Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1083 : เบ็คลันด์โกลาหล
แม้ทะเลโซเนียจะไม่ค่อยมีหมอกหนาเหมือนกับทะเลหมอก แต่ถ้าเป็นทางแถบเหนือ ในฤดูหนาวและใบไม้ร่วงก็มักมีหมองบางๆ ให้เห็น
โทสะสีครามของอัลเจอร์·วิลสันกำลังแล่นอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีหมอกจางๆ ปกคลุม ไต่ไปตามขอบเกาะโซเนียเพื่อมุ่งหน้ากลับชายฝั่งโลเอ็น
มันใช้เวลาอยู่ในแถบเหนือของทะเลโซเนียค่อนข้างนานแล้ว จึงถึงคราวต้องกลับไปรายงานโบสถ์ตามกำหนดการ
ท่ามกลางหมอกจาง เรือผีสิงแล่นตรงไปอย่างต่อเนื่อง บ้างโผล่บ้างหาย ราวกับความฝันไม่หลงทิ้งร่องรอย
อัลเจอร์ที่ถูกห่อหุ้มด้วยสายลมกำลังลอยตัวภายในห้องกัปตันและชื่นชมโลกสีขาวด้านนอกหน้าต่าง ขณะเดียวกันก็ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปอย่างไร้ทิศทาง
ทันใดนั้น ดวงตาของมันพลันหดเกร็งพร้อมกับมีแสงสีเงินสว่างขึ้นในรูม่านตา อัลเจอร์มองเห็นเรือใบลำใหญ่กำลังแล่นผ่านหมอกหน้าเบื้องหน้าในระยะไกลด้วยความเงียบเชียบ
และไม่ได้มีแค่ลำเดียว ด้านหลังยังมีเรือแบบเดียวกันแล่นตามมาหนึ่งลำ สองลำ สามลำ จนกระทั่งกลายเป็นกองเรือขนาดใหญ่ในระยะไกล
กองทัพเรือโซเนียของฟุซัค… พวกมันเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว… กำลังมุ่งหน้าไปไหน? ฝ่าเท้าอัลเจอร์ร่อนลงมาสัมผัสพื้น
มันรีบหันไปมองในอีกทิศทางหนึ่ง เป็นตำแหน่งที่เกาะโซเนียตั้งอยู่
หลังจากแลกเปลี่ยนข้อมูลกับชุมนุมทาโรต์หลายครั้ง อัลเจอร์พบจะทราบว่าสถานการณ์โลกกำลังตึงเครียด สงครามสามารถปะทุขึ้นได้ทุกขณะ มันรีบเชื่อมโยงข้อมูลและผุดสมมติฐานทันที
สำหรับทั้งจักรวรรดิฟุซัคและอาณาจักรโลเอ็น เกาะโซเนียเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญมาก หากถูกโลเอ็นยึดครองกองทัพเรือตะวันออกของฟุซัคจะถูกขังอยู่ในทะเลเหนือที่หนาวเย็น หมดสิทธิ์แก่งแย่งดินแดนอาณานิคมในทะเลโซเนียทั้งหมด และไม่สามารถเดินทางไปยังไบลัมตะวันออก นอกจากนั้น หากพวกมันประกาศสงครามกับโลเอ็น การส่งกองทัพมารุกรานแผ่นดินใหญ่ของโลเอ็นจะกลายเป็นเรื่องยากมาก เพราะต้องข้ามเทือกเขาอมานด้าหรือไม่ก็แคว้นเลียบทะเล ต้องผ่านแนวป้องกันของหลายแคว้น
แต่ถ้าจักรวรรดิฟุซัคยึดครองเกาะโซเนียสำเร็จ พวกมันสามารถใช้จุดนี้เป็นฐานการโจมตีท่าเรือทั้งหมดของโลเอ็นในภาคเหนือและภาคกลาง หนึ่งในนั้นคือท่าเรือเอ็นมาร์ตและท่าเรือพริสต์ และถ้าผู้บัญชาการสงครามของฟุซัคไม่เกรงกลัวการสูญเสีย พวกมันสามารถรุกคืบจากท่าเรือพริสต์ขึ้นฝั่งมาโจมตีเมืองหลวงอย่างเบ็คลันด์ได้โดยตรง
ที่เป็นเช่นนี้เพราะใน ‘สงครามยี่สิบปี’ จักรวรรดิฟุซัคเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะและยึดครองดินแดนสำคัญทางตอนใต้ของโลเอ็นไป
และใน ‘ศึกตระบัดสัตย์’ อาณาจักรโลเอ็นอาจเป็นฝ่ายได้รับใช้ชนะ แต่ก็ล้มเหลวในการทวงดินแดนซึ่งเป็นเหตุผลหลักของสงคราม เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จเพียงครึ่งเดียว
อัลเจอร์จ้องมองฉากตรงหน้าสักพักก่อนจะพึมพำ
“หรือสงครามกำลังจะปะทุ?”
