Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1215 : ยังไม่ถึงเวลา
“ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค”
ท้ายทอยไคลน์พลันเย็นวาบเมื่อได้ยินเสียงที่ดังมาจากส่วนลึกของม่านหมอก
ความรู้สึกดังกล่าวแผ่ซ่านไปทั่วร่างจนเส้นขนตามลำตัวลุกตั้งชัน
นี่คือหนที่สองที่มันได้ยินชื่อ ‘ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค’ บนโลกความจริง โดยครั้งแรกเป็นการได้ยินจากปากอามุนด์ในตอนที่อีกฝ่ายขโมยความคิดของตน แต่แน่นอนว่าอามุนด์ไม่ทราบความหมายหรือแก่นแท้ของ ‘คาถา’
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่คือครั้งแรกอย่างเป็นทางการ
ณ ชายแดนของทวีปตะวันตกในตำนาน ด้านนอกบ้านเกิดที่เลือนหายไปของตน ไคลน์ได้ยินคาถาซึ่งส่งให้ตัวเองเดินทางข้ามโลกมาถึงที่นี่ เป็นความลับในส่วนลึกสุดของจิตใจและยังเป็นชื่อที่พุ่งเป้าไปยังตัวตนอันยิ่งใหญ่
มันยืนแช่อยู่นานด้วยสมองขาวโพลน ฟังเสียงสะท้อนที่ยังคงก้องกังวานแบบเดิม
“ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค…”
“ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค…”
“ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค…”
ไคลน์เริ่มได้สติกลับมาเมื่อเสียงแผ่วลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเลือนหายไป
ในฐานะเทพกำมะลอที่กระทำสิ่ง ‘น่าละอายใจ’ มาไม่น้อย ท่าทีแรกของชายหนุ่มคือ:
ถ้าเปลี่ยน ‘ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค’ เป็น ‘ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ’ เราจะโดยเทวทัณฑ์เล่นงานไหม?
ย้อนกลับไปในตอนแรกที่ตั้งพระนามเต็มอันทรงเกียรติสามวรรคให้เดอะฟูล วรรคแรกเป็นการบรรยายสถานะและสิ่งที่ตนได้เผชิญ โดยตอนนั้นไคลน์ยังเชื่อว่าตนคือ ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ และกังวลว่าอาจเกิดปัญหา จึงดัดแปลง ‘เดอะฟูลจากต่างโลก’ เป็น ‘เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย’ แต่กลับกลายเป็นว่า คาถาพุ่งเป้ามาหาตนอย่างถูกต้องแม่นยำ โดยวรรคที่สองเป็นการผูกสายหมอกสีเทาเข้ากับตัวเองเพื่อสร้างความชัดเจน
และเพื่อให้มีคุณสมบัติครบถ้วนไปพร้อมกับหลีกเลี่ยงความกำกวม ไคลน์ทำการ ‘แปล’ ชื่อ ‘ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค’ ให้มาเป็นวรรคสุดท้ายโดยตรง
เดิมทีชายหนุ่มไม่คิดอะไรมาก แต่ในภายหลังเริ่มสงสัยว่าการเดินทางข้ามโลกอาจเป็นฝีมือของอดีตผู้ครอบครองประตูแห่งแสงภายในปราสาทต้นกำเนิดอย่าง ‘ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค’ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ตัวตนดังกล่าวดึงคนขึ้นมาโดยมีเจตนาแอบแฝงบางอย่าง แน่นอนว่า ‘ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค’ อาจเป็นแค่ ‘คาถา’ ที่พุ่งเป้าไปยังตัวตนลึกลับซึ่งรู้จักกันดีในชื่ออื่น ส่วนจะเป็นใครนั้นไคลน์ไม่ทราบ
นั่นเพราะไคลน์ไม่เคยได้ยินพระนามเต็มอันทรงเกียรติ ‘ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค’ จากที่ใดเลยบนโลกใบนี้ ดังนั้นถึงจะเกิดคำถามคาใจมากมาย แต่ไคลน์ก็ไม่มัวเสียเวลาขบคิด คล้ายกับยอมปล่อยวางมาตลอด
แต่ในวินาทีนี้ เสียงลึกลับที่เอาแต่ท่องว่า ‘ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค’ เปรียบดังปืนใหญ่ที่กระหน่ำใส่หัวใจและสมองของไคลน์อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ความกังวลและความกลัวที่ซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกพรั่งพรูออกมาอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากได้สติกลับมา ไคลน์บังคับตัวเองให้วิเคราะห์เกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน
เสียงดังกล่าวดังมาจากภายในม่านหมอกแห่งนี้… หรือดังมาจากทวีปตะวันตกที่สาบสูญ…
เราคิดมาสักพักแล้วว่าม่านหมอกที่นี่มีสีและลักษณะใกล้เคียงกับสายหมอกใต้ปราสาทต้นกำเนิด… พลังที่มาจากอดีต? หากต้องการจะ ‘เปิด’ มันออกจำเป็นต้องมีพลังที่ถูกต้องและใช้อย่างถูกเวลา?
