Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1185 : ปรากฏอีกครั้ง
เถาวัลย์เหี่ยวเฉาห้อยปกคลุมอาคารไม้ผุพัง ซากอาคารโดยรอบทั้งหมดเข้าสู่สภาวะถูกแช่แข็งราวกับไม่เคยมีใครเหยียบย่ำเป็นเวลานาน
อัลเจอร์และลูกเรือกลุ่มเล็กเดินวนรอบโบราณสถานท่ามกลางบรรยากาศฤดูหนาวที่แห้งผาก แต่ก็ไม่มีใครพบสิ่งของล้ำค่า
“กัปตัน เคยมีนักผจญภัยหลายกลุ่มมาสำรวจที่นี่ก่อนหน้าพวกเรา แล้วยังจะมีสิ่งใดหลงเหลืออยู่อีก?” ลูกเรือวัยสามสิบกว่าคนหนึ่งโพล่งขึ้นอย่างหมดความอดทน
เสียงลูกเรือคนอื่นดังขึ้นในทำนองเดียวกัน
“สถานที่ที่เราพบเจอได้ง่ายดาย ไม่มีทางที่คนอื่นจะหาไม่พบ”
“ใช่แล้ว…กลับไปเชือดพวกฟุซัคนั่นดีกว่า!”
“กัปตัน หรือคุณคิดจะใช้ที่นี่เป็นป้อม?”
อัลเจอร์กวาดสายตาไปรอบตัว ใช้สีหน้าทำให้ลูกเรือหยุดบ่นและเชื่อฟัง
ผ่านไปสองสามวินาที มันกล่าว
“ฉันคิดจะใช้ที่นี่เพื่อซุ่มโจมตีชาวฟุซัค…มาลองสำรวจภูมิประเทศกันก่อนว่าเหมาะสมหรือไม่”
ด้วยข้ออ้างดังกล่าว ลูกเรือกลับมาอยู่ในความสงบทันทีก่อนจะแบ่งกลุ่มเข้าไปสำรวจส่วนลึกของโบราณสถานเอลฟ์
ขณะย่างกราย สัมผัสวิญญาณอัลเจอร์ถูกกระตุ้นโดยไม่รู้ตัว มันรีบมองไปยังด้านหลังต้นไม้ใหญ่
ดินในจุดดังกล่าวมีร่องรอยถูกขุด แถมยังเป็นรอยใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ถึงหนึ่งปี
อัลเจอร์รีบถอนสายตากลับอย่างเป็นธรรมชาติ แสร้งทำเป็นไม่เห็นความผิดปรกติ
หลังจากสำรวจโบราณสถานเสร็จ พวกมันเดินทางกลับค่ายพักใหม่
ปัจจุบันเป็นช่วงใกล้ยามเย็นซึ่งบรรยากาศในป่าค่อนข้างหนาว หลังจากเสร็จมื้ออาหาร อัลเจอร์แบ่งเวรยามชุดละสองคน ส่วนตัวมันเองและคนที่เหลือกลับเข้าไปในนอนในเต็นท์ส่วนตัว
ท่ามกลางสายลมเย็นเยียบและกองไฟไหววูบ อัลเจอร์ซึ่งเตรียมแอบหนีออกจากค่ายในตอนกลางคืนได้ยินเสียงร้องมาจากระยะไกล
เนื้อเสียงฟังดูล่องลอยคล้ายกับสตรีคนหนึ่งกำลังระบายความในใจ
สิ่งนี้ทำให้อัลเจอร์หวนนึกถึงอดีตโดยไม่รู้ตัว นึกถึงมารดาผู้ล่วงลับ และนึกถึงวัยเด็กที่เคยถูกข่มเหงรังแก
ความโศกเศร้าที่ยากจะบรรยายถาโถมเข้ามาในจิตใจอย่างท่วมท้น ส่งผลให้อัลเจอร์ไม่รีบตื่นในทันที แต่เลือกจะนอนฟังเพลงอีกหลายวินาทีก่อนบรรจงพยุงตัวลุกนั่งพลางขมวดคิ้ว
แต่คราวนี้อัลเจอร์กลับไม่ได้ยินเสียงใดเลย บทเพลงดังกล่าวเงียบไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น
อัลเจอร์หรี่ตาลง สวมเสื้อนอกตัวหนาและเดินออกมายังกองไฟ
ลูกเรือสองคนซึ่งรับหน้าที่เวรกลางคืน เพิ่งเสร็จการลาดตระเวนและกำลังซึมซับความอุ่นจากกองไฟ
