Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1239 : ส่งไม้ต่อ
เมื่อได้ยินคำพูดแคทลียา ราชินีเงื่อนงำแบร์นาแดตจ้องอีกฝ่ายนานหลายวินาทีก่อนจะพูด
“นั่นเป็นทางเลือกของคุณ เป็นเสรีภาพของคุณ”
แคทลียาจ้องอีกฝ่ายโดยไม่กะพริบตาสักพัก จากนั้นก็เม้มปาก
“ฉันทราบดี… คุณคงทำลายเบาะแสทั้งหมดทิ้งโดยไม่ปล่อยให้ฉันไล่ตามไปได้… สำหรับคุณแล้ว การออกเดินทางครั้งนี้มีเพื่อทำลายอดีตของตัวเองทั้งหมดโดยไม่สนว่าจะได้กลับมาอีกหรือไม่”
แบร์นาแดตเจ้าของผมยาวสีเกาลัดมิได้กล่าวคำใด ราวกับเป็นการยืนยันคำพูดของพลเรือเอกดวงดาวทางอ้อม
แคทลียาเห็นดังนั้นจึงยิ้มขื่นขม
“ดิฉันคงไม่สาธยายว่าจะตามหาคุณอย่างไรหากคุณหายตัวไปนานครึ่งปีหรือหนึ่งปี… แต่ฉันอยากให้คุณไม่ลืมที่จะเอ่ยพระนามเต็มอันทรงเกียรติของมิสเตอร์ฟูลในยามที่เผชิญวิกฤติร้ายแรงซึ่งอาจถึงแก่ชีวิต”
เธอเอ่ยชื่อออกมาตรงๆ
ราชินีเงื่อนงำพยักหน้าเชื่องช้าพลางกล่าว
“ฉันจะจำใส่ใจไว้”
แคทลียายิ้มด้วยดวงตาพร่ามัว
“คุณจะฝากฝังวัตถุและงานใดให้ดิฉัน?”
วัตถุชิ้นหนึ่งโผล่ขึ้นจากความว่างเปล่าเพียงแบร์นาแดตพลิกฝ่ามือ
วัตถุดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกาต้มน้ำสีทองล้วน ผิวสลักลวดลายและอักขระซับซ้อน ปากกาต้มน้ำมีไส้ตะเกียงยื่นออกมา
“ชื่อของมันคือตะเกียงวิเศษประทานพร รหัส 0-05 กล่าวกันว่ามาจากยุคสมัยที่หนึ่ง แม้แต่เทพแท้จริงก็มิอาจป่นมันได้ ในสภาพปรกติมันจะไม่สร้างปัญหาหรือประโยชน์ แต่จะคอยล่อลวงผ่านความฝันหรือนิมิตให้เธอขัดถูมันเพื่ออัญเชิญเทพแห่งตะเกียง” ราชินีเงื่อนงำแนะนำต้นกำเนิดและคุณสมบัติของวัตถุอย่างคร่าว “เทพแห่งตะเกียงอ้างว่าตนเป็นนิรันดร์และสามารถมอบพรได้สิบข้อ แต่ตามปรกติแล้วจะประทานพรในรูปแบบที่บิดเบี้ยวสุดขีดหรือไม่ก็มีผลกระทบสุดเลวร้ายตามมา ท่านพ่อบอกว่าเราสามารถหลีกเลี่ยงอันตรายได้โดยการขอพรสองข้อแรกอย่างระมัดระวังและใช้คำรัดกุม แต่ห้ามขอพรข้อที่สามโดยเด็ดขาด”
แบร์นาแดตเน้นย้ำหลังจากกล่าวถึงตรงนี้
“ห้ามโดยเด็ดขาด!”
