Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1158 : ตระหนัก
หลังจากสบตากับแพะภูเขาและกระต่ายอย่างเงียบงันนานกว่าสิบวินาที ไคลน์หลับตาลง สะบัดนิ้วชี้และนิ้วกลางของมือขวาลงประหนึ่งกำลังกดเปียโนล่องหน
หุ่นเชิดราวหนึ่งในสามทรุดลงกะทันหัน สูญเสียชีวิตไปในทันที
สีหน้าไคลน์พลันบิดเบี้ยว ราวกับถูกแทงด้วยดาบยักษ์มากถึงสามสิบสามครั้ง
ความเจ็บปวดอันหนักหน่วงที่คุ้นเคยแล่นผ่านไปทั่วร่างวิญญาณ ตามผิวหนังชายหนุ่มผุดตุ่มเนื้อสีอ่อนเม็ดเล็ก แต่ละเม็ดคล้ายกับกำลังสร้างหนอนแมลงโปร่งใสภายใน
นี่คือผลข้างเคียงของการทำลายหนอนแมลงสามสิบสามตัวในคราวเดียว
ใช้เวลาราวสิบห้านาทีในการฟื้นฟู ไคลน์พยายามครั้งที่สอง ทำลายหุ่นเชิดอีกหนึ่งในสามจากร้อยตัวแรก
ความเจ็บปวดแบบเดิม การฟื้นฟูแบบเดิม และการทำลายแบบเดิมเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง จนกระทั่งไคลน์ทำลายหุ่นเชิดที่ถูกสาปจนหมด
มันไม่สามารถทำลายทั้งหมดในคราวเดียว เพราะความเจ็บปวดที่เกิดจากการตายของหนอนวิญญาณนับร้อยตัว มากพอจะทำให้ชายหนุ่มคลุ้มคลั่งคาที่ และเนื่องจากหุ่นเชิดทั้งหมดล้วนถูกสาป จึงมิอาจถอนตะกอนพลังกลับมาได้ตามปรกติ
แน่นอนว่า สิ่งที่ไคลน์ทำคือเรื่องปรกติของปราชญ์โบราณที่เพิ่งเลื่อนลำดับ มิใช่ปราชญ์โบราณที่ย่อยโอสถใกล้สมบูรณ์
อันที่จริงการสูญเสียหนอนวิญญาณรวดเดียวหนึ่งร้อยตัว อย่างมากก็แค่เพิ่มความเจ็บปวด แต่ไม่ทำให้ไคลน์คลุ้มคลั่ง ทั้งหมดเป็นแค่การแสดงละครให้เหมาะสมกับความแข็งแกร่งที่อยากให้อีกฝ่ายเชื่อ
ในระดับปัจจุบันของชายหนุ่ม มีแต่ต้องสูญเสียหนอนวิญญาณรวดเดียวเกินครึ่งในครอบครอง จึงจะทำให้เกิดภาวะคลุ้มคลั่ง
หลังจากย่อยโอสถปราชญ์โบราณอย่างสมบูรณ์ ไคลน์สามารถทนรับความตายของหนอนวิญญาณได้พร้อมกันห้าร้อยตัว หรือต่อให้สูญเสียตะกอนพลังไปเป็นการถาวร แต่ระดับตัวตนและความแข็งแกร่งก็จะไม่ลดลง และแก้ไขได้ง่ายดายด้วยการสะสมตะกอนพลังเส้นทางนักทำนาย
เมื่อจัดการทั้งหมดเสร็จ ไคลน์เดินออกจากซากอาคารไปทางความมืดด้านนอก นำกระต่ายและแพะกลับมาจำนวนหนึ่ง
ขณะเดียวกันมันตระหนักว่าความมืดภายในดินแดนเทพทอดทิ้งมิได้อันตรายอย่างที่เดอะซันน้อยอธิบาย สัตว์ประหลาดส่วนใหญ่อ่อนแอมาก
ไม่สิ…หากไม่นับการหายตัวไปอย่างเป็นปริศนา อันตรายในความมืดเทียบไม่ได้เลยกับบุรุษนามอามุนด์ข้าง ๆ เรา…ไคลน์ชำเลืองไปด้านข้างและพบอามุนด์กำลังนั่งยิ้มให้ตน ชายหนุ่มตัดสินใจอัญเชิญน้ำเดือดและสิ่งอื่นออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์ จากนั้นก็นั่งลงและจัดการขนกับหนังของกระต่ายขาวและแพะ
หลังจากเตรียมการหลายสิ่ง ไคลน์ก่อกองไฟและนำเตาย่างออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์ วางกระต่ายขาวไว้ด้านบนและทาด้วยโหระพา ยี่หร่า เกลือ และเครื่องปรุงชนิดอื่น จากนั้นก็คอยพลิกกลับด้าน
ขณะเดียวกันอาหารรสเลิศจากอดีตที่เคยกินไปก่อนหน้า ปัจจุบันเลือนหายโดยสมบูรณ์เนื่องจากไคลน์ยกเลิกการคงสภาพ ส่งผลให้ร่างกายและวิญญาณเรียกร้องสิ่งทดแทน
กลิ่นหอมเย้ายวนเริ่มฟุ้งกระจาย อามุนด์ฟุดฟิดจมูกเล็กน้อยและกล่าว
“เจ้าจะกินจริงหรือ”
โดยไม่รอให้ไคลน์ตอบ เทพแห่งการกลั่นแกล้งกล่าวกับตัวเอง
“แก่นแท้ของพวกมันคือเลือดเนื้อของสัตว์ประหลาดและหนอนวิญญาณของเจ้า..แน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะกัน?”