“พบสิ่งผิดปรกติบ้างไหม” อัลเจอร์ถามเสียงหนักแน่น
ลูกเรือที่แข็งแกร่งทั้งสองส่ายหน้าพร้อมเพรียง
“ไม่”
อัลเจอร์เลิกขมวดคิ้วเล็กน้อยและหันหลังกลับ เตรียมเดินออกไปสำรวจด้วยตัวเอง
ทันใดนั้น มันพบบางสิ่งจากหางตา
ลูกเรือทั้งสองคนขยับเข้ามาใกล้มากเกินไป
หากเป็นโจรสลัดทั่วไปคงไม่เป็นปัญหา แต่ลูกเรือเหล่านี้ถูกฝึกฝนจากโบสถ์วายุสลาตันอย่างเข้มงวด ย่อมทราบว่าหลักปฏิบัติในการลาดตระเวนคือห้ามเข้าใกล้กันหรืออยู่ไกลกันมากเกินไป ต้องอยู่ในระยะห่างที่มองเห็นกันได้แต่ไม่ถูกโจมตี ‘กวาด’ รวดเดียวตายเป็นกลุ่ม
อัลเจอร์เดินไปอีกสองก้าวอย่างใจเย็นก่อนจะหันหลังกลับไปมองและถามเป็นกันเอง
“พบสิ่ง ‘ปรกติ’ บ้างไหม”
มันเปลี่ยนคำถาม ส่งผลให้บทสนทนาฟังดูแปลกมาก
ลูกเรือกำยำทั้งสองส่ายหน้าพลางตอบเสียงเรียบ
“ไม่”
ไม่…อัลเจอร์พยักหน้าแผ่วเบาด้วยท่าทีโล่งใจ
“ดี”
มันหันหลังกลับและเดินเข้าไปในเต็นท์อย่างเชื่องช้า
เมื่อลับสายตาลูกเรือ อัลเจอร์ดึงมีดหมื่นพิษและแว่นตาการ์กอยล์ออกมา จากนั้นก็อ้าปากเตรียมเปล่งเสียงร้องเพลง
ทันใดนั้น เสียงเพลงเจือความเศร้าดังขึ้นอีกครั้ง มันทะลวงผ่านโสตประสาทเข้ามายังดวงวิญญาณอัลเจอร์โดยตรง
นี่คือเพลงวิเศษโบราณที่จะขับขานความโศกเศร้าอย่างหาที่สุดมิได้ ส่งผลให้มีท่อนแขนสีซีดงอกออกจากร่างวิญญาณอัลเจอร์และฉีกกระชากร่างกายตัวเองตลอดเวลา
สีหน้าอัลเจอร์พลันบิดเบี้ยว ผิวหนังผุดเกล็ดปลาสีดำด้านปกคลุม เส้นผมสีน้ำเงินที่ยุ่งเหยิงคล้ายสาหร่ายเริ่มหนาและชี้ขึ้น
ความคิดเดิมภายในใจอัลเจอร์ถูกรบกวนด้วยเสียงเพลงและขัดจังหวะด้วยความเจ็บปวด มิอาจก่อตัวให้เป็นรูปร่างคมชัด
อัลเจอร์ล้มลงนอนกระเสือกกระสนบนพื้น ความเป็นมนุษย์ลดน้อยลงเรื่อยๆ จนกระทั่งใกล้คลุ้มคลั่ง
ทันใดนั้น เสียงเพลงหยุดลงกะทันหัน น้ำเสียงอันเย็นเยียบดังเข้ามาในโสตประสาทอัลเจอร์
“ยังพอมีสายเลือดเอลฟ์อยู่บ้าง…ถ้าอย่างนั้นก็พอแค่นี้…จงใช้ตะกอนพลังของเซียธาสให้เกิดประโยชน์สูงสุด”
อัลเจอร์ลุกขึ้นเชื่องช้าโดยมีเหงื่อเย็นผุดขึ้นบนหน้าผาก จากนั้นก็พบว่ามีใครบางคนกำลังยืนอยู่ภายในเต็นท์
เป็นสตรีเลอโฉมผมสีดำขลับ ปลายหูเรียวแหลม ดวงตาลุ่มลึก ใบหน้าอ่อนโยน แต่งกายในชุดโบราณเรียบง่าย แม้ส่วนสูงจะไม่มากนัก แต่กลับมอบบรรยากาศน่าเกรงขามและน่าเคารพ
“…ท่านคือราชินีเอลฟ์ ‘ราชินีแห่งภัยธรรมชาติ’ โคฮีเน็ม ใช่ไหม?” อัลเจอร์ถามด้วยสีหน้าครุ่นคิด
สตรีผู้กำลังเล่นแก้วไวน์ทองคำตอบเสียงเรียบ
“เจ้าเคยพบข้าแล้วไม่ใช่หรือ”
อัลเจอร์หวนนึกถึงเหตุการณ์บนเกาะปาซูเมื่อครั้งอดีตทันที เป็นความฝันที่มันหลุดเข้าไปในวังปะการังใต้ทะเลและพบกับเอลฟ์สาวสูงส่ง
