Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1188 : ไร้ยางอาย
อัญเชิญผู้ส่งสาร…ในฐานะจัดจ์เมนต์แห่งชุมนุมทาโรต์และสมาชิก เอ็มไอเก้า ซิลเข้าใจดีว่าผู้ส่งสารหมายถึงสิ่งใด และทราบว่าในองค์กรระดับกลางขึ้นไปมักมีการใช้ผู้ส่งสารอย่างแพร่หลาย
ยังไม่ทันจะถามรายละเอียดเพิ่มเติม ซิลเห็นฟอร์สเดินเหม่อเข้าไปในห้องรับแขกชั้นหนึ่งพลางกล่าวด้วยสีหน้าล่องลอย
“ขอฉันนอนก่อน ไว้คุยกันทีหลัง”
เธอหลับยาวจนกระทั่งรุ่งเช้าของอีกวัน ถูกปลุกให้ตื่นโดยกลิ่นอันหอมหวนของเนื้อ
“พายเดซีย์?” ฟอร์สขยี้ตาพร้อมกับเดินออกจากห้องและพบว่ามีอาหารวางอยู่บนโต๊ะแล้ว
“ใช่” ซิลเดินออกจากห้องน้ำ “ร้านหัวมุมถนน รสชาติไม่เลวเลย”
ฟอร์สพยักหน้ารับรู้และเดินไปนั่งบนโต๊ะอาหาร หยิบพายเดซีย์ใส่ปากอย่างรวดเร็ว
หลังจากกินไปหนึ่ง หญิงสาวจิบชาเย็นพลางถอนหายใจด้วยสีหน้าอิ่มเอม
“ฮ้า~ นี่แหละชีวิต…อ๊ะ…ฉันลืมแปรงฟัน”
เมื่อทำความสะอาดร่างกายเสร็จ สติฟอร์สกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์ จึงชำเลืองไปทางซิลและถามอย่างสงสัย
“เอ็มไอเก้า ไม่สงสัยเลยหรือว่าเธอกลายเป็นผู้พิพากษาอย่างลับๆ แล้ว”
“พวกเขาเข้าใจว่าเป็นรางวัลที่ฉันได้รับจากภารกิจก่อนหน้า” ซิลเล่า
ฟอร์สสางผมพร้อมกับยิ้ม
“อา…ปล่อยให้พวกเขาไปถามโบสถ์รัตติกาลเอาเอง”
หญิงสาวปิดปากหาว
“ฉันจะอัญเชิญผู้ส่งสารของชายคนนั้น”
หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งการ ‘บันทึก’ อย่างหนักหน่วง สรรพนามที่ฟอร์สใช้เรียกเกอร์มันสแปร์โรว์กลายเป็น ‘ชายคนนั้น’
แง่หนึ่งเป็นการแสดงความเคารพ และอีกแง่หนึ่งทำไปเพราะกลัวถูกดักฟัง
ได้ยินคำพูดของเพื่อนสนิท ซิลกวาดสายตาไปรอบตัวพร้อมกับถามด้วยความฉงน
“ไม่ต้องประกอบพิธีกรรม?”
เธอจำได้ว่าการอัญเชิญผู้ส่งสารต้องประกอบพิธีกรรม
“นั่นแค่หนึ่งในวิธีอัญเชิญ” ฟอร์สก้มมองเสื้อผ้าตัวเองและพบว่าพวกมันอยู่ในสภาพยับย่น เนื่องจากไม่ได้เปลี่ยนชุดใหม่ก่อนนอนเมื่อวาน
เมื่อตระหนักว่าตนต้องเผชิญหน้ากับผู้ส่งสาร เธอตัดสินใจให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ จึงรีบเดินกลับไปยังห้องนอนชั้นสองและเปลี่ยนเป็นเดรสสีเบจปกตั้งลวดลายฟูฟ่อง
จัดการเสร็จ หญิงสาวยกมือขวาต่อหน้าซิลและคว้าอากาศด้านหน้า ท่าทางราวกับต้องการกระชากบางสิ่งออกมา
ในการมองเห็นของเธอ หนังสือมายาก่อตัวเป็นรูปร่างและพลิกหน้าอย่างรวดเร็วก่อนจะหยุดลง
