Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1224 : สมมติฐานเกี่ยวกับวันสิ้นโลก
อาณาจักรโลเอ็น กรุงเบ็คลันด์
ฟอร์สตื่นจากความฝันกะทันหันขณะกำลังหลับสนิท สายตาจดจ้องไปทางหน้าต่างตามสัญชาตญาณ
ใช่ว่าเธอไม่เคยมีประสบการณ์ในทำนองนี้ ย้อนกลับไปสมัยยังมิได้เข้าร่วมชุมนุมทาโรต์ ฟอร์สต้องตื่นขึ้นมากลางดึกบ่อยครั้งเพราะคำสาปพระจันทร์เต็มดวง แม้ในคราวนี้จะไม่ได้เจ็บปวดทรมานเหมือนเคย แต่หัวใจกลับเต้นแรงอย่างไร้เหตุผล
เนื่องจากผ้าม่านปิดอยู่จนทำให้แสงสว่างลอดผ่านได้ยาก ฟอร์สมิอาจระบุเวลาได้แม่นยำ หญิงสาวตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปทางหน้าต่างเพื่อเปิดผ้าม่าน
แสงแดดส่องทะลุหมอกจางเข้ามาในห้องพร้อมกับสลายความมืดมิด ฟอร์สที่ยืนริมหน้าต่างแหงนหน้ามองฟ้าด้วยความสับสนสุดขีด
แม้พระอาทิตย์จะขึ้นแล้วและพระจันทร์ได้เลือนหายไปพักใหญ่ แต่ทำไมเรากลับสัมผัสถึงกลิ่นอายคำสาปในคืนจันทร์เต็มดวง?
นอกจากนั้นยังเหลืออีกหลายวันกว่าจะถึงกำหนดพระจันทร์เต็มดวง!
…
สาธารณรัฐอินทิส กรุงทรีอาร์
เหล่านักดาราศาสตร์ที่ตื่นเช้า ผู้คลั่งไคล้ศาสตร์เร้นลับ รวมถึงผู้วิเศษที่แฝงตัวท่ามกลางคนธรรมดาต่างพากันแหงนมองฟ้า
เมฆยามค่ำคืนเลือนหาย พระจันทร์ยักษ์กำลังส่องแสงสุกสว่างจนบดบังแสงดาวรอบข้างทั้งหมด
สีของพระจันทร์มิได้แดงเลือดเหมือนในอดีต แต่เป็นสีขาวสุกใส
ผู้พบเห็นต่างพากันตกตะลึง เพราะนี่คือดวงจันทร์ที่พวกมันไม่เคยเห็นมาก่อน
ไม่ว่าจะตำราวิชาการของมนุษย์หรือตำนานศาสตร์เร้นลับ ก็ไม่เคยมีการบรรยายฉากพระจันทร์แบบนี้แม้แต่ครั้งเดียว!
ดวงจันทร์ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงนอกเหนือไปจากพระจันทร์เสี้ยว พระจันทร์เต็มดวง และจันทราโลหิต ไม่เคยเกิดขึ้นแม้แต่ครั้งเดียวตลอดหนึ่งพันสามร้อยปีที่ผ่านมาของยุคสมัยที่ห้า!
ในวินาทีนี้ ทุกคนได้ทราบแล้วว่านอกจากพระจันทร์สีแดงเข้มกับสีเลือด พระจันทร์ยังเป็นสีขาวได้ด้วย
…
ดินแดนเทพทอดทิ้ง เมืองเงินพิสุทธิ์
เดอร์ริคและทุกคนตระหนักถึงความผิดปรกติบนท้องฟ้ายามบ่ายซึ่งควรมีสายฟ้าค่อนข้างถี่
พวกมันคุ้นเคยกับสายฟ้าและความมืด แต่ยามนี้ทั้งสองสิ่งกลับเลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย ถูกแทนที่ด้วยก้อนแสงทรงกลมสีเลือดที่มีขนาดใหญ่จนปกคลุมกว่าครึ่งของท้องฟ้า ช่วยมอบความสว่างให้กับทุกซอกมุมของบริเวณโดยรอบ
ชาวเมืองบางคนที่หัวไวและมีความรู้พลันนึกถึงภาพพระจันทร์และคำอธิบายในตำราเรียน หลายคนแสดงความเห็นตรงกัน
“นี่คือพระจันทร์?”
“พระจันทร์แดง?”