…
กรุงเบ็คลันด์ กองเรือเหาะของฟุซัคแล่นเข้าสู่น่านฟ้าเขตเหนือและรุกล้ำมหานครแห่งนี้สำเร็จ
ในวินาทีที่พวกมันขยับเข้าใกล้ ดูเหมือนว่ามหาวิหารวายุศักดิ์สิทธิ์ได้เตรียมการบางอย่างไว้ล่วงหน้า สายลมหวีดร้องเสียงดังพร้อมกับการพุ่งขึ้นไปบนฟ้าของ ‘ลมเฉือน’ สีน้ำเงินเข้มขนาดมหึมา ถล่มใส่เป้าหมายประหนึ่งการระดมยิงด้วยจรวดต่อต้านอากาศยาน
เมื่อเห็นว่าลมเฉือนขนาดยักษ์กำลังจะพุ่งปะทะถุงลมของเรือเหาะ ม่านบาเรียล่องหนพลันปรากฏกาย สกัดกั้นการโจมตีไว้ได้ทั้งหมด
ท่ามกลางการโหมกระหน่ำที่ดุเดือด ‘กำแพง’ ล่องหนสั่นไหวรุนแรง แต่สุดท้ายก็ต้านทานไว้ได้
ขณะเดียวกัน กลไกในจุดติดตั้งปืนใหญ่และปืนกลบนเรือเหาะเริ่มทำงาน ปากกระบอกลอดออกมาจากช่องว่างและเล็งลงไปยังด้านล่าง
บึ้ม! บึ้มบึ้มบึ้ม!
ขณะพายุเฮอร์ริเคนรอบๆ มหาวิหารวายุศักดิ์สิทธิ์เริ่มก่อตัว เสียงระเบิดที่ดังสนั่นกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง
ท่ามกลางลมพายุที่เกรี้ยวกราด กองเรือเหาะเปรียบดังเรือใบลำเล็กที่แล่นปะทะเข้ากับคลื่นยักษ์ลูกเท่าภูเขา หมิ่นเหม่จะถูกซัดจนคว่ำ
ทันใดนั้นเอง แสงสีเลือดผสมสนิมพลันสว่างวาบจากเรือเหาะที่บินนำมา แสงดังกล่าวปกคลุมรอบเรือเหาะทุกลำราวกับจะเรียงร้อยเข้าด้วยกัน
เพียงพริบตา กองเรือเหาะของฟุซัคสามารถรักษาสมดุลภายในพายุเฮอร์ริเคน มิได้เป็นเพียงเรือใบท่ามกลางคลื่นยักษ์อีกต่อไป
และพลังเส้นทางนักบวชสีชาดในลำดับสูงเกิดมาเพื่อสงคราม และสงครามคือศาสตร์แห่งการระดมพล!
นี่คืออำนาจของ ‘นักบวชสงคราม’ !
หลังจากป้องกันการโจมตีระลอกแรกไว้ได้ กองเรือเหาะของฟุซัคอาศัยช่องว่างระหว่างระลอก รีบเปิดท้องเรือพร้อมกับทิ้งระเบิดลงไป
และท่ามกลางพายุ ไม่มีใครสามารถคาดเดาจุดตกของระเบิดได้
บึ้ม! บึ้มบึ้ม!