จากนั้น ท่อนแขนของเธอทรุดลงพร้อมลากร่างหนึ่งออกจากความว่างเปล่า
ไม่ใช่ใครนอกจากเกอร์มันสแปร์โรว์ผู้แต่งกายด้วยหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูงและเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำ ใบหน้าเย็นชาไร้อารมณ์
สำเร็จในครั้งเดียว? เราเพิ่งทดลองเป็นครั้งที่สอง…เมื่อวานลองไปหนึ่งครั้งแต่ล้มเหลว…ดวงตาฟอร์สเบิกกว้างทันที ประหนึ่งต้องการรับแสงให้มากขึ้นเพื่อที่จะได้มองเห็นอย่างชัดเจน
เธอทราบดีว่าบุคคลตรงหน้าเป็นเพียงภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์ จึงไม่ออกอาการประหม่าเหมือนกับทุกครั้ง เพียงตั้งใจสำรวจอีกฝ่ายหัวจรดเท้าและพบว่า เกอร์มันสแปร์โรว์ที่เธอเพิ่งดึงออกมา ดูเหมือนกับตัวจริงจนยากจะแยกแยะ
บรรยากาศอันน่าสะพรึงของนักผจญภัยเสียสติคนนี้ยังไม่จางหายไปไหน
ฟอร์สอัญเชิญเกอร์มันสแปร์โรว์? ไม่ใช่ผู้ส่งสารของเขาหรือ? เกอร์มันสแปร์โรว์กลายเป็นเป้าหมายการอัญเชิญได้ด้วย? คำถามมากมายผุดขึ้นในใจซิล
ขณะฟอร์สไม่มั่นใจว่าตนควรทำอย่างไรต่อ ดวงตาเกอร์มันสแปร์โรว์เปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย กลายเป็นความกระจ่างใสและกระฉับกระเฉง มิได้แข็งทื่อและเฉยเมยเหมือนในตอนแรก มอบความรู้สึก ‘มีชีวิตชีวา’ ให้แก่ผู้พบเห็น
ทันทีหลังจากนั้น ชายหนุ่มหยิบฮาร์โมนิก้าสีเงินสว่างออกมาและโน้มตัวเป่า
ไม่มีเสียงใดเล็ดลอด แต่บรรยากาศโดยรอบพลันมืดสลัวและปราศจากลมพัด
จากนั้น สตรีผู้หนึ่งที่แต่งกายในเดรสยาวซับซ้อนสีเข้ม ถือหัวสี่หัวสีทองตาแดงเดินออกจากความว่างเปล่า ดวงตาทั้งแปดจดจ้องไปทางเกอร์มันสแปร์โรว์โดยพร้อมเพรียง
เกอร์มันสแปร์โรว์พยักหน้ารับแผ่วเบาพร้อมกับชี้มาทางฟอร์ส
“ผู้หญิงคนนี้ต้องการเดินทางเข้าไปในส่วนลึกของโลกวิญญาณเพื่อบันทึกพิกัดพิเศษสี่แห่ง ได้โปรดช่วยเธอด้วย”
“ตกลง…” ไรเน็ตต์ไทน์เคอร์ตอบพลางผงกในหนึ่งศีรษะขึ้นลง
เกอร์มันสแปร์โรว์ไม่กล่าวเพิ่มเติม เพียงเดินไปใกล้หน้าต่างและเปลี่ยนถุงมือข้างซ้ายให้โปร่งใส
ร่างของมันหายไปอย่างรวดเร็วจากพลังเทเลพอร์ต
หายไป…หายไปแล้ว…ภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์ที่เราอัญเชิญหนีไปเองได้ด้วยหรือ? ฟอร์สอ้าปากค้างเล็กน้อยราวกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น
ตามความเข้าใจของเธอ เป้าหมายการอัญเชิญควรตกอยู่ในความควบคุมของเธอ แล้วเหตุไฉนถึงเคลื่อนไหวด้วยตัวเองได้?