“สำหรับคำสาปจำแลงกายระดับเทวทูต หากไม่สลายด้วยพลังในระดับเดียวกันหรือขั้นตอนที่ถูกต้อง มันก็ไม่มีวันถูกยกเลิก…ในเมื่อเจ้านี่มีรูปร่างเหมือนกระต่าย รสชาติเหมือนกระต่าย มันก็คือกระต่าย” ไคลน์หัวเราะจิกกัดตัวเองพลางตั้งใจย่าง “ยิ่งไปกว่านั้น หากต้องการหนีให้พ้นจากคุณ ผมมีแต่ต้องรักษาสภาพร่างกายให้สมบูรณ์ที่สุด เมื่อความหวังอันน้อยนิดวางอยู่ตรงหน้า การก้าวข้ามกำแพงทางจิตใจคือสิ่งที่จำเป็น”
นี่คือการกัดฟันทนต่อความอัปยศและเจ็บปวด! ไคลน์เสริมในใจ
ขณะเดียวกัน มันถอนหายใจให้กับคำสาปจำแลงกายของมารบรรพกาล
ทรงพลังยิ่งกว่าคำสาปของลำดับสามอย่าง ‘บริวารใบ้’ หลายเท่า!
ผลของคำสาปแทบไม่มีวันหยดอายุ…แม้ว่าหุ่นเชิดสัตว์ทั่วไปสามารถใช้พลังของเราผ่านทางหนอนวิญญาณ แต่เราก็จนปัญญาจะคลายคำสาปจำแลงกายให้หุ่นเชิดตัวเอง…นั่นเป็นถึงคำสาปเทวทูตเชียวนะ…หากไม่นับการสลายด้วยพลังระดับเดียวกัน มีแต่ต้องแก้คำสาปด้วยวิธีที่ถูกต้องเท่านั้น…ไม่มีคำสาปใดที่ไม่มีทางแก้ ทุกสิ่งล้วนมีช่องโหว่…หึหึ หรือว่าการจูบกับกระต่ายจะช่วยเปลี่ยนพวกมันกลับเป็นเกอร์มันสแปร์โรว์? ไคลน์รำพันติดตลก ครึ่งหนึ่งเพื่อปรับสภาพจิตใจ ครึ่งหนึ่งเพื่อวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้น
ได้ยินคำตอบ อามุนด์ที่สวมแว่นตาขาเดียวพยักหน้า
“ยอดเยี่ยมมาก…นี่คือการตระหนักรู้ที่ทุกคนควรมี”
ไคลน์ไม่ตอบสนอง เพียงก้มหน้าก้มตาย่างกระต่าย
หลังจากนั้นไม่นาน ด้วยพลังควบคุมไฟ ชายหนุ่มเสร็จการย่างกระต่ายหนึ่งตัวและขาแกะหนึ่งข้าง อาศัยจังหวะที่เครื่องเทศยังไม่หายไป มันดึงชาเย็นออกจากประวัติศาสตร์มาดื่มคู่กับอาหาร กลิ่นอันหอมหวนช่วยเยียวยาทั้งร่างกายและจิตใจ บรรเทาความทุกข์และสิ้นหวังจากการถูกอามุนด์ลักพาตัวไปหลายระดับ
ระหว่างการกินไคลน์จินตนาการถึงรูปลักษณ์อันน่าขยะแขยงของสัตว์ประหลาด รวมถึงความจริงที่ว่าหนอนแมลงมีค่าเท่ากับตัวเอง แต่กระนั้นก็ยังควบคุมความรู้สึกไว้ได้ดี
หลังจากอิ่มท้องและฟื้นฟูพลังงาน ไคลน์ทยอยเปลี่ยนวัตถุดิบที่เหลือให้กลายเป็นอาหารแห้ง ประหนึ่งกำลังสะสมเสบียงสำหรับเดินทางไกล
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเตรียมการระยะยาวอย่างไม่รีบร้อน อามุนด์ขยับแว่นและถามพลางยิ้ม
“เจ้ากำลังถ่วงเวลาเพื่อให้พวกเราไปถึงจุดหมายได้ช้าลงใช่ไหม?”