ราชินีแห่งภัยธรรมชาติ โคฮีเน็มเล่าว่าทวีปตะวันตกจะปรากฏตัวอีกครั้งอย่างแน่นอนในวันสิ้นโลก… กล่าวอีกนัยหนึ่ง มีแต่ต้องปล่อยให้กระแสเวลาดำเนินไปถึงจุดดังกล่าวเท่านั้นสายหมอกจึงจะชีวิตขึ้นมา และนั่นคือเวลาที่ต้องใช้คาถาเพื่อเปิดออก?
บุคคลที่ทำให้ทวีปตะวันตกหายสาบสูญ หรือผนึกไว้ หรือตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค’ ผู้ต้องสงสัยว่าเคยเป็นเจ้าของปราสาทต้นกำเนิด?
พิจารณาจากตำนานและเรื่องเล่า ปราสาทต้นกำเนิดและสถานที่วิเศษแห่งอื่นคือสิ่งที่ถูกทิ้งไว้โดยพระผู้สร้างต้นกำเนิด อาจเกิดจากบางส่วนของร่างกายพระองค์หรือไม่ก็เป็นสิ่งที่พระองค์สร้างขึ้นเอง… ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชคเปรียบดังอดีตเจ้าของปราสาทต้นกำเนิด และนั่นอาจหมายถึงพระผู้สร้างต้นกำเนิดได้เช่นกัน… แต่ถ้าจำไม่ผิด ปราสาทต้นกำเนิดมีตัวตนครั้งแรกหลังจากกายาของพระผู้สร้างถูกแบ่งแยก… นอกจากนั้นคาถา ‘ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค’ ยังพุ่งเป้าไปหาเพียงปราสาทต้นกำเนิด ไม่ใช่ทะเลแห่งความโกลาหลหรือสถานที่ใด…
ไม่เพียงเท่านั้น ทวีปตะวันตกหายไปหลังจากยุคสมัยที่สองอย่างแน่นอน เพราะแม้แต่เทพบรรพกาลอย่างราชาเอลฟ์ ซอนญาธริมก็ยังมิไม่มีโอกาสได้ ‘กลับบ้านเกิด’ …
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในยุคสมัยที่หนึ่งอันแสนโกลาหลวุ่นวายหรือเก่าแก่กว่านั้น ช่วงเวลาหลังจากพระผู้สร้างแท้จริง – มหาต้นกำเนิดทำการแบ่งร่างกายตัวเองออกเป็นสถานที่อย่างปราสาทต้นกำเนิดและทะเลแห่งความโกลาหล ช่วงเวลาก่อนที่เหล่าเทพบรรพกาลจะถือกำเนิด ในยุคดังกล่าวมีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นมากมาย? เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ทวีปตะวันตกสูญหายไปพร้อมกับอดีตเจ้าของปราสาทต้นกำเนิด?
