Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1247 : ในที่สุด
เร้นลับ… หัวใจไคลน์เริ่มสั่นคลอนเมื่อได้ยินถ้อยคำดังกล่าว ใจอยากส่งตัวเองกลับเข้าไปในปราสาทต้นกำเนิดเพื่อหนีจากที่นี่ทันที
แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไร้ผล ร่างวิญญาณยังคงติดอยู่ในร่างเนื้อโดยไม่มีความเปลี่ยนแปลง
ให้ตายสิ… ไคลน์ขมวดคิ้วชนกันพลางหันไปมองไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ด้านข้าง มันพบว่ามิสผู้ส่งสารของตนกำลังตั้งท่าคล้ายเตรียมต่อสู้กับศัตรูที่น่าสะพรึง ความมืดสนิทรอบตัวถูกแช่แข็งประหนึ่งทะเลสาบเย็น สายฟ้าหยุดการผ่าลงมาจากเบื้องบน
เร้นลับ… ไคลน์เริ่มรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อลองไตร่ตรองเกี่ยวกับชื่อดังกล่าว
ชื่อนี้มิได้แปลกหูสำหรับชายหนุ่มสักเท่าไร แต่คนสุดท้ายที่เรียกไคลน์ว่า ‘เร้นลับ’ คือเทพสุริยันบรรพกาลจากสองพันปีก่อน ย้อนกลับในช่วงเวลาดังกล่าว ก่อนที่จะตาย พระผู้สร้างที่เมืองเงินพิสุทธิ์นับถือรายนี้สัมผัสถึงการทำนายของไคลน์และเปล่งนามดังกล่าวข้ามผ่านกระแสแห่งเวลามายังสมัยปัจจุบัน!
ไม่มีทาง… พระผู้สร้างแท้จริงคือเทพสุริยันบรรพกาล? ไม่ใช่… พระผู้สร้างแท้จริงน่าจะอยู่แค่ลำดับ 0 ส่วนเทพสุริยันบรรพกาลต้องสงสัยว่าจะอยู่เหนือลำดับ… และจากท่าทีของอามุนด์ เทพสุริยันบรรพกาลน่าจะร่วงหล่นไปแล้วจริงๆ … หรือว่าพระผู้สร้างแท้จริงจะเป็นทารกสีดำที่เกิดจากท้องเทพสุริยันบรรพกาลโดยสืบทอดตะกอนพลังและความทรงจำมาบางส่วน เป็นร่างที่เสื่อมทรามของพระผู้สร้างคนนั้น? ไคลน์พยายามรวบรวมความสุขุมเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลจากสถานการณ์ตรงหน้า
ทันใดนั้นเอง วังวนภายในผ้าคลุมที่สร้างจากม่านเปล่งเสียง:
“จงไปที่วังราชาคนยักษ์และพบซาสเรีย”
ประโยคดังกล่าวดังก้องในใจไคลน์สักพักก่อนจะก่อนตัวเป็นอักขระมายา อักขระดังกล่าวบีบอัดเข้าด้วยกันและห่อหุ้มด้วยชั้นบางๆ สีดำจนกลายเป็น ‘เมล็ดพันธุ์’ ที่แปลกประหลาด
เมล็ดพันธุ์ดังกล่าวลอยเข้าไปในร่างเนื้อและร่างวิญญาณไคลน์ จากนั้นก็หลอมรวมเป็นหนึ่ง
วังวนสีดำสลายไปโดยไม่เปิดโอกาสให้ไคลน์ตอบสนอง ม่านในรูปลักษณ์ผ้าคลุมที่สูญเสียพลังค้ำจุนพลันร่วงหล่นลงพื้น
ชิ้นส่วนความคิดที่พระผู้สร้างแท้จริงส่งลงมา ตอนนี้กำลังกัดเซาะร่างวิญญาณและร่างเนื้อของเราบางส่วน… เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องไปที่วังราชาคนยักษ์และเปิดประตูตำหนักบรรทมของซาสเรีย… นี่คือปริศนาที่เหล่าทวยเทพต้องการทราบคำตอบ แต่กลับกลายเป็นพระผู้สร้างแท้จริงที่บีบบังคับเราทางอ้อมหลังจากเฝ้ามองมานาน… ไคลน์มองไปรอบตัวสักพักก่อนจะอัญเชิญตัวเองในอดีตออกมาเก็บม่าน
จากนั้นก็พูดกับมิสผู้ส่งสารโดยปราศจากความลังเล
“เราต้องรีบหนี!”
พระผู้สร้างแท้จริงส่งเจตจำนงลงมาถึงแล้ว ดังนั้นอามุนด์จะอยู่ห่างสักแค่ไหนเชียว?