หรือว่าภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์จะมีนิสัยแบบเดียวกับตัวจริง…ไม่สิ มันดูเหมือนเกอร์มันสแปร์โรว์ตัวจริงมาเองมากกว่า…ฟอร์สชำเลืองไปทางซิลและพบว่าอีกฝ่ายกำลังสับสนไม่ต่างกัน
ทันใดนั้น ฟอร์สพลันสะดุ้งตัวสั่นเมื่อตระหนักว่ามีบางสิ่งที่น่าสะพรึงกำลังจ้องมอง
เธอหันไปมองตามสัญชาตญาณและพบผู้ส่งสารของเกอร์มันสแปร์โรว์กำลังใช้ดวงตาทั้งแปดจดจ้องตนหัวจรดเท้า
น่ากลัวยังกับเกอร์มันสแปร์โรว์…ฟอร์สยิ้มแห้งก่อนจะเปิดปากพูด
“…ขอโทษที่รบกวนนะคะ”
ทันใดนั้น สี่หัวทองตาแดงของไรเน็ตต์ไทน์เคอร์พูดเรียงกัน
“ต้อง…” “จ่าย…” “แปดร้อย…” “เหรียญทอง…”
มีค่าใช้จ่ายด้วย? ฟอร์สอ้าปากอีกครั้ง ตอบสนองไม่ถูกไปสักพัก
ผ่านไปหลายวินาที สมองของเธอเริ่มกลับมาทำงาน จึงรีบคำนวณเงินเก็บในปัจจุบัน
หลังจากให้ซิลยืมไปสองพันสี่ร้อยปอนด์ เราเหลือเงินเก็บเจ็ดร้อยแปดสิบปอนด์…ในระยะหลังเรามีค่าใช้จ่ายพอสมควร แต่ก็ยังได้รับเงินค่าลิขสิทธิ์จากนิยายเก่าอย่างต่อเนื่อง ผนวกกับรายได้ทางอื่นและสามร้อยปอนด์ที่ซิลเพิ่งคืน ปัจจุบันเรามีเงินเก็บรวมหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบแปดปอนด์…เพียงพอ…
ขณะฟอร์สเตรียมตอบตกลง เธอพบปัญหา
“ต้องเป็นเหรียญทองทั้งหมด…?”
หัวทั้งสี่ของไรเน็ตต์ไทน์เคอร์ขยับพร้อมกัน
“ถูกต้อง…” “เจ้า…” “สามารถ…” “ติดหนี้…”
นึกแล้วเชียว…เหรียญทองล้วน…เราจำได้ว่ามิสเตอร์เวิร์ลเคยรวบรวมเหรียญทองจำนวนมาก…เพื่อจ่ายผู้ส่งสาร? ความสัมพันธ์ของเขากับผู้ส่งสารค่อนข้างแปลกทีเดียว…อา…มิสเตอร์เวิร์ลน่าจะยังมีเหรียญทองเหลืออยู่ ไว้เราค่อยแลกเขามาจ่ายหนี้…ฟอร์สถอนหายใจโล่งอก
“ตกลง”
หลังจากเจรจาเสร็จ ฟอร์สเห็นศีรษะในมือผู้ส่งสารไร้หัวถูกยกขึ้นมากัดเสื้อผ้าบนไหล่เธอ
สีสันโดยรอบทวีความเข้มและฉูดฉาด แดงยิ่งแดงก่ำ ดำยิ่งดำสนิท และขาวยิ่งขาวโพลน
ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว ฟอร์สมิอาจแยกแยะทิศทางได้แม่นยำ เธอถูกไรเน็ตต์ไทน์เคอร์พาท่องโลกที่มีวิวทิวทัศน์คล้ายคลึงกันจนกระทั่งถึงจุดที่เต็มไปด้วยหมอกจาง
ในส่วนลึกของสายหมอกคล้ายกับมีดวงตาพยายามจ้องมอง แต่สุดท้ายก็หดกลับและหายไป
…
เมื่อครั้งเมจิกเชี่ยน ฟอร์สอัญเชิญภาพฉายของเกอร์มันสแปร์โรว์ในเบ็คลันด์ ร่างต้นไคลน์ได้เข้าสู่สายหมอกแห่งประวัติศาสตร์และวิ่งตรงไปยังช่วงเวลาก่อนยุคสมัยที่หนึ่ง
จิตสำนึกของชายหนุ่มถูกโอนถ่ายไปยังภาพฉายดังกล่าว ช่วยลดภาระทางพลังวิญญาณบางส่วนที่ฟอร์สต้องแบกรับ
เรียกได้ว่าเป็นการกลับมาเยือนเบ็คลันด์ทางอ้อมของไคลน์ และนั่นคือสาเหตุที่มันขอให้มิสเมจิกเชี่ยนอัญเชิญผู้ส่งสารของตนด้วยวิธีนี้
มิสผู้ส่งสารซึ่งถูกอัญเชิญจากภาพฉายฮาร์โมนิก้าจะไม่สูบพลังวิญญาณของฟอร์สเนื่องจากเป็น ‘ตัวจริง’ ดังนั้น แม้พลังวิญญาณของฟอร์สจะหมดลง แต่ไรเน็ตต์ไทน์เคอร์ก็จะไม่หายไปไหน
