Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1204 : เดิมพันด้วยชีวิต
ฟอร์สไม่ตกตะลึงกับคำขอของมิสเตอร์เวิร์ล เธอรีบตอบอย่างประหม่า
“ต…ตกลง… ว่าแต่คุณต้องการทำธุรกิจแบบไหน”
ในช่วงก่อนจะเริ่มภารกิจ เธอแลกเปลี่ยนกับอาจารย์ของเธอ โดเรียน·เกรย์·อับราฮัมอย่างต่อเนื่อง และภายใต้คำแนะนำจากมิสจัสติส ฟอร์สประสบความสำเร็จในการวางรากฐานธุรกิจให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์
เดอะเวิร์ล ไคลน์กล่าวพลางยิ้ม
“ยังไม่ต้องบอกเขาว่าเป็นธุรกิจแบบใด แค่เกริ่นข้อเสนอของผมและรอดูท่าทีตอบสนอง”
“ข้อเสนอของคุณคือคำมั่นสัญญาว่าจะช่วยตระกูลอับราฮัมขจัดคำสาป?” ฟอร์สพยายามหาคำยืนยัน
ไคลน์พยักหน้าพร้อมกับชี้ไปทาง 0-61 บนโต๊ะทองแดงยาว
“หรือจะเป็นกล่องวันวานก็ได้”
สิ่งที่ใช้แลกเปลี่ยนกับสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ต้องไม่ธรรมดาแน่… ไม่ว่าจะเป็นจัสติสหรือแคทลียา พวกเธอต่างได้ข้อสรุป
แต่ฟอร์สสนใจคำมั่นสัญญาที่จะช่วยขจัดคำสาปมากกว่า นั่นเพราะเธอเคยลิ้มรสด้วยตัวเอง ย่อมทราบดีว่าตระกูลอับราฮัมน่าสงสารเพียงใด
หญิงสาวตอบเสียงขรึมโดยไม่ลังเล
“ตกลง”
…
กรุงเบ็คลันด์ เขตตะวันตก ในห้องใต้ดินของบ้านหลังหนึ่ง
นักบุญมืดผู้ซ่อนตัวในเงา คิสม่า งอกขึ้นมาจากความมืดมิดด้านล่าง
มันหันศีรษะกะทันหันคล้ายกับได้ยินบางสิ่ง จากนั้น กล้ามเนื้อใบหน้าพลันกระตุก ไม่ใช่การกระตุกทั้งแผง แต่เป็นเพียงส่วนเล็กๆ อย่างไรก็ตาม จุดเล็กๆ ดังกล่าวทยอยผุดขึ้นจนเต็มแก้ม ดูน่าสยดสยองและพิสดารสุดขีด
ไม่กี่วินาทีถัดมา คิสม่าสวมสีหน้าเจ็บแปลบประหนึ่งผิวหนังถูกฉีกทำลาย เลือดเนื้อตามร่างกายยุบพองต่อเนื่อง ผสมผสานเข้ากับสีดำสนิท
มันทรุดคุกเข่าลงกับพื้นก่อนจะคลานไปยังหน้าแท่นบูชา จากนั้นก็คายอวัยวะและประกายแสงออกมา
นักบุญมืดแนบศีรษะลงกับพื้นอย่างสุดกำลังพลางพึมพำด้วยความบ้าคลั่ง
“โบทิสตายแล้วจริงๆ … จอมเวทลึกลับผู้ถือครองสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ถูกฆ่าอย่างง่ายดาย… ที่เกิดเหตุมีไพ่ทาโรต์… เฮอร์มิท… ศัตรูสองคนที่ลงมือจู่โจมเป็นนักบุญทั้งคู่… คนหนึ่งเป็นปราชญ์พิศวง ส่วนอีกคนเป็นจอมบงการ… องค์กรลับที่ศรัทธาเดอะฟูลและใช้ไพ่ทาโรต์แทนรหัส… เกอร์มัน·สแปร์โรว์… อะซิก·อายเกส…”
“…”
หลังจากพึมพำอย่างหยุดไม่ได้ นักบุญมืดหลั่งน้ำตาด้วยความเจ็บปวดเป็นทุกข์
“ผิดไปแล้ว… ข้าผิดไปแล้ว…”
…
ไม่กี่วันถัดมา ภายในห้องพักใกล้กับท่าเรือพริสต์
โดเรียน·เกรย์·อับราฮัมที่ปลอมตัว ได้รับจดหมายจากฟอร์สหลังจากส่งผ่านมาหลายทอด
มันตรวจสอบอย่างละเอียดและไม่พบปัญหา หลังจากยืนยันว่าไม่มีสัญญาณของความผิดปรกติ มันใช้มีดกรีดเปิดซองจดหมาย
จดหมายเริ่มด้วยการทักทายตามปรกติ จากนั้น ฟอร์สเขียนเข้าประเด็น
“…พวกเราสังหารนักบุญเร้นลับ โบทิส เรียบร้อยแล้ว นอกจากนั้นยังช่วงชิงสมบัติที่เขาพกพา”
