อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2296 หยดเลือดของเทพเจ้า?
หูเหยาเหย่ากับหยู่เฟยเอ๋อยืนอยู่บนหน้าผาสูงตระหง่าน เสื้อคลุมสีแดงเรื่อของพวกเธอโบกสะบัดไปตามสายลม
จู่ๆทั้งคู่ก็เคลื่อนไหวพร้อมกัน ย้ายจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งอย่างเงียบกริบจนน่าทึ่ง ทั้งสองแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากัน
หลัวฉีฉีเข้ามาสมทบกับจางเซวียน ไม่ช้าก็จดจำสุภาพสตรีทั้งสองได้ เธอตาโตด้วยความตื่นเต้นขณะอุทาน “นั่นหยู่เฟยเอ๋อกับหูเหยาเหย่านี่!”
หยู่เฟยเอ๋อคือเพื่อนสนิทที่สุดของเธอตั้งแต่เมื่อครั้งอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่เมื่อเธอออกเดินทางสู่สรวงสวรรค์แล้ว ก็ไม่คิดว่าจะได้พบหยู่เฟยเอ๋ออีก ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะขึ้นมาสู่มิติเบื้องบน และที่สำคัญกว่านั้น…
ทั้งหยู่เฟยเอ๋อกับหูเหยาเหย่าเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์แล้ว!
“ใช่ ทั้งคู่กำลังดวลกัน” ตู้ชิงหย่วนพูด “สองคนนั้นฝึกฝนหนักมาก ฝึกวรยุทธทุกวันตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เพราะความหมั่นเพียรของพวกเธอที่ทำให้ทั้งคู่แข็งแกร่งขึ้นมากในระยะเวลาอันสั้น”
ไม่มีนักรบคนไหนก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดได้โดยไม่ผ่านการเคี่ยวกรำฝึกฝน
ต่อให้เก่งกาจระดับจางเซวียน ก็ยังต้องใช้เวลาและความพยายามไม่น้อยกว่าจะฝึกฝนวรยุทธจนได้อย่างที่เขาเป็นอยู่
…..
หลังจากดวลกันได้ครู่หนึ่ง ในที่สุดสุภาพสตรีเสื้อคลุมสีแดงทั้งสองก็จบการดวลและนั่งพักที่ด้านข้างหน้าผา หน้าตาสวยสดงดงามของพวกเธอมีร่องรอยของความผิดหวัง
“อย่ามัวเสียแรงเลย ถ้าไม่มีรังสีสวรรค์ พวกเราก็ก้าวข้ามด่านคอขวดเพื่อขึ้นสู่สรวงสวรรค์ไม่ได้หรอก!” คนหนึ่งโพล่งออกมา
จากนั้น ชายอายุ 30 ปีคนหนึ่งก็กระโจนขึ้นมาบนหน้าผา
หลัวชวนฉิง!
ตอนนี้หลัวชวนฉิงก็เป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เช่นกัน อีกทั้งไม่ได้อ่อนด้อยกว่าสุภาพสตรีทั้งสอง
“ฉันรู้ แต่…เราหมดหนทางแล้วจริงๆหรือ?” หยู่เฟยเอ๋อกำหมัดแน่นด้วยความหงุดหงิด
“นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ผมเสนอว่าเราควรใช้กำลังบุกเข้าไป อาจอันตรายก็จริง แต่อย่างน้อยก็ยังมีเศษเสี้ยวของความหวังอยู่บ้าง แต่หากมัวรออยู่ที่นี่ ก็จะกลายเป็นการพลัดพรากชั่วนิรันดร์!” หลัวชวนฉิงพูด
“การพลัดพรากชั่วนิรันดร์…” หยู่เฟยเอ๋อพึมพำลอดไรฟัน
ช่องว่างระหว่างมิติเบื้องบนกับสรวงสวรรค์ไม่เหมือนกับช่องว่างระหว่างมิติเบื้องบนกับทวีปแห่งปรมาจารย์ ที่หากใช้ความพยายามสักหน่อยก็พอจะก้าวข้ามไปได้ และที่สำคัญกว่านั้น ต่อให้พวกเธอเข้าสู่สรวงสวรรค์ได้สำเร็จ ก็ยังไม่รู้ว่าจะรับมือกับแรงกดดันของมิติที่เพิ่มขึ้นเป็นร้อยเป็นพันเท่าได้หรือไม่
“ผมไม่รู้ว่าระดับขั้นของวรยุทธในสรวงสวรรค์มีอะไรบ้าง แต่ผู้ที่อาศัยอยู่ในโลกใบนั้นล้วนแต่เป็นอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องและนักรบที่เก่งกาจจากโลกต่างๆ แต่เราก็ไม่เคยเห็นนักรบจากสรวงสวรรค์ลงมาที่นี่สักคน บ่งบอกชัดเจนว่าการฝ่าปราการมิติของสรวงสวรรค์นั้นยากเย็นแค่ไหน ต่อให้น้องสาวของผมหรือปรมาจารย์จางจะเก่งกาจอย่างไร พวกเขาก็คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายร้อยปีหรืออาจเป็นพันปีในมิติเบื้องบน ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น พวกเราคงตายไปนานแล้ว!”
นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่อาศัยอยู่ในมิติเบื้องบนมีอายุขัยราว 1000 ปี ซึ่งหากนานกว่านั้นก็ถือว่าเกินกำลังของพวกเขา
ความแตกต่างอย่างสุดขั้วของกระแสกาลเวลาหมายความว่าเส้นทางของพวกเขาไม่มีวันบรรจบกันได้อีก กว่าผู้ที่ขึ้นสู่สรวงสวรรค์จะแข็งแกร่งพอที่จะกลับมาหาพวกเขาได้ ทุกคนก็คงกลายเป็นเถ้าถ่านไปหมดแล้ว
“ฉันก็เข้าใจ” หยู่เฟยเอ๋อพูดด้วยสีหน้าที่ยังไม่พร้อมยอมรับ “แต่…”
“คุณจะลังเลอะไรอีก?” หลัวชวนฉิงโพล่งออกมา “พวกเราล้วนตกที่นั่งเดียวกัน ทั้งคุณกับผมก็รู้อยู่แก่ใจว่าเราไม่มีทางไปได้ไกลกว่าการเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์-สูงสุด ทางเลือกเดียวที่พวกเรามีก็คือพยายามบุกเข้าสู่สรวงสวรรค์ให้ได้ ต่อให้อันตรายแค่ไหน ก็ต้องลองสักตั้ง!”
หยู่เฟยเอ๋อเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ลงมือเถอะ…”
“เฟยเอ๋อ หัวหน้าตู้บอกไว้ว่าพวกเราต้องสำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าเสียก่อนถึงจะเข้าสู่สรวงสวรรค์ได้ ไม่อย่างนั้นได้ตายแน่ๆ!” หูเหยาเหย่าขัดขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้ว
ตั้งแต่ทั้งสามได้เป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์-สูงสุด วรยุทธของพวกเขาก็ไม่ยอมก้าวหน้าอีกเลย ทุกคนพยายามทุกวิถีทางแล้ว แต่ไม่ช้าก็รู้ตัวว่าไม่อาจก้าวข้ามด่านสุดท้ายหากไม่มีรังสีสวรรค์
ซึ่งถ้าไม่ได้เป็นเทพเจ้า ก็ไม่อาจเข้าสู่สรวงสวรรค์ได้ นี่คือโซ่ตรวนที่รั้งนักรบทุกคนในมิติเบื้องบนไว้ ฉุดพวกเขาไม่ให้เจริญก้าวหน้า
“ฉันคิดถึงเขาเหลือเกิน ถ้าตอนนี้ไม่ได้ติดตามเขา ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม” หยู่เฟยเอ๋อพึมพำลอดไรฟัน
ถ้าเธอเลือกเส้นทางเดียวกับจ้าวหย่าและคนอื่นๆ ป่านนี้ก็คงได้อยู่ในสรวงสวรรค์แล้ว เธอคงไม่ถูกทิ้งไว้ที่นี่ ต้องตรากตรำฝึกฝนวรยุทธอย่างหนักเพียงเพื่อความเป็นไปได้ที่อยู่ไกลแสนไกล การจะได้พบชายหนุ่มคนนั้นอีกครั้งไม่ต่างอะไรกับความฝัน
“ในเมื่อคุณสองคนตัดสินใจแล้ว ฉันก็จะไปด้วย คงต้องบอกว่าเจ้าบ้านั่นมีเสน่ห์พิลึกพิลั่นที่ดึงดูดใจเหลือเกิน” หูเหยาเหย่าพูดยิ้มๆ
ในครั้งนั้น จางเซวียนมีระดับวรยุทธอ่อนด้อยกว่าเธอมาก เธอยังจำได้ว่าเคยพยายามกลั่นแกล้งเขาอย่างไร แต่แล้วก็ต้องเดือดร้อนเอง
ตอนนั้นเธอโกรธมาก แต่การหวนนึกถึงในเวลานี้ทำให้เธอยิ้มได้
ทั้งคู่ไม่เคยมีความผูกพันล้ำลึกต่อกัน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอจดจำภาพระหว่างเธอกับเขาได้อย่างชัดเจน ราวกับตัวเขาทิ้งรอยประทับไว้ในใจของเธอ และหูเหยาเหย่าก็ไม่อาจสลัดอีกฝ่ายให้หลุดออกจากใจได้ ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เธอก็นึกภาพไม่ออกเลยว่าจะยอมทำเพื่อใครสักคนได้มากขนาดนี้
“ในเมื่อพวกเราตัดสินใจแล้ว ก็เลือกวันกันเลยดีกว่า!”