“พวกเราได้เห็นพระจันทร์แดงด้วยตาตัวเอง…”
แต่เพียงไม่นาน พระจันทร์แดงตรงหน้าเริ่มซีดลงจนกลายเป็นพระจันทร์สว่างสุกใส
ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ตกอยู่ในภวังค์ความฉงนโดยสมบูรณ์ ตอบสนองไม่ถูกไปสักพักใหญ่
เดอร์ริคเบเกอร์ที่เคยฟังเรื่องราวโลกภายนอกจากแฮงแมน จัสติส และชาวชุมนุมทาโรต์ยิ่งทวีความตกตะลึงกว่าใคร เพราะแม้แต่โลกด้านนอกดินแดนเทพทอดทิ้งก็ยังไม่เคยปรากฏพระจันทร์สีนี้มาก่อน
ความมืดมิดกลับมาปกคลุมทุกสิ่งในอีกไม่กี่วินาทีถัดมา แสงจากสายฟ้ากลับมาเป็นแหล่งกำเนิดความสว่างตามเดิม
“เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น?”
“เห็นวงกลมสีแดงนั่นไหม?”
“พระจันทร์ นั่นคือพระจันทร์!”
“พระจันทร์แดง!”
“เป็นสัญญาณว่าพวกเรากำลังจะหลุดพ้นจากความยากลำบาก?”
“การสำรวจวังราชาคนยักษ์ครั้งที่สองจะประสบความสำเร็จอย่างราบรื่นจนสามารถเปิดประตูออกสู่โลกภายนอก?”
ท่ามกลางความสับสน ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ส่วนใหญ่ตีความว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวคือลางดีในเชิงศาสตร์เร้นลับ มีเพียงโคลินอีเลียดและบรรดาอาวุโสเท่านั้นที่เผยสีหน้าเคร่งเครียดพลางขมวดคิ้ว
…
เหนือสายหมอกสีเทา ภายในวังโบราณ
ไคลน์กำลังวิเคราะห์ ‘ความลับ’ หลังเอาตัวรอดจากกลอุบายของอามุนด์มาได้ฉิวเฉียด
อันที่จริงมีหลายเรื่องที่มันพอจะทราบอยู่แล้ว แต่พอได้ยินคำยืนยันก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงปนสิ้นหวัง
เมื่อพิจารณาว่าอวกาศเล่นงานเรารุนแรงเช่นนี้ หมายความว่าความลับเกือบทั้งหมดที่อามุนด์เล่าเป็นของจริง…
ยังมีลำดับเหนือลำดับศูนย์…คงเป็นระดับที่เทพสุริยันบรรพกาลเอื้อมถึง…แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สมบูรณ์สักเท่าไร เพราะยังสามารถพลาดท่าถูกหักหลังจนร่วงหล่นและถูกแบ่งศพ…
…เป็นไปตามที่อามุนด์บอก การนิยามลำดับดังกล่าวว่า ‘พระผู้สร้าง’ ยังไม่ถูกต้องเสียทีเดียว…อามุนด์ตั้งชื่อมันว่า ‘เหนือลำดับ’…แต่ก็ยังมีบางตัวตนที่เรียกระดับดังกล่าวว่า ‘ก้าวข้ามลำดับ’…กำลังจะสื่อว่าเป็นลำดับที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของเส้นทางผู้วิเศษ?
ทวยเทพมักเรียกลำดับดังกล่าวว่า ‘วันวาน’ ‘เทพภายนอก’ และ ‘อวกาศ’…อวกาศอาจเป็นการเรียกแบบรวม โดยภายในอวกาศที่เต็มไปด้วยดวงดาวด้านนอกโลก มีตัวตนระดับทัดเทียมพระผู้สร้างที่ถูกเรียกว่า ‘วันวาน’ และ ‘เทพภายนอก’ อาศัยอยู่ หนึ่งในนั้นอาจเป็นผู้ควบคุมดวงจันทร์…
…พิจารณาจากเท่าที่เห็น ดาวสีน้ำตาล ดาวสีส้ม และดาวอื่นๆ คงเคยเป็นดาวเคราะห์ที่เรารู้จักมาก่อน แต่พวกมันเปลี่ยนตำแหน่งจนจักรพรรดิโรซายล์จำไม่ได้…หรือว่าภายในนั้นจะมีตัวตนระดับ ‘วันวาน’ และ ‘เทพภายนอก’ อาศัยอยู่และคอยเฝ้ามองโลกของเรา?
…กล่องวันวานเกิดจากการกลายพันธุ์ที่ถูกอวกาศกัดกร่อน…
…มีความเป็นไปได้สูงที่ตัวตนระดับวันวานและเทพภายนอกจะมีมากกว่าหนึ่ง…แล้วทำไมพวกท่านถึงต้องรายล้อมโลกของเรา? กำลังจับตามองสิ่งใดกันแน่?
…พวกท่านไม่กล้าบุกเข้ามาเพราะมีพลังจากภายในคอยขับไล่?
…หมายถึงเจ็ดเทพจารีต?