ปากกระบอกปืนใหญ่เองก็เริ่มส่องแสงและแสดงฤทธิ์เดชเพื่อเทิดทูนเกียรติยศของเทพสงคราม
กองเรือเหาะไม่มีเจตนาจะบินไปทั่วกรุงเบ็คลันด์ หลังจากรุกล้ำเขตเหนือได้เล็กน้อย พวกมันบินตรงไปยังเขตตะวันตกทันที เพราะที่นั่นคือศูนย์กลางการเมืองและการบริหารของอาณาจักรโลเอ็น
…
เขตเหนือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเบ็คลันด์
ใบเมเปิ้ลอินทิสกำลังโยนเอนไปตามสายลม นักเรียกที่บ้างสะพายเป้ บ้างถือกระเป๋า เดินสวนกันไปมาภายในมหาวิทยาลัย
ในฐานะสมาชิกของสถาบันอุดมศึกษา ในฐานะนักศึกษารุ่นแรกของมหาวิทยาลัยที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ หนุ่มสาวเหล่านี้ล้วนเปี่ยมไปด้วยความกระฉับกระเฉง หลายคนมองไปถึงอนาคตอันสดใสในวันข้างหน้า จึงนัดรวมตัวกันทุกวันเพื่อทำกิจกรรมจำพวก แบ่งปันแนวคิด ท่องกวี และทำการวิจัยทางเทคโนโลยี ทุกคนเปี่ยมไปด้วยความสุขและความสดใส
เมลิสซ่า·โมเร็ตติเดินสวนกับเด็กไฟแรงเหล่านี้พลางแหงนหน้ามองนาฬิกาแขวนบนอาคารหลัก สองขาเร่งความเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เธอกำลังจะไปช่วยอธิการบดีโมมงต์จัดเตรียมงานเปิดตัวห้องปฏิบัติการเครื่องกล
สิ่งนี้ทำให้เธอมีความสุขอย่างมาก มันคือแหล่งความสุขในทุกๆ วัน เมลิสซ่ารู้สึกว่าชีวิตมหาวิทยาช่างงดงามและเพื่อนร่วมชั้นก็น่ารัก
โดยไม่รู้ตัว เมลิสซ่าหันไปมองหัวรถจักรไอน้ำที่ตั้งอยู่กึ่งกลางจัตุรัสภายในมหาวิทยาลัย ขนาดของมันใหญ่โต ความซับซ้อนของมันคือเสน่ห์ที่น่าหลงใหลของศาสตร์แห่งกลไก
มีนักเรียนจำนวนไม่น้อยแวะเวียนมาที่นี่และทำการเคาะหรือทุบเบาๆ รวมถึงวิเคราะห์หาหลักการทำงาน แม้ทางมหาวิทยาลัยไม่ได้มีข้อห้ามกำหนดไว้ แต่ก็ไม่ได้สนับสนุนให้ทำ
เมลิสซ่ายกมุมปากขึ้นเล็กน้อยก่อนจะถอนสายตากลับ
ทันใดนั้น วัตถุสีเทาโลหะตกจากท้องฟ้าลงมายังกึ่งกลางจัตุรัส
บึ้ม!
แผ่นดินสั่นสะเทือนรุนแรงพร้อมกับการแตกละเอียดของกระจกอาคารหลัก หากไม่ใช่เพราะยืนอยู่ห่างมาก เมลิสซ่าเองก็คงลอยไปในอากาศ
ดังกรีดร้องดังขึ้นตามมา และเฉกเช่นนักเรียนคนอื่น เมลิสซ่าวิ่งหนีไปด้วยความแตกตื่นโดยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เธอเพิ่งจะอายุสิบหกเท่านั้น ย่อมไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้
ฝุ่นควันที่พวยพุ่งขึ้นฟ้าเริ่มสงบลง หลังจากแอบอยู่หลังต้นไม้สักพัก เมลิสซ่ามองไปยังจุดที่เกิดระเบิดโดยไม่รู้ตัว
สีหน้าของเธอพลันแข็งทื่อ ดวงตากลายเป็นหมองหม่น
หัวรถจักรไอน้ำกระจัดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เศษชิ้นส่วนต่างๆ กระเด็นไปทุกทิศทาง