คำพยากรณ์ของเทพสุริยันบรรพกาล – พระผู้สร้างที่เมืองเงินพิสุทธิ์นับถือก็น่าสนใจไม่น้อยเช่นกัน พระองค์กล่าวว่าจะมีใครบางคนเดินออกจากม่านหมอกสีเทา ถึงกับต้องส่งคนมาคอยเฝ้าจับตามองตลอดเวลา… ถ้าว่ากันตามตรง เราคือคนที่มาจากทวีปตะวันตกด้านหลังม่านหมอก… แต่เราออกจากทวีปตะวันตกมาอยู่บนปราสาทต้นกำเนิดนานมากแล้ว เกิดขึ้นก่อนที่เทพสุริยันบรรพกาลจะมอบคำพยากรณ์เสียอีก… อา… ปีที่เราได้ออกจากปราสาทต้นกำเนิดและลงมายังโลเอ็นคือ 1349…
แล้ววันนี้เราก็วนกลับมาหาชาวเมืองจันทราจนได้… ว่ากันตามตรง คำพยากรณ์ของเทพสุริยันบรรพกาลยังคงแม่นยำ… แค่กระบวนการระหว่างทางค่อนข้างไม่ปรกติ เป็นความซับซ้อนที่เหนือการคาดหมาย…
ไคลน์อารมณ์ดีขึ้นหลังจากได้ไตร่ตรองสักพัก นั่นเพราะลางสังหรณ์แจ้งเตือนกับชายหนุ่มว่า ยังคงมีอารยธรรมอยู่ด้านหลังม่านหมอกสีเทา ผู้คนมากมายยังมีชีวิตอยู่ที่นั่น
ทำให้ทวีปตะวันตกหายไป… วิธีนี้ชวนเราให้นึกถึงพิธีกรรมเลื่อนลำดับเป็นผู้ชี้นำปาฏิหาริย์… ดูเหมือนว่าพลังในขอบเขตเวลาและห้วงมิติจะอยู่บนเส้นทางผู้ฝึกหัดและนักจารกรรมเป็นหลัก… หมายความว่าอดีตเจ้าของปราสาทต้นกำเนิด – ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชคคือตัวแทนของสามเส้นทางใกล้เคียง? ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะขยับไปข้างหน้าสองก้าว
จากนั้นก็หันมาพูดกับนีมและคนที่เหลือ
“ผมได้ยินเสียงของพวกเขาอย่างชัดเจน”
“…พวกเขาพูดว่าอะไร?” ดวงตาสีเทาของนีมเบิกกว้างทันที ใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยร่องลึกเผยความตื่นเต้น
อดาล ซิน รุส และคนที่เหลือล้วนมีอากัปกิริยาแบบเดียวกัน บางคนรุนแรงยิ่งกว่า
ร่างกายบางคนออกอาการสั่นระริกชัดเจน
นี่คือสิ่งที่ชาวเมืองจันทราอยากรู้มานานกว่าพันปี คำตอบของปริศนาดังกล่าวอาจเป็นกุญแจที่ช่วยให้พวกตนรอดพ้นจากทางตัน!
ไคลน์ถอนหายใจยาวก่อนจะกล่าวด้วยสำเนียงของนักต้มตุ๋น
“พวกเขากำลังสวดวิงวอนถึงพระองค์ของผม”
ประโยคดังกล่าวมิได้ปนเปื้อนคำโกหกแม้แต่น้อย เพราะเดอะฟูลเองก็ควบคุมปราสาทต้นกำเนิดได้ในระดับหนึ่งแล้ว แถมวรรคสุดท้ายของชื่อเดอะฟูลก็ยังเป็น ‘ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคภาพ’ ซึ่งแปลมาจาก ‘ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค’
นีมและคนที่เหลือปิดปากเงียบทันที สายตาที่จดจ้องมาทางไคลน์แฝงไว้ด้วยความเคารพยำเกรง
เมื่อผนวกเข้ากับ ‘ปาฏิหาริย์’ ที่ไคลน์แสดงให้เห็น พวกมันเริ่มมองเดอะฟูลเป็นเทพผู้มาโปรดตัวจริง
ไคลน์พูดพลางมองไปรอบตัว
“ทุกคนถอยออกไปอย่างน้อยหนึ่งร้อยเมตร”
“ขอรับ ท่านเจ้าคุณ” มหานักบวชนีมยอมทำตามโดยไม่ลังเล
หลังจากผู้วิเศษของชาวเมืองจันทราถอยหลังไปได้ระยะทางที่พอเหมาะ ไคลน์ใช้มือขวาดึงตัวเองออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์พร้อมกับสลายร่างต้นให้หายไป
ทันทีหลังจากนั้น ภาพฉายของไคลน์เดินตรงไปยังม่านหมอกสีเทาหนาทึบ ตามด้วยการเหยียดแขนขวาทาบลงไป
คล้ายกับมีบาเรียล่องหนที่มอบความเย็นแผ่วเบากีดขวางอยู่
จ้องมองอยู่ประมาณสามวินาที ไคลน์เปิดปากเปล่งเสียงเป็นภาษาจีน
“ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค”
ท่ามกลางเสียงดังกังวาน ม่านหมอกสีเทายังคงไม่ตอบสนอง มันเอาแต่แน่นิ่งราวกับถูกแช่แข็ง
ชายหนุ่มยืนรอเกือบหนึ่งนาที จากนั้นก็สูดลมหายใจยาวและกล่าวหลังจากไตร่ตรอง
“เซียนราชันฟ้าดินประทานโชค”
“เทพสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค”
“จักรพรรดิสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค”
“ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค”
นี่คือคาถาเต็มของพิธีกรรมเสริมดวงชะตา
ทันทีที่ประโยคสุดท้ายจบลง มือขวาไคลน์ซึ่งสัมผัสอยู่กับบาเรียล่องหนพลันตระหนักถึงแรงสั่นสะเทือน
ม่านหมอกสีเทาเกิดความปั่นป่วนทันทีประหนึ่งโยนหินใหญ่ลงในทะเลสาบ
ระลอกคลื่นแผ่ออกไปทุกทิศ จนกระทั่งซ้อนทับกันและก่อตัวเป็น ‘ประตู’ เบื้องหน้าไคลน์
สายฟ้าเส้นหนึ่งผ่าลงมาจากท้องฟ้าและมอบแสงสว่างเป็นวงกว้าง ส่งผลให้รูม่านตาชาวเมืองจันทราที่อยู่ไม่ห่างออกไปพลันเบิกโพลงสุดขีด ไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเป็นเวลานาน
จากบรรดาพวกมัน กลุ่มที่เพิ่งมาถึงและไม่ได้เห็นเหตุการณ์ก่อนหน้าต่างพากันใจเต้นระรัว ยามจะมีใครยับยั้งอารมณ์เอาไว้ได้
ไม่สายตาชาวเมืองจันทรา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งนี้เปรียบดังปาฏิหาริย์!
