Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1075 : ไม่ตอบสนอง
“ข้ามาจากใต้ดิน…”
เมื่อเห็นตัวอักษรสีขาวซีดบนผิวกระจกสีดำ ไคลน์เย็นสันหลังวาบขึ้นมาทันที รูม่านตาขยายกว้าง ภายในใจนึกอยากจะสลับตำแหน่งกับหุ่นเชิดที่อยู่ในห้องถัดไป
และในห้องนอนบุรุษรับใช้ส่วนตัว เอ็นยูนที่กำลังหลับเงียบๆ พลันลืมตาขึ้น
ท้องของมันพองขึ้นเล็กน้อยและหดกลับ ราวกับมีหัวใจดวงที่สองโผล่ขึ้นตรงนั้น เป็นหัวใจที่เต้นในจังหวะเนิบนาบ
ขณะเดียวกัน ไคลน์มองเห็นคำตอบของกระจกวิเศษ อาโรเดสจากบนผิวกระจก:
เป็นภาพเคลื่อนไหวของวัตถุเหนียวหนืดสีดำที่พรั่งพรูออกจากรูบนพื้นดิน ของเหลวเหล่านั้นยุบพองตัวเองเป็นระยะและผุดมือเท้าขึ้นมาในจำนวนที่ไม่เท่ากัน แขนขาเหล่านั้นค่อยๆ แปรสภาพกลายเป็นสัตว์ประหลาดทีละหนึ่ง ระหว่างความวุ่นวาย แสงสว่างจุดหนึ่งพุ่งออกมาจากท่ามกลางบ่อของเหลว ตกลงบนก้อนหินและผสมผสานกันกลายเป็นกระจกสีเงินลวดลายโบราณ ทั้งสองฝั่งมีอัญมณีสีดำประดับ กระจกบานดังกล่าวกลายเป็นร่างหลักของอาโรเดสนับแต่นั้นเป็นต้นมา
มาจากใต้ดินจริงๆ … และดูเหมือนจะเป็นใต้ดินของปราสาทร้างที่ถูกผนึกไว้ด้วยประตูทองแดง… เราไม่เคยเชื่อมโยงสิ่งนี้กับอาโรเดสมาก่อน… นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะใต้ดินมักเชื่อมโยงกับหลายๆ สิ่งที่ไม่สลักสำคัญ ยกตัวอย่างเช่นถ่านหิน… อา…ก่อนจะถึงวันนี้ เราไม่เคยสัมผัสถึงความพิเศษของ ‘ใต้ดิน’ แม้แต่ครั้งเดียว… ไคลน์ควบคุมอารมณ์ที่คุกรุ่นภายในใจ แสร้งทำเป็นไม่แยแสคำตอบอันแสนน่ากลัวของอาโรเดส จากนั้นก็ถามด้วยสีหน้านิ่งเฉย
“อธิบายสถานการณ์มาหน่อย”
อักษรสีขาวเริ่มสั่นระริกและมอบบรรยากาศโศกเศร้าราวกับกำลังร้องไห้
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ข้าเองก็ไม่รู้รายละเอียดมากนัก จิตใต้สำนึกเพิ่งก่อตัวขึ้นหลังจากกลายเป็นกระจกเงาแล้ว… ไม่มีความทรงจำก่อนหน้านั้นแม้แต่นิดเดียว… จริงสิ… มีอยู่เรื่องหนึ่งที่อาจเกี่ยวข้องกัน ท่านต้องการฟังไหม?”
“พูด” เมื่อเห็นว่ากระจกวิเศษ อาโรเดสยังคงอยู่ในอาการปรกติ ไคลน์ค่อนข้างโล่งอก
ตัวอักษรบนผิวกระจกเริ่มกลับเป็นปรกติ ค่อนไปทางสีขาวสว่าง
“ตามที่ข้าเคยเล่าให้ฟังไปแล้ว… ข้ามองเห็นการค้ำจุนและการปกครองจากตัวท่าน… หากไม่รับเสียงเรียกหาที่ยากจะเข้าใจ ข้ายังรู้สึกกับท่านแบบเดียวกับที่รู้สึกกับใต้ดิน เป็นความอบอุ่นและสามารถพึ่งพิง นั่นคือสาเหตุที่ข้าเสนอตัวเป็นข้ารับใช้ของท่าน”
อะไรนะ… ใต้ดินมอบความรู้สึกเดียวกับหมอกสีเทา? เป็นความรู้สึกค้ำจุนและปกครองเหมือนกัน? เมื่อได้เห็นคำตอบของอาโรเดส เป็นอีกครั้งที่ไคลน์ตกตะลึงในใจ หากไม่มีพลังตัวตลกคอยช่วยเหลือ เกรงว่าคงได้เผยสีหน้าที่แท้จริงออกไป
ทันใดนั้น มันหวนนึกถึงมุกตลกในชีวิตก่อนหน้า จากนั้นก็นำมาปรับใช้กับสถานการณ์ปัจจุบัน
อะไรนะ? สิ่งที่เทพบรรพกาลหวาดกลัวมีต้นตอมาจากใต้ดิน?