เมื่อเห็นว่าในที่สุดก็โน้มน้าวสองสาวได้สำเร็จ หลัวชวนฉิงถอนหายใจอย่างโล่งอก
ในตอนนั้น ใครคนหนึ่งก็เดินขึ้นมาบนยอดเขา
ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหวู่เฉิน
“มีคนขอให้ผมมอบสิ่งนี้ให้พวกคุณ” หวู่เฉินพูดขณะโยนขวดหยก 3 ใบให้ทั้งสาม
“ให้พวกเรา?” หลัวชวนฉิงทวนคำขณะรับขวดหยกไว้ เกือบล้มเพราะน้ำหนักมหาศาลของมัน
ขวดหยกมีน้ำหนักมากกว่าที่เขาคิดไว้หลายเท่า
เขาเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์-สูงสุด หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดของมิติเบื้องบน แต่เพียงแค่ขวดหยกใบเดียว ก็เกือบรับพลาด สิ่งนี้เกินพอที่จะบ่งบอกว่ามีบางอย่างพิเศษเกี่ยวกับขวดหยกใบนั้น
หลัวชวนฉิงมีสีหน้างุนงง เขาเปิดขวดและพิจารณาสิ่งที่อยู่ภายใน ที่อยู่ในขวดคือเลือดหยดหนึ่ง
“เลือดหยดเดียวจะหนักได้ขนาดนี้เชียวหรือ? เดี๋ยวก่อน…หรือนี่คือหยดเลือดของเทพเจ้า?” หลัวชวนฉิงหรี่ตาด้วยความสงสัย
ทุกอย่างจะเหมาะเจาะลงตัวหากหยดเลือดที่อยู่ในขวดหยกเป็นของเทพเจ้าจริงๆ เพราะเลือดนั้นจะได้รับการถ่ายทอดพละกำลังและพลังชีวิตไว้เต็มเปี่ยม และมีน้ำหนักมากกว่าหยดเลือดของนักรบทั่วไปมาก เรื่องนี้เป็นที่รู้ทั่วกันในหมู่ชนชั้นสูงของมิติเบื้องบน
“ในหยดเลือดมีรังสีสวรรค์ด้วย หากเราซึมซับเข้าไป ก็คงยกระดับวรยุทธได้ถึงขั้นเทพเจ้า” หลัวชวนฉิงตั้งข้อสังเกตขณะตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น
หยู่เฟยเอ๋อกับหูเหยาเหย่าก็ตกตะลึงกับของกำนัลที่ได้มาโดยไม่คาดคิด ทั้งคู่เข้าใจทันที
มีแต่เทพเจ้าเท่านั้นที่จะมอบของกำนัลเป็นหยดเลือดของเทพเจ้า ซึ่งนั่นหมายความว่า…
หยู่เฟยเอ๋อหันขวับไปถามหวู่เฉินอย่างร้อนใจ “นี่คือเลือดของเขาใช่ไหม? เขาอยู่ไหน?”
เธอสัมผัสได้ สัญชาตญาณบอกเธอว่ามันต้องเป็นแบบนั้น หยดเลือดที่อยู่ในขวดหยกจะต้องเป็นของชายที่เธอกำลังตามหา!
“เขาจากไปแล้ว” หวู่เฉินตอบ “เขาฝากให้ผมส่งข้อความนี้ให้พวกคุณด้วย ‘เจอกันที่สรวงสวรรค์’”
“เจอกันที่สรวงสวรรค์?”
ทั้งสามคนถึงกับตัวสั่น
นั่นหมายความว่าเขาลงจากสรวงสวรรค์มายังมิติเบื้องบนแห่งนี้
ทุกคนคิดว่าคงไม่มีโอกาสได้พบกันอีกแล้วหลังจากได้รู้ว่าทั้งคู่อยู่ในสรวงสวรรค์ ใครจะไปคิดว่าเส้นทางของพวกเขาจะมาบรรจบกันแบบนี้?