“คุณยังมีชีวิตอยู่…” อัลเจอร์เปล่งเสียงหลังจากเงียบงันหลายวินาที
ขณะเดียวกันก็รีบเอ่ยพระนามเต็มอันทรงเกียรติของมิสเตอร์ฟูลในใจ แม้จะคิดว่าคงไม่ได้ผลเพราะตนมิได้เปล่งออกมาเป็นคำ
สตรีผมดำขลับเกล้ามวยสูงตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“เป็นเรื่องยากที่เทวทูตจะร่วงหล่นโดยไม่ได้เผชิญหน้ากับศัตรู”
“แล้วทำไมคุณถึงต้องแบ่งตะกอนพลังจนทำให้ตัวเองตกอยู่ในสภาวะไม่ปรกติและต้องรอการคืนชีพ?” อัลเจอร์ที่เคยได้ยินข้อมูลจากชุมนุมทาโรต์ แง่หนึ่งถามเพราะอยากรู้ อีกแง่หนึ่งถามเพราะต้องการซื้อเวลา
เอลฟ์สาวที่คาดว่าน่าจะเป็นราชินีแห่งภัยธรรมชาติ โคฮีเน็ม พ่นลมหายใจ
“เพราะบัลลังก์แห่งพายุตกอยู่ในความครอบครองของเลโอเดโร และข้าก็ไม่มีพลังพอจะต้านทาน ‘ทรราช’…นอกจากนั้น จำนวนประชากรเอลฟ์ยังลดลงอย่างต่อเนื่อง หลักยึดเหนี่ยวของข้าเริ่มไม่มั่นคง”
คนทั่วไปอาจไม่ทราบว่าเลโอเดโรเป็นใคร แต่ไม่ใช่กับอัลเจอร์ มันจึงไม่กล้าสนทนาประเด็นนี้บนโลกความจริง
ขณะเตรียมถามราชินีแห่งภัยพิบัติ โคฮีเน็ม ว่ามาพบตนด้วยจุดประสงค์ใด ราชินีเอลฟ์เป็นฝ่ายเปิดปาก
“เจ้าอยากเป็นครึ่งเทพหรือไม่”
หล่อนต้องการใช้ร่างของเราเป็นภาชนะในการคืนชีพ? คิดจะใช้สถานะครึ่งเทพมาเป็นเหยื่อล่อเรา? ขณะอัลเจอร์เริ่มคล้อยตาม มันผุดคำถาม
เมื่อพิจารณาว่ามิสเตอร์ฟูลสามารถ ‘ชำระล้าง’ สิ่งแปลกปลอมทุกชนิดให้สมาชิกชุมนุมได้ อัลเจอร์มองว่านี่เป็นโอกาส
มันหวนนึกถึงหนึ่งในวลียอดนิยมของจักรพรรดิโรซายล์
กระสุนเคลือบน้ำตาล!
พิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน มันมีโอกาสที่จะได้กินน้ำตาลฟรีและคายกระสุนทิ้งไป
“ผมจะต้องทำยังไง” อัลเจอร์มิได้ทำตัวออกนอกหน้า เพียงถามอย่างใจเย็นตามนิสัย
ราชินีแห่งภัยธรรมชาติ โคฮีเน็ม จ้องมองหัวจรดเท้าก่อนจะกล่าว
“เมื่อเจ้ามีโอกาสและคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าถึงหนังสือแห่งภัยธรรมชาติ ขโมยบางสิ่งออกจากหนังสือโดยไม่ให้ใครรู้ จากนั้นก็นำไปยังทวีปตะวันตก”
ทวีปตะวันตก…บ้านเกิดในตำนานของเอลฟ์? อัลเจอร์ขมวดคิ้วก่อนจะถาม
“ไม่ใช่ว่าทวีปตะวันตกหายไปแล้วหรือ”
โคฮีเน็มยกมุมปากเล็กน้อย
“ในเมื่อหายไปได้ ก็ปรากฏขึ้นใหม่ได้…ทวีปตะวันตกจะปรากฏตัวอีกครั้งในวันสิ้นโลก”
โดยไม่รอให้อัลเจอร์ถาม ราชินีเอลฟ์เว้นวรรคเล็กน้อยและพูดต่อ
“เจ้าไม่จำเป็นต้องนำสิ่งนั้นไปส่งยังทวีปตะวันตกด้วยตัวเอง สามารถฝากใครไปแทนก็ได้…แม้ข้าจะไม่ถนัดคำสาป แต่ก็มีพลังมากพอจะทำให้เจ้าตายอย่างทุกข์ทรมานหากผิดสัญญา”