ไคลน์ชะงักมือเล็กน้อย จากนั้นก็กลับไปทำต่อ
“ใช่ ผมกำลังรอผู้ช่วย…ลองเดาดูสิว่าใคร”
อามุนด์ไม่ตอบทันที รอยยิ้มยังคงฉาบบนใบหน้า
“จะตั้งตารอแล้วกัน”
“…” ไคลน์ก้มหน้าทำงานจนกระทั่งเตรียมอาหารแห้งสำหรับสามถึงสี่มื้อเสร็จ
ไตร่ตรองสักพัก ไคลน์เหยียดแขนขวาต่อหน้าอามุนด์ แต่ก็ทำได้เพียงจับคว้าความว่างเปล่าหนแล้วหนเล่า ทุกครั้งประสบความล้มเหลว ไม่มีใครทราบว่าชายหนุ่มพยายามอัญเชิญสิ่งใด แต่ดูคล้ายกับกำลังยั่วยุให้อามุนด์ลองขโมย
อามุนด์เฝ้ามองสักพัก ยิ้มพลางส่ายหน้า จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนและเดินออกไปนอกซากอาคารที่พังลงมาครึ่งหนึ่ง
มือขวาไคลน์ชะงักกลางอากาศก่อนจะชักกลับมาจับหน้าผาก
มันพึมพำกับตัวเองด้วยความฉงน
“เรากำลังทำอะไรอยู่…”
ขณะพยายามนึกทบทวน ไคลน์ลุกขึ้นยืนก้มหยิบอาหารแห้ง ถือตะเกียงหนังและเดินตามหลังอามุนด์
หนึ่งคนหนึ่งเทวทูตเดินทางอ้อมเนินเขาจนกระทั่งถึงหุบเหวแห่งหนึ่ง
เสียงน้ำไหลเชี่ยวดังมาแต่ไกล แต่เมื่อส่องไฟลงไปในแม่น้ำ ไคลน์กลับพบว่าแม่น้ำสายนี้แห้งเหือดโดยสมบูรณ์ แม้แต่เสียงน้ำเชี่ยวที่เพิ่งได้ยินก็หายไป
“แม่น้ำที่อยู่ในสภาวะถูกปกปิด?” ครุ่นคิดสักพัก ไคลน์หันไปถามอามุนด์
“ถูกต้อง มันจะปรากฏตัวในความมืดที่ปราศจากแสงสว่างเท่านั้น” อามุนด์พยักหน้ารับ
“ดื่มได้ไหม?” ไคลน์ถาม
อามุนด์ยิ้ม
“แน่นอน ครั้งหนึ่งที่นี่เคยเป็นแหล่งน้ำสำคัญของเมืองหนึ่งซึ่งดิ้นรนในความมืดมานานกว่าหนึ่งพันหกร้อยปี ตราบใดที่สามารถนำน้ำออกจากลำธารแห่งนี้ไปได้ พวกมันจะเผยตัวท่ามกลางแสงสว่าง…หืม…เจ้ากำลังจะบอกให้ข้าช่วยถือตะเกียงและยืนรอ ส่วนตัวเองก็เข้าไปดื่มน้ำในความมืดมิด? ฉวยโอกาสนี้เปลี่ยนตัวเองให้อยู่ในสภาวะถูกปกปิด?”
ไคลน์ยิ้มกระอักกระอ่วน
“จะมีใครใช้ลูกไม้ตื้น ๆ แบบนั้นกัน”
อามุนด์หัวเราะพลางขยับแว่น
“ในบางครั้ง วิธีที่ง่ายที่สุดอาจให้ผลดีที่สุด…จะลองดูก็ได้นะ”
ทุกคำพูดที่ออกจากปากนักตุ้มตุ๋นระดับปรมาจารย์ ไคลน์เชื่อไม่ลงด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายอาจใช้จิตวิทยาแบบย้อนกลับ
มันสลัดความคิดเกี่ยวกับน้ำ เปลี่ยนไปถามเรื่องอื่น
“ในดินแดนเทพทอดทิ้ง มีดินแดนมนุษย์กี่แห่งที่ยังไม่ถูกทำลายเหมือนกับเมืองเงินพิสุทธิ์?”