“…” เดิมที โดเรียนคิดจะอ่านจดหมายอย่างคราวก่อนหนึ่งรอบ แต่ท้ายที่สุดกลับต้องชะงักอยู่กับประโยคดังกล่าว มันอ่านทวนหลายหนประหนึ่งหลงลืมว่าต้องอ่านต่อ
โดเรียนทราบดีว่าโบทิสแข็งแกร่งเพียงใด เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงจอมเวทลึกลับ
แต่ในวินาทีนี้ ศิษย์คนใหม่ที่มันเพิ่งสอนได้ปีกว่าๆ กลับเล่าอย่างใจเย็นว่าโบทิสถูกเก็บแล้ว
เสียงในหัวโดเรียนมีเพียงคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ ‘โกหก’ และ ‘แผนลวง’ โดยอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า ฟอร์สคงถูกชุมนุมแสงเหนือควบคุมตัวไปแล้ว
แม้แต่ในองค์กรใหญ่ ผู้วิเศษลำดับ 4 ถือเป็นขุมกำลังชั้นยอดและสมาชิกคนสำคัญ ไม่มีทางที่จะถูกฆ่าได้ง่ายดายเช่นนี้แน่!
ลูกกระเดือกโดเรียนขยับขึ้นลงก่อนฝืนใจอ่านจดหมายต่อ
“…พวกเรายังได้ครอบครองกล่องวันวาน… ฉันเชื่อว่าอาจารย์คงรู้จักดี…”
หลังจากอ่านจบอีกหนึ่งบรรทัด เปลือกตาโดเรียนกระตุกถี่ๆ มันรู้สึกราวกับกระดาษจดหมายในมือหนักอึ้งประหนึ่งหินยักษ์
แน่นอนว่ามันคุ้นเคยกับกล่องวันวานเป็นอย่างดี เพราะสิ่งนี้คือสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ของตระกูลอับราฮัม สัญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์ของพวกตน
…คนที่ถูกฆ่าคือโบทิสซึ่งพกพากล่องวันวาน… ความตกตะลึงของโดเรียนยังไม่หยุดลง เรื่องราวดำเนินไปไกลกว่าจินตนาการของมันมาก ขณะเดียวกัน โดเรียนเริ่มพบว่าคำบอกเล่าของศิษย์ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว เพราะโบทิสอาจตายด้วยน้ำมือของกล่องวันวานเอง
มันตระหนักดีว่าสมบัติปิดผนึกชิ้นดังกล่าวอันตรายมากเพียงใด!
ขณะเดียวกัน โดเรียนสังเกตเห็นวลีหนึ่ง:
“พวกเรา”
นี่คือครั้งแรกที่ฟอร์สจงใจเปิดเผยว่าเธอมีพวกพ้อง
แน่นอนว่าโดเรียนเดาได้นานแล้ว แค่ไม่ได้โพล่งออกไปตามตรง
อย่างที่คิด… โดเรียนถอนหายใจด้วยความอยากอ่านต่อ
“…เพื่อนคนหนึ่งของฉันต้องการแสดงความปรารถนาดีต่ออาจารย์ เขาเป็นคนที่ผลักดันให้ปฏิบัติการเด็ดหัวโบทิสเกิดขึ้น… เขาอยากทำธุรกิจกับคุณโดยยินดีที่จะแลกเปลี่ยนกับกล่องวันวาน หรือไม่ก็คำมั่นสัญญาว่าจะช่วยขจัดคำสาปของตระกูลอับราฮัม… เขาอยากทราบว่าอาจารย์สนใจหรือไม่… แน่นอนว่าเขาไม่รู้ที่อยู่ของอาจารย์ และฉันก็ไม่คิดจะบอก คุณสามารถปฏิเสธได้อย่างสบายใจ…”
คำมั่นสัญญาว่าจะช่วยขจัดคำสาป? โดเรียนอ่านข้าม ‘กล่องวันวาน’ และเอาแต่พึมพำในสิ่งที่มันปรารถนาโดยแท้จริง
หลังจากเคยติดต่อกันหลายครั้ง โดเรียนพอจะทราบอย่างคร่าวว่าคำสาปของตระกูลมีลักษณ์เป็นเช่นไร มันคือโศกนาฏกรรมอันแสนเศร้า เป็นความหวังสุดท้ายของใครบางคนที่นำพามาซึ่งหายนะ
คงไม่มีใครคาดคิดว่า บุคคลที่ทำให้ลูกหลานของตระกูลอับราฮัมคลุ้มคลั่งไปหลายชั่วอายุคน แท้จริงแล้วคือบรรพบุรุษที่พยายามร้องขอความช่วยเหลือจากพวกตน
