Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1087 : ทัศนคติของทวยเทพ
การยกเลิกพระราชบัญญัติเมล็ดพันธุ์… จัดสอบข้าราชการ… ยอมให้โบสถ์หลักมีอำนาจในกองทัพ… สิ่งเหล่านี้มองผิวเผินอาจดูเหมือนกระแสแห่งกาลเวลา แต่แก่นแท้กลับเป็นการสยบและทำให้ขุนนางอ่อนแอลง คอยเกื้อหนุนชนชั้นใหม่… เมื่อเทียบกับกฎในอดีตที่มีมายาวนานกว่าพันปี กฎเหล่านี้ถือว่าแหวกวัฒนธรรมของยุคสมัย และเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับเลื่อนเป็นจักรพรรดิมืด…
ในช่วงสิบปีหลัง รูปแบบสถาปัตยกรรมเองก็เปลี่ยนไปไม่น้อย…
การที่โรซายล์ได้ครอบครอง ‘เอกลักษณ์’ และตะกอนพลังของลำดับ 1 ในเส้นทางจักรพรรดิมืด นั่นแปลว่าองค์กรลึกลับโบราณคงลงทุนลงแรงไปไม่น้อย บางสิ่งอาจถึงขั้นจัดหาให้ด้วยตัวเอง… แล้วในตอนที่จักรพรรดิร่วงหล่น ใครเป็นคนนำตะกอนพลังเหล่านั้นไป?
แบร์นาแดตหมกตัวอยู่ที่เบ็คลันด์ในช่วงหลายเดือนหลัง และก่อนหน้านั้นก็แวะมาบ่อยครั้ง…
เฮ้อ… ปัญหาสำคัญก็คือ รสนิยมเกี่ยวกับความไม่สมมาตรของจักรวรรดิในยุคสมัยที่สี่ ทำให้ความเข้าใจของเราคลาดเคลื่อนไป เข้าใจผิดว่าเงื่อนไขซึ่งต้อง ‘แหวกวัฒนธรรมของยุคสมัย’ จะต้องแปลกและขัดแย้งกับธรรมชาติของมนุษย์ แต่เมื่อลองคิดดูให้ดี สิ่งใดคือความปรกติ? คำตอบก็คือ สิ่งที่ทุกคนเคยชินแล้ว เรื่องที่ทุกคนไม่รู้สึกต่อต้านกับมัน… จากชนเผ่ากลายเป็นแคว้น จากศักดินากลายเป็นสาธารณะรัฐ ไม่ใช่ว่าสิ่งเหล่านี้ก็เป็นการ ‘แหวกวัฒนธรรมของยุคสมัย’ หรอกหรือ? การเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ผู้คนจำนวนมากโหยหาของเก่า…
สำนวนที่ว่า ‘คนหัวโบราณจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง’ สรุปเรื่องนี้ได้ดีมาก…
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตราบใดที่เทพไม่เข้ามาแทรกแซง การปฏิวัติที่เป็นเงื่อนไขของจักรพรรดิมืดจะต้องเกิดขึ้นอย่างมิอาจเลี่ยง ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น… เมื่อกระแสแห่งเวลาถาโถม ไม่ว่าใครก็ยากที่จะหยุด พี่ชายอามุนด์ช่างเป็นนักประพันธ์ที่เก่งกาจ…
สิ่งที่ซ่อนอยู่ด้านในโบราณสถานจักรพรรดิโลหิตคงจะเป็นอนุสาวรีย์บรรจุศพที่มีลักษณะคล้ายพีระมิด พิจารณาจากข้อกำหนดของพิธีกรรม สิ่งนี้จำเป็นต้องก่อสร้างโดยแรงงานจำนวนมาก จึงไม่แปลกที่จะมีเหตุการณ์คนหายเกิดขึ้นในเขตตะวันออก รวมถึงการค้าทาสทางทะเล และอีกมากมาย…
เมื่อสงครามดำเนินไปถึงจุดหนึ่ง จะมีการใช้ข้ออ้างทำนองว่า ขอสวดวิงวอนแด่ชัยชนะ หรือไม่ก็ไว้ทุกข์ให้กับทหารที่เสียชีวิต ทำการระดมผู้คนมารวมตัวตามเมืองใหญ่เป็นจำนวนมากเพื่อประกอบพิธีกรรมสังเวย…
อา… เมื่อหลายปีก่อน ราชวงศ์โลเอ็นได้ครอบครองมงกุฎจากจักรวรรดิไบลัม จากนั้นก็เชื่อมโยงพระนามของกษัตริย์ด้วยตำแหน่งจักรพรรดิ…
เป็นแผนที่แนบเนียนมาก!
