Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1160 : พัฒนา
เมืองเงินพิสุทธิ์ ยอดหอคอยทรงกลม
หลังจากรอคอยเป็นเวลานาน เดอร์ริคเบเกอร์ก็ยังไม่ได้รับคำตอบจากเดอะฟูล
ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้เด็กหนุ่มแตกตื่นเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่ามีความหมายเช่นไรและตนต้องทำอย่างไร
มิสเตอร์ฟูลอยู่ในสภาพที่มิอาจตอบสนอง? เมื่อสองวันก่อน พระองค์แจ้งว่าการชุมนุมในสัปดาห์หน้าอาจถูกยกเลิก นั่นคงเป็นสัญญาณ…เดอร์ริคที่นึกออกว่าเคยเกิดอะไรขึ้น พยายามข่มความกังวลอย่างยากลำบาก
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็กหนุ่มจะออกอาการมากผิดปรกติ เพราะสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันเคยถูกบันทึกไว้ในตำนานเมืองเงินพิสุทธิ์
อยู่มาวันหนึ่งพระผู้สร้างที่คอยตอบสนองคำวิงวอนเป็นประจำ เลิกตอบสนองและทอดทิ้งดินแดนแห่งนี้!
หลังจากเงียบงันไปสักพัก เดอร์ริคลุกขึ้นยืน กลับไปที่ห้องเจ้าเมืองและพูดกับโคลิน
“เราคงต้องรออีกสองสามวัน”
“รอ?” นักล่าปีศาจโคลินทวนคำพลางขมวดคิ้ว
ตามความเห็นของมัน นี่เป็นเรื่องไม่ปกติ คล้ายกับเป็นสัญลักษณ์ของพัฒนาการที่ไม่ดี
เดอร์ริคฝืนไม่ยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอย พยักหน้าเล็กน้อยอย่างยากลำบาก
“ใช่ครับ”
โคลินเจ้าของผมสีเทา จ้องเด็กหนุ่มสักพักก่อนจะผงกศีรษะรับ
“ตกลง คุณกลับไปก่อน”
…
กรุงเบ็คลันด์ เขตตะวันออก ภายในบ้านเช่าสองห้องนอน
ฟอร์สซึ่งแต่งกายในเสื้อผ้าตัวหนา เดินวนเวียนไปมารอบเตาถ่านฟืน ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความฉงน
ในที่สุดเธอตัดสินใจหันมองไปทางซิลบนเก้าอี้
“ทำไมมิสเตอร์เวิร์ลถึงยังไม่ตอบ?”
“บางทีเขาอาจกำลังยุ่งอยู่กับงานบางอย่าง” ซิลเล่าเหตุผลที่เธอคิดมาสักพัก “หรือบางที มิสเตอร์ฟูลอาจไม่สะดวกที่จะถ่ายทอดข้อความของเธอ เพราะท่านถึงกับยกเลิกการชุมนุม”
ฟอร์สพยักหน้าไตร่ตรอง
“มิสเตอร์ฟูลเปรยว่าการชุมนุมในสัปดาห์หน้าอาจยกเลิก จากนั้นท่านก็ตัดสินใจในช่วงกลางสัปดาห์…คิดว่าจะเกี่ยวกับจอร์จที่สามไหม?”