“ฟังดูรับมือไม่ยากเท่าไร…” แคทลียาไตร่ตรองสักพัก “สามารถทำแบบนี้ได้ไหม… ให้ท่านขอพรสองข้อแล้วส่งให้ดิฉัน จากนั้นดิฉันจะขอพรอีกสองข้อแล้วส่งให้แฟรงค์ ต่อด้วยฮีธและคนที่เหลือ… วิธีนี้นอกจากจะไม่มีโทษแล้วยังเป็นประโยชน์”
หญิงสาวแค่ยกตัวอย่างชื่อแฟรงค์ เพราะเธอไม่มีทางปล่อยให้แฟรงค์สัมผัสวัตถุอันตรายเช่นนี้
แบร์นาแดตที่กำลังถือตะเกียงวิเศษประทานพรส่ายหน้าเล็กน้อย
“เจ้าของแตกต่างจากผู้ถือ หากฉันยังไม่ตาย แม้เธอจะได้ครอบครองต่อ แต่ก็เป็นแค่ในฐานะผู้ถือ มิใช่เจ้าของ… พรข้อแรกของเธอจะถูกนับเป็นพรข้อที่สามของฉันและข้อแรกของเธอในเวลาเดียวกัน… นอกจากนั้น แม้เราจะเลือกใช้คำขอพรอย่างรัดกุมที่สุดเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีทางเกิดผลกระทบร้ายแรงหรือผลลัพธ์ผิดไปจากที่ต้องการ แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าเทพแห่งตะเกียงจะไม่ฉลาด ตรงกันข้ามเลยต่างหาก เจ้านั่นทั้งเจ้าเล่ห์ ฉลาดเป็นกรด แถมยังมีจินตนาการบรรเจิด”
แคทลียาอืมในลำคอ
“เคยมีความปรารถนาที่มอบให้ไม่ได้บ้างไหม?”
“ตอนนี้ยัง แต่ถ้าเกี่ยวข้องกับระดับเทพแท้จริงเมื่อไร ความปรารถนาจะผิดเพี้ยนไปมากจนเธอจินตนาการไม่ออก… ยกตัวอย่างเช่น หากเธอขอให้ตัวเองกลายเป็นลำดับ 0 ร่างกายของเธอจะถูกทำลายทันที ดวงวิญญาณจะหลอมรวมเข้ากับเทพมารนิรนามสักตน จงจำไว้ว่าพรที่ขอจากเทพแห่งตะเกียงต้องเรียบง่ายและรัดกุมที่สุด ไม่อย่างนั้นท่านอาจจะปฏิเสธการให้พรและทำราวกับเธอเคยขอมันไปแล้ว” แบร์นาแดตอธิบาย
กล่าวจบ เธอสั่งให้คนรับใช้ล่องหนพาตะเกียง 0-05 ไปหาแคทลียา
เมื่อแคทลียายื่นมือออกไปรับตะเกียงวิเศษประทานพร ราชินีเงื่อนงำเล่าต่อ
“หากเธอฝันว่าเทพแห่งตะเกียงกำลังล่อลวงให้ขอพร นั่นแปลว่าฉันคงกลับมาไม่ได้อีกแล้ว เธอจะกลายเป็นเจ้าของคนใหม่ของตะเกียง… ฉันหวังว่าพรข้อแรกของเธอจะเป็นการกู้คืนทรัพย์สินทั้งของแบร์นาแดต·กุสตาฟก่อนออกทะเล รวมไปถึงตะกอนพลัง… แน่นอนว่าต้องระบุวันที่ให้ชัดเจนด้วย”
แคทลียาก้มมองทะเลก่อนจะโพล่ง
“ขอพรให้ท่านคืนชีพได้ไหม?”