อะไรนะ? กระจกวิเศษ อาโรเดสเองก็มาจากใต้ดิน?
อะไรนะ? หรือว่าเราเองก็มาจากใต้ดิน? แฮ่!
ทั้งน่าขันและน่าสะพรึงในเวลาเดียวกัน… ไม่สิ นี่อาจไม่ใช่แค่มุกตลก เจ้าของเดิมของมิติลึกลับเหนือสายหมอก หรือที่ควรเรียกว่าผู้สร้างบานประตูแห่งแสงซึ่งคอยดึงนักเดินทางข้ามโลกมาขังไว้ในรังไหม อาจมีต้นตอมาจากใต้ดินเช่นกัน หรือไม่ก็เกี่ยวข้องอย่างแน่นแฟ้นกับสิ่งที่อยู่ใต้ดิน… ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์ผุดทฤษฎีมากมาย
หลังจากความหม่นหมองกัดกินจิตใจ ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มพร้อมกับจิกกัดตัวเอง
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ยิ่งเราดำเนินชีวิตต่อไป เบาะแสเกี่ยวกับมิติเหนือสายหมอกแห่งนี้ก็พรั่งพรูเข้ามาไม่หยุด…
ไคลน์นั่งลงและตั้งคำถาม
“มีองค์กรลับหรือโบสถ์หลักแห่งใดบ้างที่มีข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ถูกผนึกอยู่ใต้ดิน?”
บนบานกระจก ตัวอักษรสีขาวเปลี่ยนเป็นสีเงินสว่าง
“ส่วนใหญ่ไม่ทราบ… ราวกับถูกพลังบางชนิดปกปิดไว้”
อย่าบอกนะว่า… พรแห่งการปกปิด? ไคลน์ขมวดคิ้วแต่มิได้กล่าวคำใด
อักษรสีเงินยังคงเรียงตัวเป็นประโยค
“แต่ในองค์กรลับบางแห่งก็มีการเขียนตำนานถึงเรื่องนี้… ส่วนใหญ่เล่าว่า ใต้ดินคือรังของปีศาจและวิญญาณมาร เป็นบ่อเกิดความชั่วร้ายในจิตใจมนุษย์ เป็นบาปต้นกำเนิดอันแสนชั่วร้าย”
ประโยคแรกไม่จริงเลย… มีความเป็นไปได้สูงที่ใต้ดินจะไม่เกี่ยวกับปีศาจและวิญญาณมาร… อันที่จริง ‘ตำนาน’ นั้นคล้ายกับวิวรณ์จากโลกวิญญาณ ห้ามวิเคราะห์ตรงๆ แต่ต้องกะเทาะเปลือกออกเรื่อยๆ จนเหลือแค่แก่นแท้… หรือว่าตำนานขององค์กรลับเหล่านี้กำลังสื่อถึงความกลัวที่พวกมันมีต่อใต้ดิน เป็นความกลัวที่ซึมลึกเข้าไปถึงจิตใต้สำนึกและแปรเปลี่ยนเป็นอารมณ์? ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะพยักหน้า
“ตาเจ้าถามแล้ว”
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ อาโรเดส ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของท่านมีคำแนะนำเล็กน้อย ต้องการจะฟังหรือไม่?” บนผิวกระจกบานใหญ่ ตัวอักษรสีเงินถูกเขียนอย่างบรรจง
“ว่ามา” ไคลน์พอจะเดาได้ว่ากระจกวิเศษ อาโรเดสจะขอร้องในสิ่งใด
“ก่อนที่ท่านจะกลับสู่บัลลังก์เทพ พยายามอย่าสืบสวนเกี่ยวกับสิ่งที่ถูกผนึกอยู่ใต้ดินได้ไหม?” แสงสีเงินเรียงตัวเป็นประโยคอย่างรวดเร็ว
นั่นปะไร… ไคลน์ถอนหายใจเงียบและกล่าวอย่างสุขุม
“คำถามถัดไป… เจ้าทราบได้อย่างไรว่า ‘การเดินทางของกรอซาย’ ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากการหายตัวเองของเมืองแห่งปาฏิหาริย์ เลฟซิด”
ข้อความบนผิวกระจกเริ่มบิดเบี้ยวและรวมตัวกันเป็นก้อนกลม ก่อนจะกระจัดกระจายหายไป
“เป็นวิวรณ์จากโลกวิญญาณ และเนื่องจากต้นกำเนิดของวิวรณ์นี้มาจากเทพรับใช้แห่งมหามังกร มังกรแห่งปัญญาโดยตรง ข้ารับใช้ของท่านจึงค่อนข้างเชื่อว่านี่คือความจริง… นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ข้อมูลนี้มีปัญหาหรือ?”