…ถ้าอย่างนั้น จากคำทำนายวันสิ้นโลกในปีหนึ่งพันสามร้อยหกสิบแปด เหล่าเจ็ดเทพจารีตจะสิ้นฤทธิ์ในช่วงเวลาดังกล่าว? นั่นสินะ พวกท่านยังก้าวข้ามลำดับไม่ได้…ถ้าแนวป้องกันที่คอยคุ้มครองโลกหายไปในปีหนึ่งพันสามร้อยหกสิบแปด จนทำให้เหล่า ‘วันวาน’ และ ‘เทพภายนอก’ ปราศจากอุปสรรค นั่นหมายถึงจุดจบของโลกใบนี้?
คำถามมากมายที่ไคลน์เคยสงสัยในอดีตพลันปะทุขึ้นเมื่อคิดถึงตรงนี้
เหตุใดเทพธิดารัตติกาลถึงต้องเสี่ยงกระตุ้นให้เกิดศึกระหว่างทวยเทพเพื่อช่วงชิงเอกลักษณ์ของเส้นทางมรณา?
เหตุใดเหล่าเจ็ดเทพจารีตถึง ‘อนุญาตโดยนัย’ ให้มีจักรพรรดิมืดถือกำเนิด?
เหตุใดตัวละครลับหลังฉากอย่างอาดัม อามุนด์ และราชาเทวทูตตนอื่นถึงเริ่มเคลื่อนไหวในยุคปัจจุบันทั้งที่เก็บตัวเงียบมานาน?
เหตุใดมรดกจากเทพบรรพกาลในยุคสมัยที่สองถึงทยอยโผล่ออกมาทีละชิ้น?
เหตุใด ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ ถึงถูกปล่อยตัวจากปราสาทต้นกำเนิดเพียงคนเดียวในสี่ยุคสมัยแรก และมากถึงสองคนในยุคสมัยที่ห้า? แล้วทำไมถึงต้องเว้นระยะห่างนานนับพันปี?
ฟู่ว…ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว ทุกคนล้วนพัฒนาตัวเองเพื่อรับมือกับจุดจบที่กำลังจะมาถึง…เทพธิดาที่ถนัดการวางแผนอย่างแยบยลและอดทนกลับยอมเสี่ยงเพราะพระองค์ต้องการก้าวไปเป็น ‘วันวาน’ ? นั่นสินะ เหลืออีกแค่สิบกว่าปี เวลาไม่คอยท่าใคร…พระองค์คอยช่วยเหลือเราเพราะว่ามองเห็นความหวังบางอย่าง? อาดัมไม่ยอมลงมือแม้จะมีโอกาสปลิดชีพเราถึงสองครั้ง…นอกจากเหตุผลที่เรากับท่านไม่เคยบาดหมางกัน นี่ก็อาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุ? ไคลน์เคาะขอบโต๊ะทองแดงยาวอย่างอ่อนโยนก่อนจะพึมพำ
กุญแจสำคัญสำหรับกลายเป็น ‘วันวาน’ หรือ ‘เทพภายนอก’ คือหนึ่งในเก้าแก่นแท้ต้นกำเนิด?
ไคลน์กวาดตามองไปรอบปราสาทอันว่างเปล่าพลางถอนหายใจ
คงต้องอ่านศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองเท่านั้นจึงจะเข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริง…น่าเสียดาย เราไม่มีทางรู้ว่าโอกาสนั้นจะมาถึงหรือไม่…
ชายหนุ่มหันไปสนใจประเด็นอื่น
เรายังยืนยันไม่ได้ว่าเทพสุริยันบรรพกาลก้าวข้ามลำดับโดยสมบูรณ์หรือยัง…หาก ‘วันวาน’ สามารถคืนชีพได้อีกครั้ง มนุษย์อาจมีความหวังมากขึ้นในวันสิ้นโลก…การร่วงหล่นของพระองค์ซับซ้อนกว่าที่เราคิดไว้มาก…
เข้าใจแล้วว่าทำไมจักรพรรดิโรซายล์ถึงกล่าวว่า มีเพียงลำดับศูนย์ เท่านั้นที่สามารถปกป้องตัวเองและคนที่มีค่ารอบตัว…
ไม่มีทางรู้เลยว่าตอนนี้โลกเราถูกพลังของ ‘วันวาน’ และ ‘เทพภายนอก’ แทรกซึมมากน้อยแค่ไหน…
ถ้าพิจารณาเรื่องที่เจ็ดเทพจารีตและเทพมารอย่างพระผู้สร้างแท้จริง ล้วนมอง ‘ดวงจันทร์บรรพกาล’ และ ‘มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย’ เป็นศัตรูตัวฉกาจ…หมายความว่าสองคนหลังน่าจะเป็น ‘วันวาน’ หรือไม่ก็ ‘เทพภายนอก’ …
ถ้าอย่างนั้นก็เข้าใจได้ว่าทำไมมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายถึงมีอำนาจในการแทรกแซงคำทำนายบนมิติหมอก…พระองค์แทบจะเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งอันดับหนึ่งในพจนานุกรมของเรา!