หลังจากเทเลพอร์ต ร่างไคลน์โผล่ขึ้นอีกครั้งในตรอกเงียบใกล้กับวิหารนักบุญแซมมวล จากนั้นก็แปลงโฉมด้วยพลังผู้ไร้หน้า
ระหว่างลงมือ แม้จะมีผู้คนเดินผ่านไปมาในตรอกพอสมควร แต่ก็ไม่มีใครพบความผิดปรกติเพราะถูกภาพลวงตาบดบัง
ไคลน์จัดระเบียบเครื่องแต่งกายและเดินเข้าไปในวิหารนักบุญแซมมวล ตรงเข้าไปในโถงสวดมนต์และนั่งลงบนม้านั่งฝั่งด้านข้าง
หลังจากถอดหมวกและท่องพระนามเต็มอันทรงเกียรติ ชายหนุ่มวาดพระจันทร์แดงบนหน้าอกอย่างสำรวม ประสานมือและหลับตาพลางสวดวิงวอนถึงเทพธิดาด้วยเสียงต่ำ
“…ผมกำลังค้นหาร่องรอยในอดีตของหมาป่าอสูรทมิฬเพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ของอีกฝ่ายได้ดีขึ้น…”
กล่าวถึงตรงนี้ ไคลน์นึกขึ้นได้ว่าหมาป่าอสูรทมิฬอาจเป็นอดีตเพื่อนร่วมงานของเทพธิดารัตติกาล และพระองค์อาจมีข้อมูลเพิ่มเติม จึงตัดสินใจเสริมอีกหนึ่งประโยค
“…ไม่ทราบว่าพระองค์จะช่วยบอกใบ้สักนิดได้ไหม…”
โดยไม่รอคำตอบ ชายหนุ่มสงบสติพร้อมกับกล่าวต่อ
“…เมื่อสะสางเรื่องนี้เสร็จ ผมวางแผนจะตรงไปทางตะวันออกเรื่อยๆ เพื่อดูว่าสามารถไปถึงทิศตะวันตกได้ไหม และสำรวจว่ามันกำลังอยู่ในสภาพใด เผื่อว่าที่นั่นจะเป็นช่องทางในการหลบหนีอามุนด์ของผม หรือช่องทางสำหรับค้นพบโอกาสใหม่…”
สวดวิงวอนเสร็จ ไคลน์เคาะหน้าอกตามเข็มนาฬิกาพร้อมกับพึมพำ
“เทพธิดาจงเจริญ”
ทันทีที่สิ้นเสียง การมองเห็นของชายหนุ่มพลันแปรเปลี่ยนเป็นท้องฟ้ายามค่ำคืนอันมืดมิด ข้อมูลชุดหนึ่งพรั่งพรูเข้ามาในใจ
ข้อมูลเกี่ยวกับหมาป่าอสูรทมิฬ โคทาร์
“…” ไคลน์ผงะเล็กน้อย จนกระทั่งท้องฟ้ายามค่ำคืนเลือนหายไป ชายหนุ่มสรรเสริญเทพธิดาในใจอีกครั้ง
เมื่อออกจากวิหารนักบุญแซมมวล ชายหนุ่มใช้ยุบพองหิวโหยเทเลพอร์ตไปใกล้กับมหาวิหารแห่งวายุในเขตเชอร์วู้ด
มันต้องการสวดวิงวอนถึงวายุสลาตันด้วย
ยืนจ้องยอดหอคอยสูงตระหง่าน ไคลน์ลังเลเป็นเวลานานว่าตนควรเข้าไปในสำนักงานใหญ่ของโบสถ์วายุสลาตันประจำกรุงเบ็คลันด์หรือไม่
เราไม่ต้องกลัวตาย เพราะนี่เป็นแค่ภาพฉาย…การสวดวิงวอนถึงพระองค์ไม่มีข้อเสีย…จะเกิดอะไรขึ้นถ้าวายุสลาตันได้ฟังสถานการณ์ของอามุนด์แล้วตัดสินใจยก ศูนย์-สามสิบสอง ให้เรา? ภารกิจเสี่ยงตายอย่างการล่าหมาป่าอสูรทมิฬก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป…เกิดเป็นคนต้องมีความหวังอยู่เสมอ! ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะตัดสินใจ
มันยกมือขึ้นและดึงผู้ชนะ เอ็นยูน สมัยยังไม่ถูกอามุนด์ใช้ปรสิตยึดร่างออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์ จากนั้นก็แปลงโฉมหุ่นเชิดและบังคับให้เดินเข้าไปในมหาวิหารแห่งวายุ
ราวสองนาทีถัดมา เมฆก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือกรุงเบ็คลันด์และยิงสิ่งที่คล้ายกับแสงสีเงินลงมายังมหาวิหารแห่งวายุโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
…………………………