นักศึกษาที่กำลังมุงรอบหัวรถจักรจนถึงเมื่อครู่ รวมถึงคนที่เดินผ่านไปมา ทั้งหมดล้มลงไปบนพื้นด้วยร่างกายที่ไม่ปะติดปะต่อ ส่วนใหญ่ระบบทางเดินหายใจหยุดทำงานโดยสมบูรณ์ บ้างชุ่มเลือด บ้างไหม้เกรียม และบ้างส่งเสียงร้องโอดโอย
ฉากตรงหน้าเป็นราวกับภาพวาดสีน้ำมันที่ดูไม่สมจริง เมลิสซ่าจ้องมองด้วยสายตาเหม่อลอยและทำอะไรไม่ถูก
คาร์เตอร์ เมลิสซ่ารู้จักนักศึกษาชายที่ขยันค้นคว้าคนนั้น ทุกครั้งที่ทุกคนมารวมตัวกันพูดถึงอนาคต คาร์เตอร์จะยืนกรานอย่างหนักแน่นว่าตนจะกลายเป็นวิศวกรเรือให้ได้ แต่ในวินาทีนี้ ร่างกายของมันกลับเหลือเพียงครึ่งเดียว ลำไส้ไหลทะลักออกมาเต็มพื้น
ยูร่า เพื่อร่วมภาควิชาของเมลิสซ่า แม้จะเรียนด้านเครื่องจักร แต่เธอก็ชอบการแต่งกลอนและเขียนกวีอย่างมาก แถมยังมีพรสวรรค์เปี่ยมล้น ผู้คนรอบข้างล้วนชื่นชอบยูโดร่า และเมลิสซ่าเองก็มักจะหาเวลาไปฟังอีกฝ่ายท่องกวีเสมอ เธอเคยมองว่าเพื่อนคนนี้น่ารักและมีเสน่ห์ แต่ตอนนี้ขาของยูโดร่ากลับกำลังผิดรูปอย่างรุนแรง ปากส่งเสียงครวญครางในสภาพไม่ได้สติ
…
เพียงไม่กี่วินาที อนาคตของคนเหล่านี้พลิกผันอย่างโหดร้าย
จนกระทั่งอาจารย์หลายคนวิ่งออกมาจากตึก เริ่มช่วยเหลือและอพยพคนเจ็บ เมลิสซ่าได้สติกลับมาและรีบวิ่งเข้าไปหาอาจารย์
“ฟังทางนี้! พวกคุณทุกคนแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งวิ่งไปทางห้องปฏิบัติการ อีกกลุ่มวิ่งไปทางวิหารดีนีซ ทั้งสองแห่งมีห้องใต้ดินให้ซ่อนตัว” อาจารย์คนหนึ่งซึ่งกำลังมีสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีด แต่ก็ยังกัดฟันจัดระเบียบนักศึกษาอย่างเสียงดังฟังชัด คล้ายกับถูกฝึกอบรมในสถานการณ์เช่นนี้อย่างเข้มงวด
เมื่อมองไปรอบๆ ตัวและพบว่านักศึกษาไม่กล้าแยกกับกลุ่มอาจารย์ มันรีบตะโกน
“ไม่ต้องกังวล เรือเหาะของศัตรูแล่นไปทางเขตตะวันตกเรียบร้อยแล้ว ที่นี่จะปลอดภัย”
คำพูดของมันดังท่ามกลางเสียงระเบิดที่ดังแว่วมาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้
เขตตะวันตก… ที่นั่นมีรัฐสภา กระทรวง และศาลากลาง… หลังจากได้ยินคำอธิบาย เมลิสซ่าครุ่นคิดหลายสิ่ง
ดวงตาของเธอไหววูบหนึ่งครั้ง ก่อนจะเม้มปากแน่นและวิ่งไปทางประตูมหาวิทยาลัยโดยไม่สนใจคำแนะนำของอาจารย์ด้านหลัง
หลังจากวิ่งเลียบไปตามจุดที่มีกำแพง เมลิสซ่ามาถึงถนนใหญ่ เธอหายใจหอบก่อนจะมองไปรอบๆ ตัวเพื่อระบุทิศทาง
ทันใดนั้น หญิงมองเห็นทางเข้ารถไฟใต้ดินที่อยู่ไม่ห่างออกไป ถึงแม้จะสั่นกลัว แต่เมลิสซ่าก็ยังไม่ลืมสิ่งที่อาจารย์เพิ่งพูด
“…ใต้ดินที่สามารถซ่อนตัว!”