เมื่อนึกทบทวนการสืบสวนที่มิสเตอร์เวิร์ลดำเนินการมาเป็นเวลานาน ซิลอืมในลำคอ
“เป็นไปได้”
…
ดินแดนเทพทอดทิ้งภายในเมืองที่รกร้าง
อามุนด์ซึ่งแต่งกายในชุดคลุมจอมเวทสีดำ นำทางไคลน์เข้าไปในวิหารที่มีสภาพค่อนข้างดี
เสาหินของที่นี่เอียงและหักเล็กน้อย วัชพืชสีแดงเข้มงอกเงยตามซอกด้านบนและรัดพันรูปปั้นนก
ไคลน์ในสภาพถือตะเกียงหนัง มองไปรอบตัวพร้อมกับยืนยันว่าชาวเมืองยังไม่ตายทั้งหมด ชายหนุ่มไม่ทราบว่าอีกฝ่ายแปลงร่างเป็นสัตว์ประหลาดและอาศัยในความมืดได้อย่างไร แต่พวกมันพยายามหลีกเลี่ยงแสงสีเหลืองจากตะเกียงและซุ่มรอโจมตีไคลน์กับอามุนด์
เหตุผลที่ไคลน์ยืนยันได้ว่าสัตว์ประหลาดเหล่านี้เคยเป็นชาวเมือง เพราะด้ายวิญญาณของพวกมันเกิดการกลายพันธุ์ในระดับหนึ่ง มีสีเทาลักษณะบิดเบี้ยว แตกต่างจากสัตว์ประหลาดในจุดอื่น คล้ายคลึงกับศพในโลงหน้าบ้านมากกว่า
ต้องสิ้นหวังและเผชิญความล่มสลายมากเพียงใด มนุษย์ที่เหลือรอดถึงเลือกเดินบนเส้นทางแบบนี้…บางที ความสิ้นหวังจากก้นบึ้งหัวใจอาจก่อตัวขึ้นเมื่อตระหนักว่าชีวิตของตนไม่มีอนาคต แถมสภาพแวดล้อมก็ยังย่ำแย่อย่างต่อเนื่อง…ไคลน์ครุ่นคิดด้วยอารมณ์ซับซ้อนจากนั้นก็รีบตั้งสติ
มันต้องการเห็นแสงแห่งความหวัง แต่กลับได้เห็นความหดหู่และสิ้นหวังยิ่งกว่าเก่า
อามุนด์ที่สวมแว่นตา เดินไปตามขอบแสงสว่างจนกระทั่งถึงส่วนลึกที่สุดของวิหาร
หลังจากไคลน์เดินตามเข้ามา มันเห็นประตูที่ส่องแสงสีซีด
“เมืองแห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน แสงสว่างและความมืด พวกเขาใช้พลังของเส้นทางผู้ฝึกหัดเพื่อซุกซ่อนบางพื้นที่ โดยต้องใช้ประตูพิเศษในการผ่านเข้าออก” อามุนด์ชี้ไปข้างหน้า
พลังของจอมเวทลึกลับ? ไคลน์พยักหน้าหนักแน่น บ่งบอกว่ามันเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
อามุนด์กล่าวต่อไป
“เบื้องหลังประตูบ้านนี้เป็นส่วนความมืดของเมือง และข้าสามารถใช้มันเพื่อเดินทางไปยังจุดที่คล้ายคลึงกันซึ่งอยู่ห่างออกไป ช่วยให้การเดินทางของเราสั้นลงมาก”
สมแล้วที่เป็นร่างจุติของช่องโหว่…ไคลน์จ้องอามุนด์ที่กำลังเหยียดแขนซ้ายออกมากดประตูแสง
แสงสว่างเกิดการกระเพื่อมและแผ่ขยายไปยังบริเวณโดยรอบ
ทันใดนั้นร่างของสัตว์ประหลาดบิดเบี้ยวตัวหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในความมืด พลันสั่นกระตุกและกลายเป็นหุ่นเชิดไคลน์
ราวยี่สิบถึงสามสิบวินาทีก่อนไคลน์เข้าควบคุมเบื้องต้นรอไว้แล้ว และรอคอยโอกาสปัจจุบันเพื่อเปลี่ยนให้เป็นหุ่นเชิดอย่างสมบูรณ์
ทันทีหลังจากนั้นไคลน์และหุ่นเชิดทำการเหยียดแขนขวาออกไปพร้อมกัน ฉวยโอกาสในจังหวะที่อามุนด์เข้าประตูเพื่อจับคว้าบางสิ่ง
ในมือไคลน์คือวัตถุรูปร่างคล้ายจันทร์เสี้ยว เลี่ยมอัญมณีสีแดงเข้มมงกุฎจันทร์ชาด ส่วนในฝ่ามือหุ่นเชิดคือมาสเตอร์คีย์สีเหลืองเรียบง่าย!
ขณะเดียวกันพวกมันอ้าปากทำเสียง ‘ปัง’ และอาศัยกระสุนอัดอากาศเพื่อผลักมงกุฎจันทร์ชาดและมาสเตอร์คีย์ไปทางอามุนด์
การรวมกันของวัตถุสองชิ้นนี้จะทำให้ใครก็ตามได้ยินเสียงเพรียกขอความช่วยเหลือจากมิสเตอร์ประตู หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง พวกมันช่วยให้พลังของมิสเตอร์ประตูแทรกแซงโลกความเป็นจริงได้ในระดับหนึ่ง
อีกฝ่ายคือเจ้าแห่งประตูทั้งปวง และยังเป็นหนึ่งในผู้ที่ไม่ต้องการเห็นอามุนด์เถลิงบัลลังก์ ‘ข้อผิดพลาด’ หรือครอบครองปราสาทต้นกำเนิด!