เมื่อได้สติจากคำถามของวิญญาณมารเทวทูตสีชาด ความติดไคลน์เริ่มตึงเครียด ข้อมูลมากมายแล่นเข้ามาในหัว รวมถึงคำถาม
ชายหนุ่มจ้องหน้า ‘ผู้เฝ้าประตู’ เจ้าของร่างกายผอมแห้ง ใบหน้าอ่อนเยาว์แต่ขาดเลือด ก่อนจะกล่าวหลังจากไตร่ตรอง
“จอร์จที่สามต้องการเป็นจักรพรรดิมือด้วยตัวเอง? แต่เขายังไม่ใช่ลำดับ 4 ด้วยซ้ำ…”
ต่อให้จอร์จที่สามเตรียมการล่วงหน้าและทำให้ตัวเอง ‘มีพรสวรรค์’ จนสามารถลดผลข้างเคียงและตราประทับวิญญาณที่เหลือจากโอสถ ไคลน์ก็ไม่เชื่อว่าลำดับ 5 จะกลายเป็นเทพได้ในการดื่มโอสถเดียว เว้นเสียแต่จะโชคดีอย่างมากซึ่งโอกาสนั้นแสนริบหรี่
และการพึ่งพาพลังในขอบเขตโชคชะตาก็คงไม่ ‘เพียงพอ’ เพราะแม้แต่ ‘อสรพิษปรอท’ วิลอัสตินซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคชะตา ก็ยังไม่กล้าฝืนปรองดองกับ ‘ลูกเต๋าความน่าจะเป็น’ โดยตรง แต่มองหาหนทางอย่างรอบคอบ
วิญญาณมารเทวทูตสีชาดหัวเราะในลำคอหลังจากได้ยิน:
“เจ้าทราบได้อย่างไรว่าจอร์จที่สามอยู่แค่ลำดับ 5? แน่ใจได้อย่างไรว่าจอร์จที่สามที่ถูกตรวจสอบเป็นตัวจริง ไม่ใช่ตัวตนที่ถูกจินตนาการขึ้นหรือผู้ไร้หน้าระดับเทวทูตสักตน? แม้สิ่งเหล่านี้จะทำได้ยาก แต่สำหรับคนขี้ระแวงบางคน นั่นเป็นเรื่องที่ยังอยู่ในขอบเขตความสามารถและทรัพยากร… ข้าสงสัยว่าจอร์จที่สามคือสมาชิกคนสำคัญขององค์กรลับที่พยายามเลียนแบบกุหลาบไถ่บาปของพวกข้า ลำดับที่แท้จริงของเจ้านั่นอาจจะสูงถึงเทวทูตก็ได้… หึหึ… คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรถ้าจะอยู่ในลำดับ 1 เรียบร้อยแล้ว”
นี่มัน… จักรพรรดิโรซายล์เคยกล่าวว่า สมาชิกขององค์กรล้วนเป็นบุคคลสำคัญชนิดที่เหนือความคาดหมาย… หากทั้งหมดร่วมมือกัน ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาทำไม่ได้นอกจากการกวาดล้างเจ็ดโบสถ์หลัก… หนึ่งในนั้นเป็นถึงกษัตริย์ของอาณาจักรเชียว? ไม่สิ โรซายล์ที่ตายไปก็เคยเป็นผู้ปกครองสูงสุดของอินทิส… คนขี้ระแวง… นี่คือคำที่วิญญาณมารเทวทูตสีชาดใช้นิยามพี่ชายอามุนด์? ถึงจะเป็นคำดูแคลนที่ค่อนข้างรุนแรงและอาจมาจากอคติส่วนตัว แต่ก็คงซ่อนความจริงบางอย่างไว้ ฉายาเช่นนี้ไม่มีทางตั้งขึ้นมาส่งเดช… ไคลน์บังคับให้หุ่นเชิดขมวดคิ้วและพูด
“ปัญหาที่คุณมองออกได้ง่ายดายเช่นนี้ ทำไมโบสถ์รัตติกาล วายุสลาตัน และจักรกลไอน้ำถึงไม่ตระหนัก? พวกเขาก็ไม่น่าจะมีข้อมูลของจักรพรรดิมืดน้อยไปกว่าคุณ…”
เพราะเหนือสิ่งอื่นใด โบสถ์รัตติกาลและวายุสลาตันต่างก็เคยสนับสนุนจักรวรรดิร่วมทูดอร์ทรันซอสต์!
