับ แถมเธอก็ไม่รู้สักนิดว่าควรทำอย่างไร
เธอนึกไม่ออกเลยว่าเคยทำอะไรที่ทำให้จอมราชันย์หลินชีขุ่นเคือง!
เทพธิดาหลิงหลงรออีกครู่ใหญ่ แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอส่งเสียงดังขึ้นเล็กน้อยเพื่อประกาศว่าตัวเธออยู่ที่นี่ “เทพธิดาหลิงหลงแห่งน่านฟ้าหลิงหลงมาขอคารวะจอมราชันย์หลินชี!”
เธอมาถึงได้ราว 1 ชั่วโมงแล้ว แถมยังแสดงกิริยานอบน้อมตลอดเวลา ซึ่งไม่ใช่เพราะเธอยืนตัวตรงไม่ได้ แต่เพราะไม่กล้า
เทพธิดาหลิงหลงเฝ้ารออีก 1 ชั่วโมง แต่ประตูบานใหญ่ก็ไม่มีทีท่าจะเปิด ขณะที่เธอกำลังสงสัยว่าควรกลับก่อนแล้วมาใหม่วันหลังหรือไม่ เสียงหนึ่งก็ดังก้องมาจากส่วนลึกของตำหนักสวรรค์เสรี
“นี่คือตัวโคลนที่สร้างขึ้นจากเศษเสี้ยวเจตจำนงของฉัน ฉันให้โอกาสคุณ 3 กระบวนท่าในการเอาชนะมัน!”
ฟึ่บ!
ทันทีที่สิ้นเสียง สาวน้อยคนหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้าเทพธิดาหลิงหลง
สาวน้อยสวมเสื้อคลุมสีขาวที่ดูเรียบง่ายทว่าสง่างาม เธอมีรังสีที่ดูเหมือนจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ทำให้แทบไม่อาจจับสังเกตการปรากฏตัวของเธอได้
เทพธิดาหลิงหลงเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ
เธอนึกไม่ออกเลยว่าเคยทำอะไรให้จอมราชันย์หลินชีขุ่นเคืองใจ ก็แล้วทำไมถึงต้องเอาชนะเจตจำนงของอีกฝ่ายให้ได้ภายใน 3 กระบวนท่า?
“ก็ได้”
เทพธิดาหลิงหลงยังงุนงง แต่ก็รู้ดีว่าไม่ควรขัดใจอีกฝ่าย เธอยืดตัวขึ้นและถอยหลังไปก้าวหนึ่งก่อนจะพุ่งเข้าเล่นงานสาวน้อยโดยใช้พลังจากฝ่ามือ
มิติที่อยู่โดยรอบแยกออกจากกันราวกับกระดาษแผ่นบางๆที่ถูกฉีกขาด รอยแยกแห่งมิติสีดำปรากฏบนร่างของสาวน้อยผู้นั้น
แต่รอยแยกแห่งมิติดูจะทำอันตรายเธอไม่ได้ ราวกับเธอไม่ได้มีตัวตนอยู่จริงในโลกใบนี้
“หนึ่ง” สาวน้อยเสื้อคลุมสีขาวพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
เทพธิดาหลิงหลงชะงักที่พบว่าการโจมตีของเธอไม่อาจทำอันตรายอีกฝ่ายได้ เธอกัดริมฝีปากแล้วตัดสินใจใช้พละกำลังเต็มพิกัด เทพธิดาหลิงหลงชูกำปั้นทั้งสองขึ้นแล้วปล่อยสองหมัดเข้าใส่คู่ต่อสู้ของเธอพร้อมๆกัน
ในแง่ของพละกำลังและความปราดเปรื่อง เธอเป็นหนึ่งใน 2-3 อันดับแรกของเก้าจอมราชันย์ แม้แต่จอมราชันย์มังกรเมฆก็ยังต้องรับมือกับเธอด้วยความระมัดระวัง
