Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1218 : เบาะแส
“คุณก็ลองด้วยสิ” ไคลน์ยื่นเหล็กเสียบสีดำไปทางชาวเมืองจันทราคนอื่น
พวกมันกลืนน้ำลายคำโตจนลูกกระเดือกขยับ แต่ก็ไม่มีใครตอบสนองในทันที ทุกคนต่างหันไปมองทางมหานักบวชและรอให้อีกฝ่ายพยักหน้า
นีมหยิบบางสิ่งออกจากชุดหนังสัตว์ที่ตนกำลังสวม ลักษณะคล้ายกับแว่นขยายที่มีด้ามจับ
ไคลน์มองแวบแรกเข้าใจว่าเป็นแว่นตาขาเดียว ภาพดังกล่าวทำให้หัวใจชายหนุ่มเกือบหยุดเต้น โชคดีที่นีมควบคุมตัวเองได้จนกระทั่งมองเห็นรายละเอียดชัดเจน
นีมถือด้ามจับโลหะเลื่อนเลนส์ขึ้นมาส่องไปหารุสและจับตามองอยู่หลายวินาที
เงียบงันอยู่สักพัก ในที่สุดนีมก็หันไปพยักหน้าให้ชาวเมืองจันทราคนอื่น
ทุกคนนอกจากรุสรีบกรูเข้าไปรุมล้อมเหล็กเสียบสีดำและบรรจงดึงเห็ดออกมากัด
รสชาติและกลิ่นหอมอันปราศจากสิ่งชั่วร้ายทำให้ทุกคนหลงมัวเมาในทันที โดยไม่สนใจว่าอาหารจะลวกช่องปากหรือไม่ พวกมันรีบกินรีบกลืนลงท้องก่อนจะยื่นมือออกไปหยิบอีกชิ้นตามสัญชาตญาณ
แต่น่าเสียดายที่เห็ดทุกดอกบนเหล็กเสียบสีดำถูกจับจองไปหมดแล้ว
นีมถอนสายตาออกจากเหล็กเสียบสีดำและมองไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์เพื่อรอฟังคำสอนถัดไปของเดอะฟูล
ไคลน์มองไปรอบตัวก่อนจะพูดคำเดิมอีกครั้ง
“ยกเว้นเห็ดสีดำ พวกคุณสามารถเลือกหยิบเห็ดบนศพสัตว์ประหลาดได้ตามใจชอบ แต่อย่าลืมว่าต้องทำให้สุกจนทั่วเสียก่อน ไม่อย่างนั้นจะได้รับคำสาปที่รุนแรง”
ชาวเมืองจันทราไม่ลังเลอีกต่อไป พวกมันรีบลุกขึ้นไปเลือกเห็ดที่ตนปรารถนา
ไคลน์ชำเลืองพลางเสริม
“เห็ดสีขาวจะปริแตกได้ง่ายเมื่อปรุงจนสุก พวกคุณต้องเตรียมภาชนะสำหรับรองรับของเหลว หรือไม่ก็รีบดื่มให้ทัน”
และโดยไม่รอให้คณะเดินทางตอบสนอง ชายหนุ่มกลับไปเล่าเรื่องที่พูดค้างไว้ในตอนแรก เล่ายาวมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงตอนที่ได้ยินม่านหมอกสีเทาเปล่งเสียงเอ่ยนามเดอะฟูล
เมื่อตระหนักว่ามหานักบวชนีมซึมซับเรื่องราวของตนอย่างอิ่มเอม ไคลน์ไตร่ตรองสักพักและพูด
“ยังมีอีกหลายวิธีที่ทำให้ม่านหมอกตอบสนองได้ แต่ทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับพระองค์ของผม”
เป็นสมมติฐานที่สมเหตุสมผล เพราะต้องไม่ลืมว่าบนบานประตูแห่งแสงมีคนถูกแขวนไว้มากกว่าหนึ่ง นั่นหมายถึงวิธีการเข้าสู่ปราสาทต้นกำเนิดย่อมไม่ได้มีแค่หนึ่งเช่นกัน หากจักรพรรดิโรซายล์นำถาดเงินที่สร้างเลียนแบบของโลกเก่ามายังที่นี่ ม่านหมอกสีเทาก็คงมีการตอบสนองเช่นกัน แต่แน่นอนว่าเงื่อนไขสำคัญก็คือ จักรพรรดิต้องอยู่บนสามเส้นทางที่เกี่ยวข้องอย่างนักทำนาย นักจารกรรม และผู้ฝึกหัด
ไคลน์กล่าวต่อไปอย่างอบอุ่นเมื่อเห็นว่าไม่มีใครตั้งคำถาม
“จากที่ผมเห็น… เมืองจันทรามิผู้วิเศษหลากหลายเส้นทาง?”