วิญญาณมารเทวทูตสีชาดเผยสีหน้าขบขันอีกครั้ง จ้องดอนดันเตสและบุรุษรับใช้หัวจดเท้า
“เจ้าอายุเท่าไร? ทำไมถึงไร้เดียงสาและเด็กน้อยเช่นนี้? ในบางสถานการณ์ หกเทพจารีตจะไม่เท่ากับหกโบสถ์หลัก และนั่นหมายความว่า สิ่งที่หกเทพจารีตทราบ ไม่จำเป็นต้องถูกถ่ายทอดลงมายังเทวทูตหรือนักบุญ”
เมื่อเห็นดอน·ดันเตสยังคงขมวดคิ้วฉงน วิญญาณมารเทวทูตสีชาดหัวเราะในลำคอ
“สาบานได้เลย สิ่งที่ข้าพูดถัดไปจะทำให้ภาพลักษณ์ของหกเทพจารีตต้องป่นปี้ ส่วนเจ้าก็เก็บไปคิดเอาเองว่านั่นเป็นความจริงหรือไม่… เอาเป็นว่า หกเทพจารีต… อา เจ็ดเทพจารีต มีทัศนคติที่ค่อนข้างคลุมเครือต่อผู้ที่ต้องการเป็นจักรพรรดิมืด… พวกท่านล้วนยินดีที่จักรพรรดิมืดคนใหม่จะถือกำเนิด แต่ก็สนับสนุนอย่างออกนอกหน้าไม่ได้… ส่งผลให้เหล่าเทพจารีตมิได้ส่งวิวรณ์ทุกเรื่องให้สาวกทราบ ปล่อยให้เป็นไปตามครรลองธรรมชาติและกฎหมาย หากผู้ใดพยายามเลื่อนเป็นจักรพรรดิมืดและถูกเหล่าสาวกของแต่ละโบสถ์จับได้ ทวยเทพก็จะลงทัณฑ์ตามปรกติ แต่ถ้าเหล่าสาวกสืบสาวไม่พบ ทุกตนก็จะยอมให้การเลื่อนลำดับเกิดขึ้นโดยปริยาย… แน่นอน ระหว่างกระบวนการ ย่อมมีใครสักคนอยากขัดขวางหรือสร้างความเสียหาย แต่ก็มิอาจทำได้อย่างเปิดเผยหรือชัดเจนนัก เพราะพฤติกรรมดังกล่าวมักจะถูกสกัดกั้นโดยเทพตนอื่น… หากไม่ใช่เพราะทวยเทพมีทัศนคติเช่นนี้ จอร์จที่สามจะกล้าเสี่ยงเชียวหรือ? เอาล่ะ… ในเมื่อสงครามปะทุขึ้นแล้ว เงื่อนไขของเจ้านั่นได้บรรลุไปอีกหนึ่งข้อ ถัดไปคือการรอโอกาส”
ทันใดนั้น ไคลน์นึกถึงเหตุการณ์ที่ข่าวคราวการ ‘บุกตรวจค้น’ โบราณสถานจักรพรรดิโลหิตเกิดรั่วไหล จนมันเริ่มไม่มั่นใจว่า สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะเบื้องบนของสามโบสถ์หลักมีสมาชิกองค์กรโบราณแทรกซึมอยู่ หรือเป็นเพราะมีเทพสักตนแจ้งข่าวแก่พี่ชายอามุนด์โดยตรงกันแน่ หากเป็นอย่างหลัง ผู้ต้องสงสัยรายเดียวที่สามารถตัดออกไปได้คือเทพวายุสลาตัน