ราชินีเงื่อนงำเงียบไปสักพัก
“ตัวฉันที่ฟื้นขึ้นมาคงเป็นแค่สัตว์ประหลาด… ถ้าเธอต้องการทำแบบนั้น ลองขอความเห็นจากมิสเตอร์ฟูลดูก่อน”
แคทลียาพยักหน้า
“ตกลง”
“นี่คือวัตถุและงานที่ฉันต้องการจะฝากฝัง ส่วนเรื่องที่เหลือจะถูกจัดการโดยแก่นแห่งรุ่งอรุณ พวกเขาจะมีผู้นำคนใหม่โดยไม่ล่มสลายไปเพียงเพราะคนคนเดียวหายตัวไป” แบร์นาแดตไม่มัวประวิงเวลา – อธิบายทันทีว่าทำไมถึงต้องเรียกแคทลียามายังมรกตนคร
ตะเกียงวิเศษมีระดับตัวตนสูงจนไม่สามารถส่งผ่านผู้ส่งสารได้
ราชินีเงื่อนงำกล่าวต่อโดยไม่รอให้แคทลียาตอบสนอง
“เธออยากแบ่งปันประสบการณ์ตลอดหลายปีที่ผ่านมาให้ฉันฟังไม่ใช่หรือ?”
พลเรือเอกดวงดาวแคทลียาผงะเล็กน้อยก่อนจะอืมในลำคอ
“ใช่”
เธอรีบเดินไปด้านข้างราชินีเงื่อนงำ ดึงเก้าอี้มานั่งและมองออกไปทางทะเลสีครามเหนือราวกั้นสีมรกต
แบร์นาแดตนั่งฟังประสบการณ์ชีวิตหลังออกจากเรือ ‘รุ่งอรุณ’ ของแคทลียาอย่างเงียบงัน
แคทลียาเคยเขียนเรื่องราวบางส่วนไว้ในจดหมาย แต่ก็ไม่เคยลงลึกรายละเอียดเนื่องจากข้อจำกัดด้านตัวหนังสือ และบางเรื่องก็เพิ่งเคยเล่าที่นี่เป็นครั้งแรก
จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง แคทลียาผล็อยหลับและฝันถึงอดีตเมื่อหลายปีก่อน
ในช่วงเวลาดังกล่าว เธอเป็นเพียงเด็กสาวที่เดินลงจาก ‘รุ่งอรุณ’ อย่างดื้อรั้นโดยไม่คิดหันหลังกลับมามอง
ทันใดนั้นเอง แคทลียาสะดุ้งตื่นและพบว่าไม่มีใครอยู่เคียงข้าง ท้องฟ้าด้านนอกมืดสนิทและมีแสงรุ่งอรุณสว่างมาจากจุดห่างไกล
หญิงสาวสะบัดข้อมือเพื่อขว้างก้อนด้ายมายาออกไป
ก้อนด้ายกลิ้งเข้าไปในความว่างเปล่าโดยเหลือทิ้งไว้เพียงด้ายขนสัตว์สีสว่าง
แคทลียาเดินตามเส้นด้ายเข้าไปในโลกวิญญาณประหนึ่งผู้ชำนาญพลังเทเลพอร์ตจนกระทั่งส่งตัวเองมาถึงริมเกาะลาชา
หญิงสาวยืนริมขอบผาพลางทอดสายตาออกไปไกล จนกระทั่งเห็นเรือใบลำใหญ่โอ่อ่ากำลังแล่นมาจากเส้นขอบฟ้าท่ามกลางน้ำทะเลสีคราม
แคทลียาบรรจงนั่งในท่าเอนตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย ตามด้วยการกอดเข่าและมองไปยังทิศทางดังกล่าวเป็นเวลานาน
แสงอาทิตย์ค่อยๆ สว่างขึ้นจนกระทั่งสาดส่องอาบร่างหญิงสาว
…
กรุงเบ็คลันด์ จุดแจกจ่ายอาหาร
สตาร์ลิ่ง·ซาเมอร์ที่สวมผ้าคลุมหน้าไม่ก้มศีรษะบ่อยครั้งเหมือนในอดีต ด้วยเกรงว่าจะมีใครจำหน้าเธอได้ ภายในใจกำลังกังวลว่าจะมีอาหารเหลือมาถึงคิวของเธอหรือไม่
เสียงปืนดังแว่วมาจากระยะไกล เธอไม่แน่ใจว่านั่นเป็นเสียงของกองทัพฟุซัค อินทิส หรือเฟเนพ็อตที่บุกทะลวงแนวต้านเข้ามาสำเร็จ หรือเป็นเสียงปืนของตำรวจที่จัดการกับหัวขโมย
ได้โปรดจบสักที… จบสงครามบ้าๆ นี้สักที… สตาร์ลิ่งที่วันนี้ตระเวนไปจุดแจกจ่ายอาหารมาสามแห่งได้แต่ภาวนาในใจ
ทันใดนั้นเอง พนักงานที่อยู่ห่างออกไปหลายเมตรตะโกนเสียงดัง
“อาหารที่นี่หมดแล้ว!”