นีมเจ้าของผมสีเทาหงอกตอบอย่างซื่อตรงโดยไม่ปิดบัง
“ใช่แล้ว ในตอนที่พวกเราถูกเลือกให้มายังเมืองจันทรา ผู้ส่งสารของพระองค์กำชับว่าต้องประกอบด้วยผู้วิเศษจากหลากหลายเส้นทางอย่างครอบคลุม แต่น่าเสียดายที่สูตรโอสถและวัตถุดิบส่วนมากสูญหายไปหลังจากเผชิญหายนะหลายครั้ง”
“คุณมาจากเส้นทางใด” ไคลน์ถามอย่างเป็นกันเองขณะจ้องชาวเมืองจันทราผู้กำลังใช้กระดูกสัตว์ประหลาดย่างเห็ด
“ผมคือผู้พิทักษ์ราตรี” นีมตอบตามความจริง
ลำดับสี่ของเส้นทางรัตติกาล? ไคลน์พยักหน้าพร้อมกับถาม
“เคยมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นใกล้กับม่านหมอกสีเทาบ้างไหม?”
นีมเจ้าของใบหน้าร่องลึกตอบหลังจากครุ่นคิดราวสิบวินาที
“…มี”
ไคลน์รีบถามต่อไปด้วยหัวใจที่เต้นแรง
“ความผิดปรกติแบบไหน?”
นีมชำเลืองเห็ดที่กำลังส่งกลิ่นหอมพลางเรียบเรียงความคิด
“เนินเขาเล็กๆ อันตรธานหายไปอย่างเป็นปริศนา เหลือไว้เพียงหลุมลึก… บริเวณดังกล่าวไม่มีร่องรอยของการระเบิด ดินยังอยู่ในสภาพปรกติโดยไม่กระจัดกระจาย”
เกิดอะไรขึ้นกันแน่… ค่อนข้างประหลาดทีเดียว… ไคลน์ถามต่อไปหลังจากโยนรากเห็ดเข้าไปในกองไฟเพื่อทำเป็นเชื้อเพลิง
“ได้สืบสวนเพิ่มเติมไหม”
“ทำครับ” มหานักบวชนีมแห่งเมืองจันทราผงกศีรษะ “หน่วยสืบสวนพบหมาป่าอสูรที่นั่น… ไม่ใช่หมาป่าอสูรที่เน่าเปื่อยหรือกลายพันธุ์ แต่เป็นหมาป่าดั้งเดิมที่น่าจะมีชีวิตอยู่มานานแล้ว”
หมาป่าอสูร? ไคลน์คาดไม่ถึงว่าจะได้ยินข้อมูลดังกล่าวในที่แบบนี้ มันรีบถามด้วยดวงตาขยายออกเล็กน้อย
“หมาป่าอสูรมีลักษณะแบบใด”
นีมสูดลมหายใจยาวโดยไม่รู้ตัว
“ลักษณะเหมือนกับหมาป่าอสูรที่บันทึกไว้ในเอกสารโบราณ แต่มีขนาดใหญ่กว่ามาก แม้ว่าขาทั้งแปดจะสัมผัสกับพื้นครบถ้วน แต่ส่วนสูงของมันก็ยังเท่ากับมนุษย์สองสามคนรวมกัน… ขนของมันมิได้ดำสนิท แต่ก็มอบบรรยากาศความมืดอันลุ่มลึก ดวงตาของมันประหลาดมาก รูม่านตามีขนาดใหญ่ที่สุดในดวงตา และเหนือศีรษะมีขนสั้นสีเทาแซมอยู่บางส่วน…”
นี่มัน… หมาป่าอสูรทมิฬโคทาร์ไม่ใช่หรือ? เดินทางมาถึงสุดขอบตะวันออกของดินแดนเทพทอดทิ้งเชียว… แถมยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ประหลาด? อา… หากการหายไปของทวีปตะวันตกเป็นฝีมือของปราสาทต้นกำเนิดจริง ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าม่านหมอกสีเทาที่นี่จะดึงดูดตัวตนระดับผู้ชี้นำปาฏิหาริย์… ไคลน์ขมวดคิ้วก่อนจะกล่าว
“มันไม่โจมตีหน่วยสืบสวน?”