ไคลน์ไม่คิดว่ามิสเตอร์ประตูซึ่งอยู่ในสภาวะถูกผนึกจะจัดการกับอามุนด์สำเร็จ แต่ก็หวังให้อีกฝ่ายช่วยก่อกวนเทวทูตกาลเวลา เพื่อที่ตนจะได้มีเวลาเพียงพอสำหรับลงมือ
แต่แน่นอน หากมิสเตอร์ประตูสามารถทำให้ประตูแห่งแสงเกิดความผิดปรกติ หรือขยายช่องโหว่ที่อามุนด์สร้างขึ้นจนราชาเทวทูตเส้นทางนักจารกรรมถูกส่งไปยังสถานที่ห่างไกล ไคลน์จะรู้สึกขอบคุณมิสเตอร์ประตูจากก้นบึ้งเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็ม
หลังจากความพยายามในการหลบหนีคราวก่อน ไคลน์พบว่าข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดของตนไม่เกี่ยวกับความต่างชั้นเชิงคุณภาพของพลัง แต่เป็นเพราะตนไม่เคยมีโอกาสได้เตรียมตัวล่วงหน้า ทุกครั้งจะถูกขัดหรือทำลายโดยอามุนด์เสมอ
สำหรับนักมายากลมากประสบการณ์ การแสดงกลโดยไม่เตรียมตัวมักจะมีข้อผิดพลาดหรือไม่ก็ล้มเหลว
หากไคลน์มีโอกาสเตรียมตัวล่วงหน้าเพื่ออัญเชิญภาพฉายของมิสเตอร์อะซิก ไรเน็ตต์ไทน์เคอร์ และอสรพิษแห่งชะตา วิลอัสตินออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์ การเอาชนะอามุนด์ลำดับสอง อาจเป็นไปไม่ได้ แต่ก็มีสิทธิ์ที่จะสร้างช่องว่างสำหรับหลบหนี
ในเวลาเดียวกัน มงกุฎจันทร์ชาดที่แผ่แสงสงบเสงี่ยมและมาสเตอร์คีย์ที่เรียบง่าย ส่งเสียงแหวกอากาศขณะพุ่งไปทางประตูแห่งแสง
บานประตูมายาที่ก่อตัวจากแสงสีซีดพลันบิดเบี้ยว หลังจากกลืนกินวัตถุทั้งสองชิ้นเข้าไป มันถูกย้อมด้วยสีแดงฉานก่อนจะทรุดตัวกลายเป็นวังวนแอ่งน้ำ
วังวนดังกล่าวลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง ดูคล้ายกับดวงตาดวงหนึ่ง
อามุนด์ซึ่งกำลังจะหันกลับมามองไคลน์ พลันชะงักประหนึ่งได้ยินเสียงเรียกจากสหายเก่า
แต่อาการชะงักดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่
เมื่ออามุนด์หันมาจ้องไคลน์ ชายหนุ่มสูญเสียพลังพิเศษจำนวนหกชนิดในพริบตา
ประกอบด้วยพลังควบคุมด้ายวิญญาณ พลังอัญเชิญภาพจากช่องว่างประวัติศาสตร์ พลังกระดาษคนตัวแทน พลังควบคุมเพลิง พลังหายใจใต้น้ำ และพลังทำให้กระดูกอ่อนตัว
แต่แน่นอนการสูญเสียพลังเหล่านี้มิได้ส่งผลกระทบต่อแผนการถัดไปของไคลน์
อาการชะงักเพียงเสี้ยววินาทีในจังหวะเมื่อครู่ มากพอที่จะช่วยให้ไคลน์สลับตำแหน่งกับหุ่นเชิดทันเวลา!