เมื่อถ่ายทอดพลังทั้งหมดเข้าสู่ทั้งสองหมัด เรี่ยวแรงที่มีอานุภาพทำลายล้างก็ทำให้โลกปั่นป่วน การโจมตีของเทพธิดาหลิงหลงไม่ได้ทำให้เกิดแค่รอยแยกแห่งมิติ แต่ทั้งมิติที่อยู่ตรงหน้าก็ถูกทำลายจนกลายเป็นฝุ่นผงไปด้วย
มิติที่เสถียรคือหนึ่งในรากฐานของสิ่งมีชีวิต การฉีกกระชากมิติคือการทำลายทุกชีวิตที่อยู่ภายในมิติแห่งนั้น
แต่สาวน้อยเสื้อคลุมขาวก็ยังไม่เคลื่อนไหว เธอปล่อยให้พละกำลังทำลายล้างนั้นฉีกกระชากทั่วทั้งร่างกาย แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่อาจทิ้งร่องรอยไว้ได้เลย
“สอง” สาวน้อยเสื้อคลุมขาวนับ
รู้ดีว่าครั้งนี้คือโอกาสสุดท้ายของเธอ เทพธิดาหลิงหลงนำเลือดหยดหนึ่งออกจากหว่างคิ้วแล้วจุดมันให้ลุกโพลง พริบตาต่อมา รังสีของเธอก็พวยพุ่งอย่างดุเดือด
เธอรวบรวมพละกำลังทั้งหมดเข้าสู่ฝ่ามือและเล่นงานคู่ต่อสู้อีกครั้ง
คราวนี้ พลังจากฝ่ามือของเธอแข็งแกร่งกว่าการโจมตีครั้งแรกอย่างน้อย 2 เท่า แต่แทนที่จะเกิดการแตกสลายหรือแยกตัวออกจากกัน มิติที่อยู่โดยรอบกลับบิดเบี้ยว
พลังฝ่ามือพุ่งเข้าใส่ร่างของสาวน้อยเสื้อคลุมขาวอย่างจัง แต่อีกฝ่ายก็ยังคงยืนนิ่ง ไม่สะทกสะท้านสักนิดกับการถูกโจมตี
เสียงหนึ่งดังเข้าหูเทพธิดาหลิงหลง “สาม”
จากนั้น สาวน้อยเสื้อคลุมขาวก็ชูนิ้วขึ้นและกระดิกเบาๆ
พลั่ก!
เทพธิดาหลิงหลงถูกสอยกระเด็นไป เธอกระอักเลือดออกมาขณะหมุนคว้างกลางอากาศ ก่อนจะร่วงลงมากระแทกพื้นอย่างแรงด้วยใบหน้าซีดเผือด
การถูกโจมตีเพียงครั้งเดียวทำให้เธอบาดเจ็บสาหัส
เห็นชัดว่าทั้งคู่อยู่คนละชั้นกัน
เทพธิดาหลิงหลงกัดฟันอดกลั้นความเจ็บปวดไว้ขณะกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน เธอก้มศีรษะและพูดว่า “จอมราชันย์หลินชี ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะ…แต่ขอถามหน่อยได้ไหมว่าฉันทำอะไรผิด?”
จอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรีแทบไม่เคยเรียกตัวจอมราชันย์คนไหน
การที่อีกฝ่ายเรียกตัวเธอมาเพียงเพื่อจะทำกับเธอแบบนี้…นั่นหมายความได้อย่างเดียว คือเธอได้ทำอะไรบางอย่างที่ทำให้จอมราชันย์หลินชีไม่พอใจ
แต่เรื่องของเรื่องก็คือ…
ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำอะไรให้คุณขุ่นเคือง! อย่างน้อยที่สุดคุณก็น่าจะบอกฉันสักหน่อยว่าฉันทำอะไรผิด เพื่อฉันจะได้จดจำไว้และไม่ทำอีก?