ไคลน์จงใจเรียกอีกฝ่ายว่า ‘มัน’ มากกว่า ‘ท่าน’ เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างความกลัว
ตามความเห็นของเรา ไม่ใช่เรื่องยากที่หมาป่าอสูรทมิฬจะกวาดล้างหน่วยสืบสวนได้ในพริบตา แถมยังไม่ต้องออกแรงมากก็สามารถทำให้เมืองจันทราทั้งหมดกลายเป็นเมืองแห่งหุ่นเชิด… แต่กลับกลายเป็นว่า สิ่งมีชีวิตทรงพลังเช่นนั้นเลือกที่จะปล่อยผ่านเมืองจันทรา…
หากไม่ใช่เพราะไคลน์ได้เห็นด้ายวิญญาณของทุกคนอย่างครบถ้วน มันคงสงสัยว่าตอนนี้ตนอาจกำลังคุยกับหุ่นเชิดอยู่
“ไม่ครับ มันรีบหนีไปทันที” นีมตอบตามความจริง
ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติขี้สงสัยและรอบคอบของหมาป่าอสูร… มีบางสิ่งทำให้มันหวาดกลัวอย่างมากจนต้องรีบหนีไป? รีบร้อนถึงขนาดไม่มีเวลาปิดปากพยานที่พบเห็นตน? หรือว่าชาวเมืองจันทราที่คอยเฝ้าจับตามองม่านหมอกสีเทาตามวิวรณ์ของเทพสุริยันบรรพกาลจะมีบางสิ่งพิเศษ หากไม่จำเป็นจริงๆ หมาป่าอสูรทมิฬก็จะไม่ทำร้าย? ไคลน์ถามต่อไปโดยไม่เปลี่ยนน้ำเสียง
“ทิ้งร่องรอยใดไว้ไหม?”
“ไม่ครับ” นีมส่ายหน้าหนักแน่น “นอกจากเนินเขากลายเป็นหลุมลึก พวกเราก็ไม่พบความผิดปรกติใดอีกเลย”
ไคลน์พยายามมองในมุมใหม่ด้วยสมองที่กำลังประมวลผล
“เกิดขึ้นเมื่อไร?”
ยิ่งเข้าใจเหตุการณ์และวัตถุในอดีตมากเพียงใด มันก็ยิ่งเข้าใกล้สิ่งนั้นในสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์
นีมตอบหลังจากไตร่ตรอง
“สองปี… สองเดือน… และสิบวันก่อน…”
มันรีบอธิบาย
“มีเหตุการณ์ไม่มากที่ควรค่าแก่การใส่ใจ ผมถึงจำได้แม่น”
สองปี สองเดือน และสิบวันก่อน… ปัจจุบันคือวันที่ 8 กันยายนปี 1351 ถ้านับเวลาแบบย้อนกลับก็จะได้ 28 มิถุนายน 1349… นี่มัน… มือขวาไคลน์สั่นระริกอย่างมิอาจหักห้ามทันที
รูม่านตาและสีหน้าของมันยังคงเป็นปรกติ แต่นั่นมาจากผลของพลังตัวตลก
ชายหนุ่มไม่มีทางลืมว่าวันที่ 28 มิถุนายน 1349 คือวันที่ตน ‘เดินทางข้ามโลก’ วันที่ตนกลายเป็นไคลน์·โมเร็ตติและทดลองพิธีกรรมเสริมดวงชะตาจนส่งตัวเองเข้าไปในปราสาทต้นกำเนิด!
ความผิดปรกติที่นี่ รวมถึงการปรากฏตัวของหมาป่าอสูรทมิฬและการรีบหนีไปของมัน ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับเรา? กระแสอารมณ์ลูกใหญ่กำลังท่วมท้นอยู่ภายในจิตใจไคลน์
ไคลน์มิอาจหาคำตอบได้ในทันที จึงแสร้งทำหน้านิ่งพลางถามเสียงเย็น
“ตลอดสองพันปีที่ผ่านมา เคยมีเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นหรือไม่”
“ไม่ครับ” นีมตอบอย่างมั่นใจ
“แล้วเมื่อสองพันกับอีกแปดปีก่อนล่ะ? มีอะไรพิเศษเกิดขึ้นไหม?” ไคลน์ถาม
นั่นคือช่วงเวลาที่จักรพรรดิโรซายล์เดินทางข้ามโลก
นีมลังเลสักพักก่อนจะตอบ
“ตอนนี้ผมยังตอบไม่ได้ จำเป็นต้องกลับไปอ่านบันทึกที่เกี่ยวข้อง… โชคดีที่เอกสารทางประวัติศาสตร์ถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี”
จากนั้นมันเสริม