ในช่วงเวลาเพียงสิบปี…ไม่ใช่สิ เพียงเดือนเดียวเท่านั้นในสรวงสวรรค์ เขาก็พัฒนาตัวเองจนแข็งแกร่งพอจะฝ่าปราการแห่งมิติและเดินทางกลับมายังมิติเบื้องบนได้
“ชวนฉิง นี่คือของกำนัลที่เขาบอกให้ผมมอบให้คุณ เขายังฝากข้อความให้คุณด้วย” หวู่เฉินพูดขณะยื่นของชิ้นหนึ่งให้
หลัวชวนฉิงมองของที่อยู่ในมือหวู่เฉินอย่างงุนงง แต่แค่เห็นแวบเดียว เขาก็อึ้งด้วยความอัศจรรย์ใจ “นี่มันของฉีฉี…เธออยู่ไหน?”
สิ่งที่เขาได้รับเป็นแค่กิ๊บติดผมสีฟ้าราคาถูกอันหนึ่ง มันคือของขวัญที่เขาเคยมอบให้น้องสาวเมื่อตอนที่ทั้งคู่ยังเด็ก
หลัวชวนฉิงกำกิ๊บติดผมไว้แน่นและถามอย่างร้อนใจ “เขาพูดอะไรบ้าง?”
“เขาบอกว่าเขาปฏิบัติภารกิจที่คุณมอบหมายให้สำเร็จแล้ว และถ้าคุณอยากพบตัวเขาหรือน้องสาวล่ะก็ ควรรีบฝ่าด่านวรยุทธและมุ่งหน้าสู่สรวงสวรรค์โดยเร็ว!” หวู่เฉินตอบ
“สรวงสวรรค์? ก็ดี! ฮ่าฮ่าฮ่า เจอกันที่สรวงสวรรค์ก็แล้วกัน! ดูเหมือนเขาจะแข็งแกร่งขึ้นพอตัวในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา แต่ผมก็จะตามเขาให้ทัน เจอกันอีกหนเมื่อไหร่ ผมจะต่อยหมอนั่นให้ฟันร่วงหมดปาก!” หลัวชวนฉิงหัวเราะลั่น นัยน์ตาแดงก่ำ
“เราจะได้พบกันเร็วๆนี้แล้ว…”
หยู่เฟยเอ๋อกับหูเหยาเหย่าสบตากันก่อนจะก้มลงมองขวดหยกในมือ ทั้งคู่กำขวดหยกไว้แน่น ไม่อาจปิดบังสีหน้าที่บ่งบอกความตื่นเต้นและความคาดหวังของตัวเองได้
รอก่อนนะจางเซวียน พวกเรากำลังจะไปหาคุณ!
“นี่คือเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายที่คุณเคยพูดถึงใช่ไหม?”
หลัวฉีฉีจ้องดูซากปรักหักพังตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามกับจางเซวียน
เมืองนี้พังทลายไม่มีชิ้นดี ไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตให้เห็น ยากจะเชื่อว่าครั้งหนึ่งที่นี่เคยเป็นเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดที่แสนเจริญรุ่งเรือง
ตอนแรก หลัวฉีฉีตั้งใจจะทักทายหลัวชวนฉิงกับคนอื่นๆ แต่สุดท้ายก็ห้ามใจไว้
เธอรู้สึกว่าหากได้พบกันที่สรวงสวรรค์คงจะเหมาะสมกว่า
เพราะต่อให้ได้เจอกัน ก็คงเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น แถมยังอาจทำให้พวกเขาสูญเสียความตั้งใจในการพัฒนาตัวเองด้วย
ดังนั้น หลังจากลังเลอยู่นาน หลัวฉีฉีก็ตัดสินใจจากมาโดยไม่พบใคร, เหมือนกับจางเซวียน เธอเชื่อว่าวันที่พวกเธอจะได้หวนคืนมาเจอกันอีกครั้งคงไม่นานเกินรอ
หลัวฉีฉีเดินทางเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์และพบปะสมาชิกในครอบครัวของเธอ ก่อนจะมุ่งหน้ากลับสู่มิติเบื้องบน
ด้วยกระแสกาลเวลาที่ต่างกันของโลกสองใบ แม้เธอจะใช้เวลากว่าครึ่งวันกับครอบครัว แต่เวลาในมิติเบื้องบนก็ผ่านไปเพียงชั่วโมงกว่าๆเท่านั้น