ครุ่นคิดสักพัก ไคลน์ลังเลก่อนจะถาม
“หมายความว่า หากไม่เกิดเหตุการณ์เหนือความคาดหมาย จอร์จที่สามซึ่งเตรียมการไว้อย่างพร้อมสรรพ จะประกอบพิธีกรรมก้าวขึ้นไปเป็นเทพแท้จริง? และถ้าพิธีกรรมราบรื่น ถ้าจอร์จที่สามรอดพ้นจากผลข้างเคียงของโอสถ เขาจะได้เถลิงบัลลังก์จักรพรรดิมืด?”
วิญญาณมารเทวทูตสีชาดตอบเรียบง่าย
“ยังเป็นอย่างอื่นไปได้อีกหรือ?”
“แล้วทำไมเจ็ดเทพจารีตถึง…” ไคลน์อดไม่ได้ที่จะถาม
วิญญาณมารเทวทูตสีชาดส่ายหน้า
“เจ้าอยากรู้ไหมล่ะ? หากต้องการ ข้าสามารถบอกได้ทันที”
ขณะไคลน์เตรียมตอบว่า ‘แน่นอน’ ทันใดนั้นมันฉุกคิดถึงคำเตือนของ ‘บริวารอำพราง’ มาดามอาเรียนน่า
“สำหรับบางสิ่ง ยิ่งรู้มากก็ยิ่งมีโอกาส ‘ติดเชื้อ’ จากร่างกายสู่ดวงวิญญาณ… จนกว่าจะกลายเป็นเทวทูต คุณห้ามสืบหาคำตอบส่งเดช”
ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์บังคับให้หุ่นเชิดยิ้มมุมปาก
“ไม่เป็นไร”
“ไม่เลว… เจ้าเกือบต้องตายเพราะความอยากรู้อันโง่เขลา” วิญญาณมารเทวทูตสีชาดส่ายหน้าอย่างผิดหวัง
มันมองออกไปนอกหน้าต่างและกล่าว
“ถ้าไม่มีอะไรก็กลับไปได้แล้ว”
“ตกลง” ไคลน์บังคับให้หุ่นเชิดยืนขึ้นและยกมือขวา
ทันใดนั้น วิญญาณมารเทวทูตสีชาดตั้งคำถาม
“ข้ามีความรู้สึกแปลกๆ ว่า… หากข้าลงมือตอนนี้ เจ้าคงมิได้สิ้นท่าเสียทีเดียว… ใช่ไหม?”
แน่นอน ลองเดาดูสิว่าทำไมฉันกลับออกไปด้วย ‘กระโจนไฟ’ แทน ‘เทเลพอร์ต’ … นั่นก็เพื่อซ่อนตัวตนนกกระเรียนกระดาษที่ลุกไหม้ในกระเป๋าสตางค์! ด้วยวิธีนี้ ‘อสรพิษแห่งชะตา’ วิล·อัสตินจะจ้องมองมาที่นี่อย่างเงียบงัน และหากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น เจ้านั่นก็จะใช้ ‘ยันต์วันวานอีกครั้ง’ เพื่อช่วยเราทันที… การจะรับมือกับตัวตนระดับนายย่อมต้องระวังตัวเป็นพิเศษ จะให้ไม่ซ่อนไพ่ตายไว้ได้อย่างไร? ไคลน์ไม่ได้ตอบตรงๆ ทำเพียงยิ้มเพื่อยืนยันโดยนัย
เป๊าะ!