“แต่ความทรงจำอันเลือนรางของผมแจ้งว่าคงไม่น่าจะมีสิ่งใดพิเศษ”
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง… หมายความว่าเหตุการณ์ผิดปรกติที่นี่เกิดขึ้นเพราะเราผูกมัดปราสาทต้นกำเนิดไว้เป็นของตัวเอง? ไคลน์พยักหน้าโดยไม่ถามซักไซ้ เพียงกล่าวในสิ่งอื่น
“บอกผมมาว่าหลุมลึกนั่นอยู่ที่ไหน”
ขณะมหานักบวชนีมมอบคำตอบ เห็ดชุดใหม่ที่ชาวเมืองจันทราย่างถึงเวลาสุกพอดี บางคนลงฟันกัดเห็ดสีขาวที่ด้านในมีนมจนถูกของเหลวลวกปาก แต่ก็ไม่กล้าพ่นออกมา บ้างเคี้ยวซ้ำไปซ้ำมาประหนึ่งกำลังดื่มด่ำกับกลิ่นอันหอมหวน และบางคนก็หยุดกินไม่ได้เลย
นีมผงะกับภาพที่เห็น มันไม่อยากเชื่อว่าผู้คนเหล่านี้คือชาวเมืองจันทรา
ทุกคนแสดงอารมณ์ซับซ้อนขณะกินอาหารด้วยความตะกละตะกลาม เป็นความสุขอันเปี่ยมล้นถึงแม้สีหน้าจะบิดเบี้ยวไปบ้าง
“ท่านมหานักบวช ลองกินดูบ้างสิ” รุสผู้มีดวงตาชิดกันยื่นเห็ดลายจุดสีทองที่ส่งกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ให้นีม
นีมลังเลสักพักก่อนจะนำ ‘แว่นขยาย’ ออกมาส่องเห็ดจนมั่นใจ จากนั้นค่อยยัดใส่ปาก
วินาทีถัดมา สีหน้าของมันแปรเปลี่ยนเล็กน้อยพร้อมกับหลับตาลง
มันเคยลิ้มรสชาติที่คล้ายกันจากรากไม้กลายพันธุ์ แต่ก็ไม่มีรสชาติที่บริสุทธิ์และน่าจดจำเช่นนี้
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ นีมจ้องเกอร์มัน·สแปร์โรว์เจ้าของใบหน้าเฉยชาก่อนจะกล่าวด้วยความรู้สึกจากก้นบึ้ง
“ท่านเจ้าคุณ… พวกเราอยากฟังคำเทศนาของเดอะฟูล”
ทางนี้ก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกัน… แต่ในเมื่อเราใกล้จะเป็นเทวทูตเต็มที ของแบบนี้ต้องเตรียมตัวให้พร้อม… จำเป็นต้องมีสาวกจำนวนหนึ่งเป็นหลักยึดเหนี่ยวไว้ล่วงหน้า… ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์นึกทบทวนสิ่งที่ตนจะใช้หลอก ไม่สิ ใช้เผยแผ่ศาสนาโดยดัดแปลงมาจากสาวกเทพสมุทรคาเวทูว่า
ชายหนุ่มเหยียดแขนออกไปคว้าบางสิ่งจากความว่างเปล่าด้วยใบหน้าสำรวม จากนั้นก็ดึงไม้กางเขนทองแดงที่พันด้วยหนามแหลมออกมา
ไคลน์กดนิ้วโป้งลงบนหนามและปล่อยให้เลือดไหลซึมเข้าสู่ไม้กางเขนเจิดจรัส
คราบสีเขียวขี้ม้าบนผิวไม้กางเขนลอกออกอย่างรวดเร็วพร้อมกับแผ่แสงสว่างเจิดจ้า
“พระองค์ตรัสว่า…” ไคลน์อ้าปากเปล่งเสียงต่ำพลางยกแขนที่ถือไม้กางเขนขึ้นสูง
แสงสว่างอันอบอุ่นและเจิดจ้าแผ่ปกคลุมทุกซอกมุมในบริเวณใกล้เคียงทันที
ความเศร้าและความอึดอัดภายในร่างกายนีม รุส และคนที่เหลือพลันถูกขจัดอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งร่างกายถูกชำระล้างอย่างหมดจด
ท่ามกลางความมึนงง ทุกคนได้ยินเสียงก้องกังวานจากผู้เผยแผ่พระวจนะแห่งเทพซึ่งปกคลุมไปด้วยแสงสว่างเรืองรองในท่าถือไม้กางเขน
“พระองค์ตรัสว่า…”
“บัญญัติข้อแรก: ห้ามสังเวยสิ่งมีชีวิตและมนุษย์แด่เรา”
“บัญญัติข้อที่สอง: ห้ามทำให้นามของเราเสื่อมเกียรติ”
……………………