“แต่ถ้าทวีปตะวันตกไม่ปรากฏขึ้นหรือไม่มีทางเข้า?” อัลเจอร์ถามด้วยสีหน้าจริงจัง
โคฮีเน็มเจ้าของใบหน้าสะสวยและผมสีดำขลับ บรรจงถอนสายตากลับอย่างอ่อนโยนประหนึ่งกำลังดำดิ่งท่ามกลางความทรงจำสมัยอดีต
ผ่านไปหลายวินาที เธอกล่าวอย่างใจเย็น
“ถ้ามันไม่ปรากฏขึ้นอีกจริงๆ ให้ถือว่าสัญญาเป็นโมฆะ…การเข้าทวีปตะวันตกอาจต้องใช้คาถาหรือรหัสผ่านบางอย่าง ซึ่งข้าเองก็ไม่ทราบ…แต่เจ้าสามารถถามได้จากตัวตนลึกลับบางคน”
“ใคร” อัลเจอร์ขมวดคิ้วถาม
โคฮีเน็มจ้องหน้าพลางกล่าวเสียงเย็น
“มิสเตอร์ฟูลที่เจ้าเพิ่งเอ่ยนามเต็มของเขาในใจ…ข้ามีลางสังหรณ์ว่าเขาคือกุญแจสำคัญของเรื่องนี้”
หัวใจอัลเจอร์หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม มันรีบก้มศีรษะลงและตอบอย่างสำรวม
“เข้าใจแล้วครับ”
เห็นฉากตรงหน้า ราชินีแห่งภัยธรรมชาติ โคฮีเน็มพยักหน้าแผ่วเบาและกล่าวต่อ
“หากเจ้าอยากเป็นครึ่งเทพและยินดีที่จะรักษาสัญญา…เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น จงมุ่งหน้าไปยังโบราณสถานเอลฟ์”
หลังจากสิ้นเสียง ร่างของราชินีเอลฟ์เลือนหายไปราวกับภาพลวงตาในทะเลทราย
อัลเจอร์ลืมตาขึ้นและพบว่าตนกำลังนอนอยู่ในเต็นท์
ท่ามกลางความทรงจำที่สับสน อัลเจอร์พยายามจัดระเบียบจนกระทั่งได้ข้อสรุป
มันและลูกเรือเพิ่งทราบตำแหน่งของโบราณสถานการณ์เอลฟ์ แต่ยังไม่เคยเข้าไปสำรวจ!
ไม่ว่าจะเป็น ‘การสำรวจ’ เมื่อตอนกลางวัน เสียงเพลง ความผิดปรกติของลูกเรือ การปรากฏตัวของราชินีแห่งภัยธรรมชาติ และบทสนทนาทั้งหมด ทุกสิ่งล้วนเป็นเพียงความฝัน!
ไม่แปลกใจว่าทำไมเราถึงทำตัวประมาท…ในความเป็นจริง หากตระหนักว่าตัวเองอาจต้องเผชิญหน้ากับราชินีแห่งภัยธรรมชาติ ไม่มีทางที่เราจะไม่สวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูลล่วงหน้า…ราชินีแห่งภัยธรรมชาติสามารถสร้างความฝันที่สมจริงได้ด้วยอำนาจของเทวทูต? หรือพระองค์พึ่งพาสมบัติปิดผนึกบางชนิดที่ช่วยให้สำแดงพลังได้แม้จะอยู่ในสถานะพิเศษ? อัลเจอร์ออกไปนอกเต็นท์และยืนยันว่าสถานการณ์ปรกติ
มันนั่งลงและเริ่มสวดวิงวอนถึงเดอะฟูลอย่างเคร่งครัด
ผ่านไปราวสามสิบวินาที อัลเจอร์ถูกดึงขึ้นไปบนมิติหมอกและพบกับเดอะฟูลที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประธานโต๊ะทองแดงยาว
“เจ้าได้พบโคฮีเน็มมาหรือ” หลังจากแฮงแมนทักทายเสร็จ เดอะฟูล ไคลน์ถามอย่างเป็นกันเอง
แฮงแมน อัลเจอร์ตอบขึงขัง
“ครับ…แต่ผมไม่มีหลักฐานยืนยันว่านั่นคือราชินีเอลฟ์ตัวจริง”
…………………………