ราวกับเป็นมุกตลกจากโชคชะตา
โดเรียนอาจไม่ทราบว่ามิสเตอร์ประตูตระหนักถึงผลลัพธ์ที่ตามมาหรือไม่ และไม่มีทางอธิบายความรู้สึกอันแสนซับซ้อนของตนให้ใครเข้าใจ แต่โดเรียนก็อดไม่ได้ที่จะมองหาวิธีช่วยมิสเตอร์ประตู เพราะนั่นจะช่วยให้คำสาปของตระกูลสิ้นสุดลง
วิธีนี้แทบไม่มีโอกาสทำสำเร็จ แต่สำหรับตระกูลอับราฮัม ประกายความหวังแค่นี้ก็นับว่าเพียงพอ เพราะจุดแสงมักสว่างจ้าในความมืดเสมอ
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ โดเรียนพับกระดาษจดหมายพลางยิ้มขื่นขม
“ความปรารถนาดี… ความปรารถนาดีนี่แหละน่ากลัวที่สุด…”
หลังจากพึมพำกับตัวเอง มันปิดปากเงียบอีกครั้ง สีหน้ามืดมนและหัวใจเต็มไปด้วยความลังเล
ก๊อง!
นาฬิกาแขวนผนังดังขึ้นตามเวลา ปลุกโดเรียนให้ตื่นจากภวังค์
สีหน้าของมันทวีความเคร่งขรึม ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจได้
หลังจากยืนยันหัวใจตัวเอง โดเรียนผ่อนคลายลงทันที ถึงขั้นยิ้มออกมาได้
มันเผาจดหมายของฟอร์สทิ้ง จากนั้นก็เก็บกระเป๋าและมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟไอน้ำประจำท่าเรือพริสต์
มันกำลังจะไปที่นันวีลล์ ไม่ใช่เพื่อซ่อนตัว แต่เพื่อเตรียมการ
มันคิดจะมอบสมบัติประจำตระกูลและสูตรโอสถให้กับคนของตระกูลอับราฮัมซึ่งอาศัยอยู่ที่นั่น จากนั้นกลับมายังท่าเรือพริสต์ ถัดมา โดเรียนจะนัดพบกับศิษย์ของตน ฟอร์ส และบุคคลทรงพลังที่ต้องการแสดงความปรารถนาดี
เมื่อถึงเวลานั้น มันจะดื่มยาล่วงหน้าเพื่อให้ตัวเองได้รับคำสาปที่ฝังลึกเข้าไปในดวงวิญญาณ ขณะเดียวกันก็จะดื่มยาชนิดอื่นเพื่อประคองชีวิตเอาไว้ ด้วยวิธีนี้ ต่อให้มันถูกควบคุมจนมิอาจฆ่าตัวตาย แต่ก็จะตายในภายหลังอยู่ดีเพราะไม่ได้ดื่มยาแก้ เมื่อดวงวิญญาณแหลกสลายไป ข้อมูลสำคัญก็จะไม่รั่วไหล
สำหรับ ‘การเดินทาง’ ครั้งนี้ โดเรียนเดิมพันด้วยชีวิต
เพียงเพื่อโอกาสรอดอันแสนน้อยนิด โดเรียนยอมสละชีวิตของตัวเอง
…
กรุงเบ็คลันด์ เขตเหนือ ชั้นใต้ดินของวิหารนักบุญแซมมวล
เลียวนาร์ดที่เพิ่งเสร็จการประชุมกับทูตพิพากษา จิตแห่งจักรกล และ MI9 กลับมายังห้องทำงานและนั่งลง
ทันใดนั้น เสียงค่อนข้างชราของพาลีส·โซโรอาสเตอร์ดังก้องในใจ
“ในที่สุดพวกเขาก็พบตำแหน่งของขุมทรัพย์ตระกูลเจคอปและเตรียมเข้าไปสำรวจ”
“หือ?” เลียวนาร์ดผงะเล็กน้อย ยากจะตอบสนองได้ทันท่วงที
ในการชุมนุมของผู้สันโดษแห่งชะตาคราวก่อน มันเพิ่งขายข้อมูลขุมทรัพย์ตระกูลเจคอปออกไป เนื่องจากไม่มีใครทราบว่าด้านในมีสิ่งใด ย่อมไม่มีใครอยากจ่ายแพงเพื่อซื้อข้อมูล เลียวนาร์ดจึงไม่ได้แลกเปลี่ยนกับเงินทอง แต่เป็นวิญญาณหายากบางชนิด
มันหรี่เสียงลงและถาม
“ตาแก่ คุณทราบได้ยังไง”
“หึหึ… แน่นอนอยู่แล้ว หนึ่งในร่างโคลนของข้ากำลังเฝ้าจับตามอง” พาลีส·โซโรอาสเตอร์ตอบเสียงขรึม “เจ้าไม่ประเมินเทวทูตเส้นทางนักจารกรรมต่ำไปหน่อยหรือ?”