เข้าใจแล้วว่าทำไมพวกวันวานและเทพภายนอกถึงรวมตัวกันรอบดาวเคราะห์โลก…
พวกท่านปรารถนาแก่นแท้แห่งต้นกำเนิด…การทำลายโลกเป็นเพียงทางผ่าน…
คิดถึงตรงนี้ ไคลน์นึกทบทวนคำพูดที่มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายกล่าวกับตนผ่านซินเธีย
“ท่านนายพล…ข้าอยากมีทายาทกับท่าน”
ไคลน์อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ขณะเดียวกันก็เริ่มพิจารณาถึงความปลอดภัยของตนในยามกลับไปยังโลกจริง
ตัวมันในปัจจุบันมีความรู้เกี่ยวกับอวกาศพอสมควร หากครั้งใดเผลอขบคิดในสิ่งที่เกี่ยวข้อง การเชื่อมต่อระหว่างตนกับ ‘วันวาน’ และ ‘เทพภายนอก’ จะถูกสร้างขึ้นและนำมาซึ่งการกัดกร่อน!
ถ้าไม่ใช่เพราะปราสาทต้นกำเนิดตัดการเชื่อมต่อก่อนหน้าทิ้งไปหมดแล้ว เราคงไม่กล้ากลับไปยังโลกความจริง…ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะตัดสินใจขอให้จิตแพทย์ส่วนตัว มิสจัสติส ช่วยสะกดจิตเพื่อผนึกข้อมูลดังกล่าวไว้ในส่วนลึกของจิตใต้สำนึก โดยความทรงจำดังกล่าวจะไม่ตื่นขึ้นมาถ้าไม่ถูกกระตุ้นด้วยกุญแจ
เดิมทีมันคิดจะดึงมิสจัสติสออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์และสั่งให้ภาพฉายของเธอช่วยสะกดจิตแทน แต่ไม่นานก็ต้องเปลี่ยนใจเมื่อพิจารณาว่าปัญหานี้ค่อนข้างร้ายแรงและต้องการความละเอียดอ่อนสูง การลงมืออาจเกิดความผิดพลาดถ้าไม่เข้าใจสภาพจิตดีพอ และถ้ามีข้อมูลถูกผนึกไม่ครบถ้วน ตนก็คงไม่รอดจากสายตาของวันวานและเทพภายนอกอยู่ดี
ฟู่ว…ต้องเตือนให้มิสจัสติสลบความจำตัวเองไปด้วย…ไตร่ตรองสักพัก ไคลน์เปลี่ยนคำขอร้องให้กลายเป็นจุดแสงและส่งเข้าไปในดาวแดงตัวแทนมิสจัสติส
ไม่นานหลังจากเสร็จอาหารเช้า ออเดรย์ที่ยังไม่ได้ออกจากบ้านปรากฏกายบนมิติเหนือสายหมอก
โต๊ะทองแดงยาวหายไป ภายในวังโบราณมีเพียงโต๊ะเล็กหนึ่งตัวและเก้าอี้สองตัว
“มิสเตอร์เวิร์ล คราวนี้ต้องการลืมสิ่งใดหรือ” ออเดรย์จ้องเกอร์มันสแปร์โรว์ฝั่งตรงข้ามพลางถามเข้าประเด็น
ไคลน์นวดหน้าผากพร้อมกับเค้นเสียงต่ำเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับอวกาศ วันวาน และเทพภายนอก
ข้อมูลดังกล่าวทำให้ดวงตาออเดรย์เบิกกว้างประหนึ่งถูกเทพมารสิงสู่
เธอปิดปากเงียบเป็นเวลานานหลังจากฟังไคลน์เล่าจบ จนกระทั่งเปล่งเสียงต่ำโทนเดียวกันด้วยอารมณ์สับสน
“นี่คือความจริงเบื้องหลังวันสิ้นโลก? กระทั่งเหล่าเจ็ดเทพจารีตก็ยังมิอาจปกป้องพวกเราได้?”
ออเดรย์ตัดพ้อโดยไม่รอไคลน์ตอบสนอง
“ฉันเคยเข้าใจว่าสิ่งที่พวกเรากำลังทำในระยะหลังคือเรื่องสำคัญมากเสียอีก…ฉันเคยเข้าใจว่า ข่าวร้ายที่สุดที่จะได้ยินคือการล่มสลายของอาณาจักรโลเอ็นและโบสถ์รัตติกาล…แต่เมื่อเทียบกับความลับที่คุณเล่า…ทุกสิ่งช่างกระจ้อยร่อย”
……………………