คุณเรียกตัวฉันมาที่นี่และตั้งต้นซ้อมฉันโดยไม่บอกเหตุผลอะไรเลย…
แล้วฉันต้องทำอย่างไร?
“คุณต้องฝึกฝนหนักกว่านี้อีกมากนะถ้าอยากสั่งสอนบทเรียนให้ฉัน พละกำลังในเวลานี้ของคุณน่ะ…ยังห่างไกล!”
สาวน้อยเสื้อคลุมขาวทิ้งท้าย จากนั้นก็แปรสภาพเป็นหยดน้ำใสและร่วงลงสู่พื้น
ไม่น่าเชื่อเลยว่าคู่ต่อสู้ที่เธอต้องรับมือด้วยคือตัวโคลนที่ทำจากน้ำเพียงหยดเดียว!
จอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรีช่างเหนือชั้นกว่าจอมราชันย์คนอื่นจริงๆ
ขณะที่เทพธิดาหลิงหลงยังคงอัศจรรย์ใจกับประสิทธิภาพการต่อสู้ของจอมราชันย์หลินชี ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยในคำพูดของอีกฝ่าย
สั่งสอนบทเรียนให้คุณ?
คุณเก่งกาจเสียขนาดนี้ ต่อให้ฉันมีความกล้ามากกว่านี้อีก 10 เท่า ก็ไม่บังอาจสั่งสอนบทเรียนให้คุณหรอก!
เดี๋ยวก่อน…เราเพิ่งพึมพำเมื่อครู่นี้เองว่าจะสั่งสอนบทเรียนให้แม่สาวที่จางเซวียนชอบ ก็พอดีกับที่กระดานสีทองแผ่นนั้นปรากฏและเรียกเรามาที่นี่…หรือว่า…
เทพธิดาหลิงหลงมีสีหน้าพรั่นพรึงขึ้นมาทันที
ถ้าสิ่งที่เธอคิดอยู่ตอนนี้เป็นเรื่องจริง จางเซวียนก็คือคนที่แสนจะน่าสะพรึง
มีอสูรแบบนั้น แถมด้วยคนรักแบบนี้…
เขาเป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงจริงๆหรือ?
ดูเหมือนวันนี้อะไรๆจะไม่เป็นใจ ต่อไปเราจะต้องอยู่ห่างจากหมอนั่นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้…
เทพธิดาหลิงหลงไม่แน่ใจว่าข้อสันนิษฐานของเธอถูกต้องหรือไม่ และไม่กล้าหาคำตอบด้วย ถึงอย่างไร หลีกเลี่ยงทุกปัญหาไว้ก่อนก็ย่อมดีที่สุด
เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็โบกมือและกลับสู่น่านฟ้าหลิงหลง
…..
หลังจากกลับถึงตำหนักได้ไม่นาน สุภาพสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งก็พรวดพราดเข้ามาในห้องและทรุดตัวลงคุกเข่าตรงหน้า “ขอแสดงความยินดีอย่างที่สุด ฝ่าบาท!”
“แสดงความยินดี?”
ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติคนหนึ่งของเธอเพิ่งถูกสังหาร แต่เธอก็เล่นงานเจ้าตัวการไม่ได้ แถมเมื่อครู่นี้ก็ถูกเรียกตัวไปที่น่านฟ้าเสรีเพียงเพื่อจะถูกซ้อม
เธอนึกไม่ออกเลยว่าจะมีอะไรที่ทำให้เธออารมณ์ดีขึ้นได้ในช่วงเวลาแบบนี้
“ฝ่าบาท สองนักรบที่คุณนำตัวมาจากภูเขาสวรรค์สร้างได้ฝึกฝนวรยุทธในกระจกเงาแห่งมิติและเวลาแล้ว โดยเมื่อครู่นี้ พวกเขาสำเร็จวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดพร้อมผ่านการทดสอบด้วย” สุภาพสตรีวัยกลางคนรายงาน
“พวกเขาผ่านการทดสอบแล้ว” เทพธิดาหลิงหลงตาโตด้วยความประหลาดใจก่อนจะยิ้มอย่างยินดีปรีดา
นี่คือข่าวดีที่สุดที่เธอได้รับหลังจากผ่านวันอันเหน็ดเหนื่อยยาวนาน
เธอนำตัวนักรบผู้ปราดเปรื่องทั้งสองมาจากภูเขาสวรรค์สร้างและทุ่มเททรัพยากรมากมายเพื่อบ่มเพาะทั้งคู่ การฝ่าด่านวรยุทธของพวกเขาจะทำให้น่านฟ้าหลิงหลงอยู่ในสถานภาพที่ได้เปรียบกว่าเดิมมากสำหรับการรับมือกับกระแสการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณที่ใกล้จะมาถึง
อย่างน้อยที่สุด น่านฟ้าหลิงหลงก็จะไม่ถูกบีบบังคับให้ตกเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างที่เคยเป็นมา
“ไปดูกันเถอะ” เทพธิดาหลิงหลงพูดขณะรีบออกเดินไปยังกระจกเงาแห่งมิติและเวลา
เมื่อมองจากภายนอก กระจกเงาแห่งมิติและเวลาดูไม่ต่างอะไรกับกระจกเงาทั่วไป แต่สิ่งที่อยู่ในนั้นคือมิติที่กระแสกาลเวลาที่ไหลเร็วกว่ากระแสกาลเวลาในสรวงสวรรค์ถึงพันเท่า
พูดอีกอย่างก็คือ หากนับตั้งแต่ตอนที่เธอพาตัวนักรบทั้งคู่กลับมาจากภูเขาสวรรค์สร้าง เวลาก็ผ่านไปหลายร้อยปีแล้ว
น่าประทับใจเหลือเกินที่ทั้งสองสำเร็จวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่ร้อยปี เพราะตอนที่เทพธิดาหลิงหลงนำทั้งคู่กลับมาที่นี่ พวกเขายังเป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าเท่านั้น
เทพธิดาหลิงหลงเพ่งสมาธิ จากนั้นก็นำตัวสองนักรบที่อยู่ภายในกระจกเงาออกมา
ทั้งคู่เป็นสุภาพสตรี
คนหนึ่งดูสงวนท่าทีและเงียบขรึม ขณะที่อีกคนแผ่คลื่นพลังงานเย็นเยียบออกมา
แม้จะใช้เวลายาวนานหลายร้อยปีอยู่ในกระจกเงาแห่งมิติและเวลา แต่ดูเหมือนเดือนปีที่ผ่านไปไม่ได้ทิ้งร่องรอยไว้กับทั้งคู่เลย พวกเธอยังคงดูเหมือนเมื่อครั้งแรกที่ได้เข้าสู่กระจกเงาบานนั้น
ทันทีที่ทั้งสองออกจากกระจกเงา รังสีทรงพลังที่เข้มข้นพอจะฉีกกระชากมิติโดยรอบได้ก็ระเบิดออกจากร่างของพวกเธอ
แม้จะเป็นแค่นักรบระดับราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุด แต่รังสีที่ทั้งสองแผ่ออกมาก็ทรงพลังเสียยิ่งกว่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติโดยทั่วไปเสียอีก
ไม่ว่าจะเป็นเทคนิควรยุทธหรือผลที่ได้จากการบ่มเพาะ ทั้งคู่คือราชันย์เทพเจ้าที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการก้าวไปเป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ
เทพธิดาหลิงหลงพิจารณานักรบทั้งสองด้วยความพึงพอใจยิ่งกว่าเดิม
นัยน์ตาของเธอเปี่ยมความคาดหวังขณะพูดว่า “คุณทั้งสองเป็นนักรบระดับราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดแล้ว ซึ่งหมายความว่าคุณแข็งแกร่งพอที่จะแบกรับพละกำลังของความทรงเกียรติ พวกคุณเต็มใจจะเป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติของฉันไหม?”