ไคลน์กลั้นหายใจพลางรอให้บานประตูก่อตัวเป็นรูปร่างชัดเจน แต่น่าเสียดายที่คลื่นกระเพื่อมบนม่านหมอกเลือนหายไปเสียก่อน เรียกได้ว่าอยู่ห่างจากความสำเร็จเพียงก้าวเดียว
“…” ไคลน์ตัดสินใจท่องคาถาอีกครั้งหลังจากเงียบไป อย่างไรก็ตาม แม้ม่านหมอกจะเริ่มกระเพื่อมระลอกใหม่ แต่บานประตูก็ยังมิอาจร่างภาพตัวเองให้เสร็จ
ชายหนุ่มนึกอยากจะลองประกอบพิธีกรรมเต็มรูปแบบทันที กล่าวคือ มันจะวางอาหารไว้ตรงมุมสี่จุดพร้อมกับเดินถอยหลังสี่ก้าว แต่เพียงไม่นานก็รู้สึกขบขันความคิดของตัวเอง
ถ้าทำแบบนั้นจริง ไคลน์จะได้เข้าไปในปราสาทต้นกำเนิดแทนการผ่านบานประตูในม่านหมอก
หลังจากถอนหายใจยาว ไคลน์หยิบเหรียญทองออกจากความว่างเปล่าและดีดทำนาย เพียงไม่นานก็ยืนยันได้ว่าผลลัพธ์จากการประกอบพิธีกรรมเต็มรูปแบบคือการเข้าไปในปราสาทต้นกำเนิด
ยังไม่ถึงเวลาเพราะตอนนี้ไม่ใช่วันสิ้นโลก? ไคลน์จ้องหมอกสีเทาเบื้องหน้านานหลายวินาทีโดยไม่กระทำสิ่งใดเลย
เมื่อฟ้าผ่าลงมาและมอบแสงสว่างอีกครั้ง ชายหนุ่มหันหลังกลับและเดินถือตะเกียงไปหานีม มหานักบวชแห่งเมืองจันทรา
“ตรงตามที่วิวรณ์แจ้งไว้ ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสมในการเปิดมัน… ยังเหลืออีกสิบกว่าปี”
โดยไม่รอคำตอบจากนีม อดาล ซิน รุส และคนที่เหลือ ไคลน์ใช้มือขวาชี้เข้าไปในความมืดบริเวณใกล้เคียง
“ผมจะอยู่ที่นี่ไปอีกสักระยะ หากพวกคุณต้องการรับพระกรุณาและฟังคำเทศนาของพระองค์ สามารถมาที่นี่ได้ทุกเมื่อในยามสายฟ้าถี่… นอกจากนั้น ผมจะทำการชำระล้างหมู่วันละหนึ่งครั้งในยามที่สายฟ้ามีความถี่สูงสุด”
ชายหนุ่มไม่คิดจะเปลี่ยนชาวเมืองจันทราให้เป็นสาวกในทันที และไม่คิดจะตามพวกมันกลับไปที่เมืองหรือซักถามข้อมูลสำคัญเพิ่มเติม ไคลน์ยึดหลักการที่ว่า เวลาคือสิ่งสำคัญในการเปลี่ยนใจคน
มหานักบวชแห่งเมืองจันทรา นีม ถอนหายใจด้วยสีหน้าโล่งอกก่อนจะตอบกลับด้วยท่าทีนอบน้อมยิ่งกว่าเก่า
“ผมจะถ่ายทอดคำพูดของท่านให้ทุกคนได้ทราบ”
……………………