อามุนด์มองตรงไปข้างหน้า กล่าวเสียงเรียบ
“เท่าที่ข้ารู้จัก…มีเพียงไม่ถึงสิบแห่ง…ในแง่นี้ เมืองเงินพิสุทธิ์นับว่าโชคดี เพราะอย่างน้อยก็ยังมองเห็นรุ่งอรุณ”
กล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นเพราะเมืองเงินพิสุทธิ์อยู่ใกล้กับวังราชาคนยักษ์ ประตูที่สามารถพามนุษย์ออกจากดินแดนเทพทอดทิ้ง พวกเขาจึงไม่ต้องเสี่ยงชีวิตเดินทางไกลท่ามกลางความมืด? แต่สำหรับเมืองอื่น ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวในความมืดได้รวดเร็วเพียงใด ส่งทีมสำรวจมากมายขนาดไหน ทั้งหมดก็เปล่าประโยชน์ เพราะพวกเขาจะไม่มีวันได้พบทางออก…ในกรณีนี้ เมืองเงินพิสุทธิ์ทั้งโชคร้ายและโชคดี…ขึ้นอยู่กับมุมมอง…ไคลน์ถือตะเกียงหนังพลางเดินไปตามริมฝั่งแม่น้ำ ภายในใจวางแผนการหลบหนีครั้งที่สอง
อามุนด์คอยเดินเคียงข้างไคลน์ไม่ห่าง บางครั้งก็พยายามเสนอวิธีที่ฟังดูน่าเชื่อถือแต่ไม่รับประกันผลลัพธ์ ทำตัวประหนึ่งพวกโรคจิตที่ต้องการให้ร่างหลักยึดครองปราสาทต้นกำเนิดล้มเหลว
…
อีกฟากหนึ่งของวังราชาคนยักษ์ ในเมืองเงินพิสุทธิ์
เดอร์ริคเบเกอร์ตอบรับการเรียกพบของเจ้าเมือง ถือไม้กางเขนเจิดจรัสเดินขึ้นไปยังยอดหอคอยกลม ผ่านประตูเข้าไปในห้องกว้างขวาง
ด้านในมีการตั้งแท่นบูชาซับซ้อน วัตถุดิบหลากชนิดถูกวางไว้ตามตำแหน่งอย่างประณีต มีวัตถุดิบหกชิ้นที่มอบกลิ่นอายความอันตราย
เดอร์ริคชำเลืองไปรอบตัวและพบขลุ่ยเงินหน้าตาธรรมดา หน้ากากกะโหลกศีรษะ และซากศพที่กลายพันธุ์
“เนื่องจากคุณพกไม้กางเขนเจิดจรัสมาด้วย จึงอยู่ที่นี่ได้แค่สิบห้านาที ห้ามเกินโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นคุณจะตายคาที่” โคลินอีเลียดซึ่งแต่งกายในเสื้อเชิ้ตลินินและเสื้อนอกสีน้ำตาล กล่าวเตือนเดอร์ริค
หลังจากสัมผัสวิญญาณถูกกระตุ้น เดอร์ริคตั้งคำถาม
“ท่านเจ้าเมือง เป็นเพราะหน้ากากสนธยาใบนั้นหรือ”
มือขวาของมันชี้ไปทางหน้ากากกะโหลกศีรษะ
“ถูกต้อง” โคลินพยักหน้ารับแผ่วเบา “นี่คือการจัดเตรียมซากสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังจำนวนหกตน ซึ่งผมต้องล่าด้วยตัวเองหรือไม่ก็เป็นกำลังสำคัญในทีม”
เดอร์ริคกระจ่างทันที
“ยังขาดพรจากเทพใช่ไหมครับ?”
โคลินเงียบงันสักพัก อ้าปากหลังจากผ่านไปราวสิบวินาที
“ใช่”
หลังจากลังเลและตัดสินใจไม่ได้อยู่พักใหญ่ ท้ายที่สุด มันเลือกเดอะฟูล
อย่างน้อยเห็ดประหลาดก็นำพาความหวังมาสู่เมืองเงินพิสุทธิ์
เดอร์ริคพยายามเก็บซ่อนความสุข นึกทบทวนบทสนทนาภายในชุมนุมทาโรต์และถามกลับไปด้วยสีหน้าเจือสับสน
“แล้วทำไมท่านเจ้าเมืองถึงไม่ให้สมบัติปิดผนึกระดับเทพทั้งสองชิ้นประทานพร?”
มันยังจำได้แม่นยำ นิยามของทวยเทพในสมัยก่อน อาจรวมไปถึง ‘เทพรับใช้’ ซึ่งมีระดับเพียงเทวทูต หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง พรจากเทวทูตก็สามารถใช้ในพิธีกรรมได้เช่นกัน เพราะต้องไม่ลืมว่าอัศวินสีเงินเป็นเพียงผู้วิเศษลำดับสาม
โคลินเงียบงันหลายวินาที
“สิ่งเหล่านั้นประทานพรไม่ได้”
…………………………