สีหน้าสตาร์ลิ่งพลันดำมืด เธอแหงนมองท้องฟ้ามืดครึ้มก่อนจะลากสังขารกลับถึงบ้านเลขที่ 17 ถนนมินส์ด้วยความสิ้นหวัง
ทันทีที่เปิดประตู เด็กสองคนเดินเข้ามาถามด้วยความไร้เดียงสา
“แม่ครับ ได้ขนมปังกลับมาบ้างไหม?”
“แม่คะ หนูหิว…”
เป็นคู่แฝดชายหญิงที่น่ารักน่าเอ็นดู
สตาร์ลิ่งฝืนยิ้มพลางกลั้นน้ำตา
“มี”
เธอเข้าไปในบ้านและนำขนมปังออกจากที่ซ่อน ตัดแบ่งให้กับลูกทั้งสองอย่างเท่าเทียม
เมื่อเห็นเด็กทั้งสองกินขนมปังอย่างมูมมามโดยไม่สนใจมารยาทโต๊ะอาหาร สีหน้าสตาร์ลิ่งแปรเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง วนเวียนไปมาระหว่างความโศกเศร้าและเจ็บปวด
ไม่นานหลังจากนั้น ลุค·ซาเมอร์สามีของเธอกลับถึงบ้าน แต่ก็ไม่มีอาหารในมือเช่นกัน
เนื่องจากบริษัทโคอิมถูกรัฐบาลยึดครองด้วยกฎอัยการศึก อดีตผู้จัดการอย่างลุคย่อมตกงาน ทำได้เพียงพึ่งพาเงินออมในอดีต รวมถึงรับการบรรเทาทุกข์จากสวัสดิการรัฐเพื่อพยุงครอบครัว
“ผมทำไม่สำเร็จ…” เมื่อเผชิญสายตาคาดหวังจากภรรยา ชายร่างกำยำหนวดรุงรังก้มหน้าลงด้วยความละอาย
สตาร์ลิ่งที่ยังงดงามในวัยสามสิบสูดลมหายใจยาว
“ฉันก็เหมือนกัน… ว่าจะออกไปต่อคิวใหม่ ต้องมีสักจุดที่อาหารยังไม่หมด!”
เธอวิ่งไปทางประตูทันทีโดยไม่รอให้สามีตอบสนอง
ลุคหันไปมองและกล่าว
“ผมก็จะไปหาเพิ่มด้วย!”