เลียวนาร์ดขำแห้ง
“ตาแก่ พลังฟื้นฟูกลับมาหลายส่วนแล้วใช่ไหม? ถึงกับแบ่งตะกอนพลังไปให้ร่างโคลนได้”
“ตอนนี้คงอยู่ราวลำดับ 2” พาลีสพ่นลมหายใจ “หลังจากนี้อย่าเพิ่งออกไปไหน เจ้าต้องอยู่แต่ในวิหารเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน”
“คุณกลัวว่าจะมีกับดักในขุมทรัพย์?” เลียวนาร์ดถามครุ่นคิด
“ขุมทรัพย์ของเทวทูตเส้นทางนักจารกรรมจะไม่มีกับดักได้ยังอย่างไร?” พาลีสยังคงพ่นลมหายใจ “ขาเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่เพื่อความปลอดภัยที่มั่นคง การอยู่ในวิหารคือตัวเลือกที่ดีที่สุด”
เลียวนาร์ดพยักหน้าพร้อมกับหรี่เสียง
“ขอให้ทุกสิ่งผ่านไปอย่างราบรื่น… ตาแก่ คุณเคยสัญญาว่าถ้าได้ครอบครองตะกอนพลังลำดับ 2 คุณจะขโมยสมบัติปิดผนึกระดับ 1 สักชิ้นมาจากพวกเขาใช่ไหม?”
เลียวนาร์ดไม่ได้สนใจสิ่งของที่ขโมยมา แต่มันพูดเพื่อระงับความกระสับกระส่าย
“ไหนเจ้าเคยบอกว่าไม่ชอบการขโมย?” หลังจากจิกกัดเลียวนาร์ด พาลีสเงียบไปทันที คล้ายกับกำลังเพ่งสมาธิอยู่กับสถานการณ์ฝั่งขุมทรัพย์ตระกูลเจคอป
ราวหนึ่งชั่วโมงถัดมา มันถอนหายใจโล่งอกและเปล่งเสียงในหัวเลียวนาร์ด
“แม้จะเต็มไปด้วยกับดักและเหตุไม่คาดฝัน แต่พวกเขาก็ไปถึงเป้าหมายจนได้… หึหึ ข้าขโมยมาแค่ตะกอนพลังกับสมบัติปิดผนึก ที่เหลือถือว่าเป็นรางวัลของพวกเขา… อย่าเพิ่งรีบออกจากที่นี่ รอให้ข้าดูดซับตะกอนพลังเสร็จก่อน จะได้ไม่ต้องพะวงปัญหาที่อาจตามมา”
เลียวนาร์ดทำตัวผ่อนคลายด้วยการเอนหลังพิงพนัก ไขว่ห้างและอ่านหนังสือพิมพ์อย่างสบายใจ
ตกเย็น พาลีสกล่าวขึ้นอีกครั้ง
“เรียบร้อยแล้ว”
เสียงของมันเจืออารมณ์อันหลากหลาย และเนื่องจากอารมณ์เหล่านั้นซ้อนทับ เลียวนาร์ดจึงมิอาจระบุได้ชัดเจน
เมื่อพบว่าไม่มีปัญหา และคำนึงว่าตาแก่อาจต้องการใช้เวลาย่อยอีกสักพัก เลียวนาร์ดยืนขึ้นพลางลูบหน้าผาก เดินทางออกจากวิหารนักบุญแซมมวลมายังบ้านเลขที่เจ็ด ถนนพินสเตอร์
หลังจากเดินผ่านเฉลียง มันเห็นคนผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนโซฟา
อีกฝ่ายแต่งกายในชุดคลุมสีดำทรงโบราณและหมวกปลายแหลม ไขว่ห้างขวาทับซ้ายพลางอ่านหนังสือพิมพ์ด้วยความสบายใจ
คล้ายสัมผัสได้ว่าเลียวนาร์ดมาถึง มันเงยหน้าปรับแว่นตาขาเดียวข้างขวาและเผยรอยยิ้มยียวน
………………………