ชายหนุ่มดีดนิ้วและปล่อยให้เปลวไฟสีแดงลุกไหม้จากกระเป๋าสตางค์จนกระทั่งปกคลุมท่วมลำตัว
เมื่อเปลวไฟสีแดงเข้มสลายไป ร่างไคลน์ก็อันตรธานหายไปจากการมองเห็นของวิญญาณมารเทวทูตสีชาด
…
กรุงเบ็คลันด์ ในรถเข็นเด็กสีดำที่บ้านนายแพทย์อลัน·คริสต์
เด็กทารกอวบอ้วนขยี้ตาพลางส่งเสียงพึมพำ
“สำหรับเด็กเล็ก เบ็คลันด์ไม่น่าอยู่เลยสักนิด!”
…
บ้านเลขที่สามเก้า ถนนเบิร์คลุน ไคลน์ซึ่งทำนายดวงชะตาล่วงหน้า แวะมาหาส.ส. มัคท์ที่เตรียมจะเดินทางไปยังเขตตะวันตก
“คุณไม่ได้อยู่ที่คฤหาสน์เพลงกุหลาบหรอกหรือ? ผมวางแผนจะให้ลีอานน่ากับเฮเซลซ่อนตัวอยู่ที่คฤหาสน์กวางมูสไปอีกสักพัก” ส.ส. มัคท์เลื่อนนิ้วชี้กับนิ้วโป้งขึ้นมาจับเบ้าตาขวา
เมื่อไรผลข้างเคียงอันนี้จะหายไป… ไคลน์ถอนสายตากลับพลางพ่นลมหายใจ
“ผมต้องเตรียมติดอาวุธให้คฤหาสน์เพลงกุหลาบ จึงต้องแวะมาขอความช่วยเหลือจากคุณ… นอกจากนั้น หากคุณมีช่องทางสำหรับซื้ออาหาร ผมเองก็ต้องการส่วนหนึ่ง”
ตามความคิดของมัน ชนชั้นล่างไม่มีปัญญาจะตุนอาหารเนื่องจากขาดแคลนทุนทรัพย์ อย่างมากก็ตุนได้สองถึงสามวัน ดังนั้น การกักตุนของไคลน์จะไม่ถือว่าเบียดเบียนชนชั้นล่าง และถ้าชาวเมืองเริ่มประสบภาวะอาหารขาดแคลนเมื่อไร ไคลน์ก็จะบริจาคอาหารกลับคืนผ่านมิสออเดรย์ – ก่อนที่รัฐบาลจะออกกฎหมายห้ามกักตุนอาหาร ต่อให้ไคลน์ไม่กักตุน เศรษฐีคนอื่นก็จะทำอยู่ดี และอาจไม่บริจาคกลับคืนเหมือนกับตน
“ไม่มีปัญหา” ส.ส. มัคท์ตอบรับโดยไม่ลังเล
ไคลน์ไม่ถามถึงราคา เพราะมันได้มอบเงินให้แม่บ้านทาเนญ่าไปแล้วห้าพันเหรียญทองสำหรับใช้จ่าย
แน่นอน หลังจากยืนยันว่าซาราธอยู่ในเบ็คลันด์ รวมถึงเรื่องที่วิญญาณมารเทวทูตสีชาดทราบว่าดอน·ดันเตสคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ชายหนุ่มตัดสินใจยังไม่กลับไปที่คฤหาสน์เพลงกุหลาบ เพื่อไม่ให้ผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบ
สำหรับข้อแก้ตัว มันคิดไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยจะแจ้งว่าโบสถ์รัตติกาลมีงานให้ทำหลายชิ้นจนไม่สามารถกลับไปได้สักพัก และถ้ามีงานเกี่ยวกับองค์กรการกุศลที่ต้องการความช่วยเหลือจากตน ไคลน์ได้มอบอำนาจให้มิสออเดรย์จัดการแทนทั้งหมด
………………………………….