ตรงไปตรงมาดี… ไคลน์ถอนหายใจพร้อมกับคิดว่า:
มังกรแห่งปัญญา เฮราเบอร์เก้นคงเข้ามาสำรวจในโลกหนังสือแล้วอย่างแน่นอน รวมถึงการเข้าใกล้บานประตูทองแดงด้านล่างบัลลังก์ และเนื่องด้วยคุณสมบัติด้าน ‘ความทรงปัญญา’ มีโอกาสอย่างมากที่เฮราเบอร์เก้นจะมีข้อมูลของสิ่งที่ถูกผนึกอยู่ใต้ดิน… นอกจากนั้นเรามีความรู้สึกว่ามังกรโบราณตัวนี้จะซุกซ่อนความลับบางอย่างไว้ใน ‘การเดินทางของกรอซาย’
ชายหนุ่มพอจะเข้าใจบางสิ่งอย่างเลือนราง แต่เลือนรางเกินไปจนจับใจความไม่ได้เลย
“เปล่า” ไคลน์ตอบคำถามของกระจกวิเศษ อาโรเดส
จากนั้นก็ถามหยั่งเชิง
“ทำไมเจ้าไม่เอ่ยนามเต็มของมังกรแห่งปัญญา?”
“เพราะข้ามิบังอาจเอ่ยพระนามเต็มของเทพแท้จริง” อาโรเดสตอบอ้อมๆ อย่างมีไหวพริบ
ไคลน์พยักหน้า มิได้กล่าวคำใดเพิ่ม
“ตาเจ้าถามแล้ว”
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ท่านยังมีคำถามอีกหรือไม่” ตัวอักษรสีเงินเรียงตัวกันอย่างรวดเร็วบนกระจกที่มีแสงสลัว
“หมดแล้ว… วันนี้พอเท่านี้” ไคลน์ส่ายหน้า
กล่าวจบ มันยังไม่ลืมที่สิ่งเคยเกิดขึ้นครั้งล่าสุด จึงรีบเสริม
“ถ้ามีคำถามเพิ่มเติมจะอัญเชิญออกมาใหม่”
กระจกยาวบานใหญ่พลันส่องแสง เช่นเดียวกันกับตัวอักษรสีเงิน
“ขอรับ นายท่าน! อาโรเดส ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์และแน่วแน่ของท่าน จะเฝ้ารอการเรียกหาของท่านอีกครั้งอย่างใจจดใจจ่อ~”
คราวนี้ไม่ใช่ภาพของตัวก้างปลากำลังโบกมือ แต่เป็นอุ้งเท้าแมวสีขาวที่ตรงกลางเป็นหัวใจสีแดง
มีลูกเล่นใหม่ทุกครั้ง… มุมปากไคลน์กระตุกแผ่วเบาก่อนที่แสงสว่างในห้องนอนจะกลับเป็นปรกติ
ชายหนุ่มยืนอยู่ท่ามกลางความมืด ร่างกายฉาบแสงจันทร์สีแดงนวลที่แทรกซึมผ่านเข้ามาทางผ้าม่าน หลังจากปล่อยให้ความเงียบเข้ามาปกคลุมสักพัก ชายหนุ่มตรงกลับไปที่เตียงนอนและเข้าฌานเพื่อให้หลับ
เช้าวันถัดมา หรือเช้าตรู่ในวันจันทร์ ไคลน์ตื่นเร็วกว่าปรกติประมาณสิบห้านาที หลังจากแต่งตัวเสร็จด้วยความช่วยเหลือจากบุรุษรับใช้เอ็นยูน ชายหนุ่มเดินลงไปที่ชั้นแรกและพูดกับพ่อบ้านวอลเตอร์
“เมื่อคืนผมฝันร้าย อยากแวะไปที่วิหารก่อนอาหารเช้า”
พ่อบ้านวอลเตอร์ประหลาดใจเล็กๆ แต่ก็มิได้แตกตื่น ตราบใดที่วิหารเปิดประตู สาวกจะเข้าไปตอนไหนก็ได้
มันรีบจัดเตรียมรถม้าและเดินไปส่งดอน·ดันเตสจนถึงหน้าประตู
เมื่อไคลน์เดินทางถึงวิหารนักบุญแซมมวล ประตูวิหารยังไม่เปิดต้อนรับ ต้องรอจนกระทั่งแปดโมงตรงจึงได้โอกาสตามสาวกกลุ่มแรกเข้าไปนั่งที่ม้านั่งแถวหน้าๆ ของโถงสวดมนต์ หันหน้าเข้าหาตราศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืด ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบเชียบและสุขสงบ ชายหนุ่มหลับตาลงและเอ่ยพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์เป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ
“เทพธิดารัตติกาลผู้สูงสง่ายิ่งกว่าดวงดารา ผู้ยั่งยืนยิ่งกว่านิรันดร์ พระองค์ผู้เป็นสตรีสีชาด มารดาแห่งความลับ จักรพรรดินีแห่งเคราะห์กรรม นายหญิงแห่งความเงียบและสุขสงบ…”
ท่องพระนามเต็มจบ มันเปลี่ยนกลับมาพูดเป็นภาษาโลเอ็นธรรมดา
“ณ ปราสาทเก่าแก่หลังหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางป่าเดแลร์ ชั้นใต้ดินมีประตูทองแดงคอยผนึกพลังกัดกร่อนที่ลึกลับและร้ายกาจ… ผมควรจัดการกับปัญหาดังกล่าวด้วยวิธีใด”
ไคลน์มิได้กำลังทดสอบเทพ แต่เป็นการ ‘รายงาน’ ตามหน้าที่ ส่วนหลังจากนี้ทางศาสนจักรจะตอบสนองเช่นไรและพบเจอสิ่งใด นั่นไม่เกี่ยวกับตน
ท่องครบเจ็ดหน ชายหนุ่มเริ่มสวดมนต์ตามปรกติอย่างเคร่งขรึม
กระแสเวลาไหลผ่านไปตามธรรมชาติ ท่ามกลางวิหารที่มืดมิดและเงียบสงบ ไคลน์ลุกขึ้นยืนและพาบุรุษรับใช้เอ็นยูนเดินออกจากวิหารนักบุญแซมมวล
ตั้งแต่ต้นจนจบ มันไม่ได้รับวิวรณ์ใดอีกเลย และไม่พบหัวหน้านักบวชแห่งรัตติกาล อาเรียนน่า
การตอบสนองเช่นนี้เองก็มีความหมายในตัวมัน
นั่นคือตนยังไม่มีสิทธิ์รับรู้ข้อมูลของสิ่งที่ถูกผนึกไว้ใต้ดิน
…
เขตตะวันออก ภายในห้องพักแบบสองห้องนอน
ฟอร์สดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัว
เธอเกลียดผ้าม่านของห้องนี้มาก เพราะมันทั้งบางและโปร่ง แทบไม่ช่วยยับยั้งแสงสว่างที่ทะลักเข้ามา ส่งผลด้านลบต่อคุณภาพในการนอน
คงต้องเปลี่ยนมันสินะ… ไม่สิ เราอาจต้องย้ายที่อยู่อีก… ขณะความคิดมากมายแล่นผ่านสมอง ฟอร์สได้ยินเสียงเปิดประตูห้องนอนดังพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยของซิล
เพียงพริบตาเดียว ผ้าห่มของเธออันตรธานหายพร้อมกับจดหมายฉบับหนึ่งที่ตกลงบนหน้าอก
“จดหมายของเธอ… มาจากท่าเรือพริสต์” ซิลแจ้งข่าว
“…อาจารย์เขียนตอบแล้ว” ฟอร์สรีบลุกพรวดขึ้นมานั่ง เปิดกระดาษจดหมายและกวาดตาอ่าน
หลังจากเงียบงันไปครู่หนึ่ง หญิงสาวกล่าวขึ้น
“ฉันต้องออกไปข้างนอกสักพัก อาจารย์มาถึงเบ็คลันด์แล้ว… จดหมายฉบับนี้ควรต้องส่งมาถึงเมื่อสองวันก่อน!”
บนจดหมายมีการเขียนวันที่ส่งและจ่าหน้าซอง
“บุรุษไปรษณีย์ที่นี่ทำงานแย่ชะมัด…” ซิลชำเลืองเพื่อนสนิท “ยังทันหรือ?”
“โชคดีที่อาจารย์บอกว่าจะรอสามวัน” ฟอร์สรีบลุกออกจากเตียงนอนและเปลี่ยนเสื้อผ้า
เธอมีลางสังหรณ์ว่า การพบปะในวันนี้จะช่วยให้เธอเข้าใจเกี่ยวกับตระกูลอับราฮัมมากขึ้น และอาจได้รับสูตรโอสถ ‘นักท่องเที่ยว’ พร้อมกับวัตถุดิบอีกสองสามชนิด
……………………………..