รถไฟใต้ดินก็คือใต้ดินไม่ใช่หรือไง? การทิ้งระเบิดเพิ่งเริ่มขึ้น ระบบรถไฟใต้ดินยังไม่น่าจะหยุดทำงาน… ท่ามกลางกระแสความคิด เมลิสซ่าวิ่งตรงไปยังทางเข้าซึ่งมีร่องรอยของระเบิด
เมื่อลงไปถึงใต้ดิน เธอพบว่าผู้คนบางตากว่าที่คิดไว้พอสมควร ดูเหมือนว่าคนธรรมดาที่ไม่เคยผ่านการฝึกจะคิดไม่ถึงเรื่องนี้
รถไฟฟ้าใต้ดินยังไม่หยุดวิ่ง แต่คนตรวจตั๋วไม่อยู่แล้ว หลังจากเมลิสซ่าอดทนรอสักพัก รถไฟแล่นมาจอดและผู้คนต่างก็วิ่งแย่งกันขึ้นไป
จนกระทั่งผ่านไปสามป้าย รถไฟจอดที่สถานีถนนหลวงราชา เมลิสซ่ารีบเบียดเสียดลงจากรถ
เรี่ยวแรงของเธอฟื้นคืนมาบ้างแล้ว หญิงสาวรีบวิ่งขึ้นบันไดเพื่อไปให้ถึงข้างบนโดยเร็ว
ทันใดนั้น สิ่งที่เธอได้เห็นคือความโกลาหล อาคารหลายหลังพังทลายและลุกท่วมด้วยเปลวไฟสีแดง ศพชุ่มเลือดกระจัดกระจายอยู่ทั่ว เธอได้ยินเสียงร่ำไห้ กรีดร้อง และคำสั่ง
ฉากตรงหน้าทำให้เมลิสซ่าตัดสินใจเร่งความเร็วด้วยความกระวนกระวาย ปลายทางคืออาคารสี่ชั้นซึ่งเป็นที่ตั้งของกระทรวงการคลัง
ทว่า บริเวณดังกล่าวถูกปิดตายไปแล้ว มองเห็นเพียงบานกระจกที่แตกร้าวหลายจุด ตามผนังเต็มไปด้วยรอยกระสุนและคราบระเบิด
เมลิสซ่าพยายามหาทางอ้อมเข้าไป แต่สุดท้ายก็ถูกห้ามไว้โดยทหารที่เคร่งครัดในคำสั่ง ผลลัพธ์เช่นนี้ยิ่งทำให้ดวงตาของเธอทวีความแดงก่ำ
ทันใดนั้น เธอเห็นร่างหนึ่งที่คุ้นเคย ไม่ใช่ใครนอกจากเบ็นสันผู้ไม่สวมหมวก เจ้าของเส้นผมสีดำและดวงตาสีน้ำตาล
เมื่อเห็นเมลิสซ่า เบ็นสันรีบวิ่งเข้ามาหา มันจ้องด้วยสายตาเป็นกังวลเจือความโกรธ จากนั้นก็ตำหนิ
“วิ่งมาที่นี่ทำไม? ทำไมไม่ซ่อนอยู่ใต้ดิน! ฉันปลอดภัยดี! เร็วเข้า ตามฉันมา!”
นายก็ไม่ได้ลงไปใต้ดินเหมือนกันนี่… เมลิสซ่าที่ไม่เคยถูกพี่ชายตะโกนตำหนิ ต้องการจะโต้แย้งกลับไป แต่ก็ทำไม่ได้เพราะดวงตาพร่ามัว
“ฟู่ว…” หลังจากตำหนิเสร็จ เบ็นสันถอนหายใจและกล่าวด้วยเสียงที่อ่อนโยนขึ้น “เธอปลอดภัยก็ดีแล้ว เร็วเข้า ตอนนี้ไม่ใช่เวลามัวเตร็ดเตร่อยู่บนถนน”
ได้ยินประโยคดังกล่าว ความตื่นตระหนกและกังวลของเมลิสซ่าพลันบรรเทาลงหลายส่วน เธอเชื่อจากก้นบึ้งหัวใจว่า ถ้าต้องตายไปตอนนี้ เธอจะไม่รู้สึกกลัวแม้แต่น้อย เพราะตนจะไม่ได้ถูกทิ้งไว้ที่บ้านตามลำพัง
ในเวลาเดียวกัน ระเบิดซึ่งถูกพายุเฮอร์ริเคนพัดได้ลงตกลงในละแวกดังกล่าว
แต่เพียงพริบตา ระเบิดกลับเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน หักเหไปในแนวเฉียงจากวิถีเดิม
บึ้ม!
มันระเบิดกลางอากาศพร้อมกับสร้างสายลมที่รุนแรง
……………………….