สตาร์ลิ่งไม่ชะลอฝีเท้า เธอรีบเดินผ่านถนนสองเส้นและหยุดลงหน้าบ้านที่มีสวน
เพียงไม่นานก็ได้พบกับเจ้าของสถานที่ อีกฝ่ายเป็นเศรษฐีในวัยห้าสิบ
“ดิฉันต้องการซื้ออาหาร” สตาร์ลิ่งหยิบปึกธนบัตรยับยู่ยี่ออกมา
ชายชราผมขาวยิ้ม
“แล้วทำไมผมต้องขาย? ผมจำได้ว่าคราวที่แล้วคุณปฏิเสธผม”
สตาร์ลิ่งหน้าซีดทันที เธอก้มศีรษะต่ำและใช้มืออีกข้างปลดเข็มขัดโดยไม่กล่าวคำใด
เพียงพริบตาเดียว เข็มขัดหนังลูกวัวที่มีรอยเปื้อนเล็กน้อยตกลงไปบนพื้น
…
ลุค·ซาเมอร์ตระเวนไปตามถนนอย่างไร้จุดหมาย ไม่แน่ใจว่าตนต้องไปรับอาหารที่ไหน
เมื่อเห็นกลุ่มคนเดินถนนจำนวนไม่มากกำลังผ่านไปมาด้วยท่าทางพยายามปกป้องถุงกระดาษ ดวงตาของสุภาพบุรุษผู้รักเครื่องจักรพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง
มันเดินตามใครบางคนไปยังถนนอีกเส้นโดยไม่รู้ตัว
เคอร์ฟิวจะเริ่มในอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง นี่คือโอกาสที่หาได้ยาก
ชายที่ลุคเดินตามหยุดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่งสักพัก จากนั้นก็เดินไปที่ประตูด้วยท่าทางอิดโรย
ทันใดนั้นเอง ชายคนดังกล่าวหมดสติและล้มลงกับพื้นกะทันหัน
ลุคผงะถอยหลังตามสัญชาตญาณก่อนจะรีบเข้าไปตรวจสอบลมหายใจอีกฝ่าย
สายตาชำเลืองลงไปมองถุงขนมปังในอ้อมแขนอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว กลิ่นหอมของขนมปังกำลังลอยเตะจมูก
ลุคกลืนน้ำลายพลางยื่นมือไปทางถุงกระดาษ
ขณะกำลังขยับแขน ลุคมองเข้าไปในบ้านด้วยความกลัวและพบภาพวาดของเด็กบนมุขหน้าต่าง
การเคลื่อนไหวของลุคแข็งทื่อทันที จนกระทั่งผ่านไปหลายวินาที มันลุกขึ้นยืนและเดินไปสั่นกระดิ่งบ้าน
ภรรยากับลูกภายในบ้านรีบเปิดประตูทันที พวกมันเห็นบิดาที่อ่อนแอกำลังนอนกอดถุงขนมปังในสภาพหมดสติ
เพียงไม่นานก็ถึงเวลาเคอร์ฟิว ลุคเดินกลับถนนมินส์ด้วยความรู้สึกตำหนิตัวเอง
เมื่อเปิดประตูบ้าน มันเห็นภรรยายิ้มให้พลางกล่าว
“ฉันได้อาหาร!”
ขอบคุณสวรรค์… ลุคถอนหายใจโล่งอกพร้อมกับกอดเธอแนบแน่น
…
ไม่มีใครมองเห็นออเดรย์ที่กำลังเดินไปตามตรอกซอกซอย
เธอเดินตรงกลับไปยังถนนราชินีโดยไม่กล่าวคำใด และเดินต่อไปจนกระทั่งถึงคฤหาสน์หรูหราที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของฟัวกราส์ทอดและอาหารอีกหลายประเภท
ออเดรย์ยืนจ้องสักพักเพื่อเฝ้ามองกลุ่มสาวใช้ที่ผ่านเข้าออก จึงค่อยเดินกลับขึ้นไปยังห้องนอนชั้นบน
กลางดึกสงัดของวันเดียวกัน หญิงที่แต่งกายด้วยเสื้อคลุมเดินเข้าไปในห้องนอนพ่อแม่ก่อนจะหยุดลงที่ปลายเตียง
หลังจากจดจ้องทั้งสองเป็นเวลานาน ออเดรย์คุกเข่าลงข้างหนึ่งและนำหน้าผากวางลงบนฝ่ามือบิดา
หยาดน้ำตาไหลรินลงบนพรม
จากนั้น หญิงสาวผมทองผู้ส่งสง่าบรรจงเงยหน้าขึ้นและกล่าวกับพ่อแม่ด้วยเสียงสั่นเครือ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกขอบคุณมาก… ขอบคุณที่สอนให้รู้จักความเมตตา ความกรุณา และคุณธรรม”
เมื่อสิ้นเสียง หญิงสาวหลบตาลงพลางลุกขึ้นยืน จากนั้นก็หันหลังกลับและเดินไปทางประตูห้องโดยปราศจากอารมณ์ทั้งปวง
……………………………