มันย้ายตำแหน่งมายังส่วนลึกของความมืดด้านนอกวิหาร และสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์รอบตัวล้วนกลายเป็นหุ่นเชิดถ้วนหน้า
สำหรับเป้าหมายซึ่งยังมีลำดับไม่ถึงห้า ไคลน์ใช้เวลาเพียงสองสามวินาทีในการเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นหุ่นเชิด โดยที่เริ่มลงมือขณะทำการอัญเชิญมงกุฎจันทร์ชาดออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์
ไคลน์ดื่มด่ำไปกับความมืดมิดรอบข้าง พยายามเปลี่ยนตัวเองให้อยู่ในสภาวะถูกปกปิดและลงมือฆ่าตัวตาย โดยในขณะเดียวกัน มือของร่างต้นและหุ่นเชิดต่างเหยียดเข้าไปในสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์
คราวนี้มันแบ่งหุ่นเชิดออกเป็นสามกลุ่มและแยกกันอัญเชิญไรเน็ตต์ไทน์เคอร์ มิสเตอร์อะซิก หรือไม่ก็อสรพิษปรอท วิลอัสติน เพื่อไม่ให้ซ้ำรอยอดีตที่อุตส่าห์อัญเชิญออกมาสำเร็จ แต่สุดท้ายกลับถูกอามุนด์ขโมยไปคราวนี้อาจยังเหลือหนึ่งถึงสองภาพฉาย
แต่แน่นอนเงื่อนไขในการประสบความสำเร็จก็คือ อามุนด์ต้องไม่สามารถขโมยภาพฉายทางประวัติศาสตร์ได้หลายภาพพร้อมกัน
ไคลน์ต้องการยืนยันในเรื่องนี้ให้ชัดเจน
ชายหนุ่มชักมือกลับ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดติดมือออกมา
หุ่นเชิดกลุ่มที่อัญเชิญอสรพิษปรอทล้มเหลวทั้งหมด ส่วนกลุ่มปราชญ์โบราณที่อัญเชิญกงสุลมรณะและไรเน็ตต์ไทน์เคอร์ มีสองคนที่ท่อนแขนทรุดลงเล็กน้อย
ไคลน์พลันยินดีปรีดา เริ่มเชื่อว่าความพยายามในการหลบหนีครั้งนี้อาจกลายเป็นโอกาสหลบหนีของจริง
แต่ทันใดนั้นบนผิวกระจกแว่นตาขาเดียวที่อามุนด์สวม แสงสว่างอันปั่นป่วนและน่าสะพรึงถูกฉายออกมา
เมืองทั้งเมืองตลอดจนหุบเขา ลำธาร ภูเขา และทุ่งกว้างรกร้าง พลันถูกฉาบด้วยแสงแดดเจิดจ้าและร้อนแรงในพริบตา ยาม ‘กลางวัน’ กลับคืนมาอีกครั้งหลังจากห่างหายไปหลายพันปี
อามุนด์คืนแสงแดดที่ขโมยมาจากซากสมรภูมิเทพ!
ท่ามกลาง ‘กลางวัน’ ไม่เพียงไคลน์จะสัมผัสได้ว่าร่างกายของตนเริ่มละลาย แต่เสียงเรียกอันบ้าคลั่งและคุ้นเคยก็เริ่มดังก้องในโสตประสาท เป็นความรู้สึกประหนึ่งถูกเข็มหมุดทิ่มแทงหนอนวิญญาณทุกตัวโดยพร้อมเพรียง
ผลลัพธ์ทำให้ไคลน์เจ็บปวดแสนสาหัส และการอัญเชิญที่กำลังจะสำเร็จของหุ่นเชิด แปรเปลี่ยนเป็นล้มเหลวในพริบตา
กลางวันของซากสมรภูมิเทพอัดแน่นไปด้วยเสียงเพรียกของพระผู้สร้างแท้จริง!
สัตว์ประหลาดกลายพันธุ์ที่เอาแต่ซ่อนตัวในความมืดของเมือง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้รอดชีวิตของเมือง คล้ายกับพวกมันฟื้นคืนสติกลับมาและเอาแต่แหงนมอง ‘กลางวัน’ ด้วยสีหน้าสับสนสุดขีด
จากนั้นพวกมันกรูกันเข้าไปยังแหล่งกำเนิดของกลางวันและทยอยละลายไปทีละตัว
ภายในค่ายของชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ในหมู่บ้านยามบ่าย เวรยามบนป้อมสังเกตเห็นแสงสว่างอันเจิดจ้าซึ่งแตกต่างจากแสงฟ้าผ่า ฉายมาจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือของท้องฟ้าสูง ดูราวกับเป็นฉากพระอาทิตย์ขึ้นที่ถูกบรรยายไว้ในตำนาน
ฉากดังกล่าวกินเวลาเพียงไม่กี่วินาที ก่อนจะสลายไปและกลับสู่สภาพปกติ
หลังจากฟื้นคืนร่างกายจากเสียงเพรียก มันเห็นอามุนด์ที่แต่งกายด้วยหมวกปลายแหลม กำลังยืนอยู่ตรงหน้า
เทวทูตกาลเวลาขยับแว่นตาขาเดียว แสยะยิ้มและกล่าว
“ทำได้ไม่เลว”
…………………………