นอกจากนั้น ไคลน์ยังต้องหาโอกาสขึ้นไปบนมิติเหนือสายหมอกโดยหวังว่าปราสาทต้นกำเนิดจะมีอำนาจในการขจัดการกัดเซาะที่ตนได้รับ
“ตกลง” ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์พยักหน้าพร้อมกับเสกให้ตะกอนพลังจำนวนมากในหลุมลึกลอยเข้ามาผสานกับตัวเธอ
ตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า สมบัติที่ล่าได้จะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับลำดับสูงของเส้นทางนักทำนาย และส่วนที่สองคือที่เหลือ ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์จะได้ครอบครองครึ่งหนึ่งของส่วนที่สองโดยมีสิทธิ์เลือกก่อน เพราะต้องไม่ลืมว่าไคลน์เองก็ได้ส่วนแบ่งเหมือนกันในตอนที่จัดการกับราชาหมอผีคารามัน
สำหรับอีกครึ่งหนึ่งของส่วนที่สอง ไคลน์มีแผนจะสังเวยให้เทพธิดารัตติกาลเพื่อแสดงความขอบคุณ โดยไม่ว่าเทพแท้จริงรายนี้จะต้องการพวกมันหรือไม่ ชายหนุ่มก็อยากแสดงความจริงใจและมารยาทให้อีกฝ่ายเห็น สองสิ่งนี้จะมีคุณค่าเมื่อนำออกมาใช้ในจังหวะที่เหมาะสม
เก็บกวาดสนามรบเสร็จ ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ลอยเข้าไปในกล่องบุหรี่โลหะและสิงอยู่บนผิวเหรียญทอง
ไคลน์ไม่รีบร้อนผนึกกล่อง เพียงถือไม้เท้าดวงดาวและเริ่มจินตนาการภาพ
เป็นภาพของหนึ่งในฉากที่มันบันทึกไว้ขณะตระเวนสำรวจภูมิประเทศ
เมื่ออัญมณีบนไม้เท้าสว่างวาบ ไคลน์อันตรธานหายไปจากหลุมลึกโดยสมบูรณ์
ไม่กี่วินาทีถัดมา ห้วงมิติใกล้กับหลุมใหญ่เกิดบิดเบี้ยวพร้อมกับมีสัตว์ขนาดเล็กซึ่งยากจะมองด้วยตาเปล่าคลานออกมา
สิ่งมีชีวิตดังกล่าวพองตัวขึ้นจนกลายเป็นอามุนด์ที่สวมแว่นตาขาเดียว
มุมปากอามุนด์ยกโค้งเล็กน้อยขณะใช้มือจับกรอบแว่น:
“ในที่สุดก็มีคนเปิดประตูบานนั้นสักที”
…
หลังจากเทเลพอร์ตสองครั้งติดต่อ ไคลน์ล้วงหยิบกล่องบุหรี่โลหะที่มิสผู้ส่งสารซ่อนตัวอยู่ออกมาและใช้ไม้เท้าดวงดาวสร้างผนึกคลุมหลายชั้น – เป็นผนึกที่จะสลายไปในยามถูกตนสัมผัส
ถัดมา ชายหนุ่มเข้าไปในสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์และวิ่งตรงไปยังช่วงเวลาก่อนยุคสมัยที่หนึ่ง จากนั้นก็กลับปราสาทต้นกำเนิดด้วยระบบ ‘ส่งกลับในพริบตา’ ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการไม่ยอมตอบสนองดวงดาวสีแดง
ท่ามกลางเสียงเพรียกที่ดังกังวาน ไคลน์สัมผัสได้ว่าการกัดเซาะที่อยู่ในร่างวิญญาณของตนเริ่มหลั่งไหลมารวมกันและขดตัวเป็นลูกบอล แต่พวกมันยังคงสภาพไว้ได้แม้จะผ่านกระบวนการชำระล้างหลายครั้ง
นี่คือพลังและคุณสมบัติของเทพแท้จริง? นั่นสินะ แถมยังเป็นถึงเทพแท้จริงในขอบเขตความเสื่อมทราม… ไคลน์ที่นั่งบนเก้าอี้เดอะฟูลเริ่มขมวดคิ้วขณะสำรวจอาการตัวเอง
การกัดเซาะจากเทพแท้จริงนั้นไม่รุนแรงนัก หากถูกนำออกจากร่างวิญญาณไคลน์ พวกมันคงสลายตัวภายในไม่กี่วินาทีบนสายหมอกสีเทา และนี่คือเหตุผลที่ไคลน์กล้าส่งตัวเองขึ้นมายังปราสาทต้นกำเนิดทันทีโดยไม่กังวลถึงอันตราย
ขณะเดียวกันก็ได้ทราบว่า การกัดเซาะชนิดนี้จะไม่มีวันหายไปหากไม่ฆ่าตัวตาย
อาศัยพลังทำนายและความช่วยเหลือด้านอื่น ไคลน์ค้นพบคุณสมบัติของการกัดเซาะดังกล่าว
มันจะไม่กลายพันธุ์ ไม่ส่งข้อมูลกลับไปหาพระผู้สร้าง และไม่แทรกแซงความคิดไคลน์ หน้าที่เดียวคือการใช้สารพัดความคิดเพื่อโน้มน้าวให้ไคลน์เดินทางไปยังวังราชาคนยักษ์และเปิดตำหนักบรรทมของเทวทูตมืดซาสเรีย
แง่หนึ่งเป็นการฝังชุดความคิด และอีกแง่หนึ่งเป็นการแทรกแซงชะตากรรม… หากเรากลายเป็นเทวทูตอย่างผู้ชี้นำปาฏิหาริย์และได้ครอบครองปราสาทต้นกำเนิดในเชิงลึกกว่านี้ บางทีอาจมีวิธีขจัดการกัดเซาะ… แต่ถ้าเราต้องการเป็นผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเดินทางไปยังวังราชาคนยักษ์เพื่อเปิดประตูบานนั้นและพาชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ออกจากดินแดนเทพทอดทิ้ง… ไคลน์ยิ้มขื่นขมขณะครุ่นคิด
โชคดีที่มันวางแผนจะเปิดตำหนักบรรทมของซาสเรียอยู่แล้ว จึงไม่ถือว่าสิ่งนี้เป็นภาระมากนัก
ถัดมาไคลน์อัญเชิญไม้กางเขนเจิดจรัสออกมาระดมพลังปราสาทต้นกำเนิดเพื่อลองขจัดการกัดเซาะ แต่น่าเสียดายที่ร่างกายบางส่วนของคนได้ผสานกับการกัดเซาะโดยสมบูรณ์แล้ว ไม่สามารถชำระล้างได้ด้วยพลังจากภายนอก
นั่นยิ่งทำให้มันเข้าใจความน่าสะพรึงของลำดับ 0 ได้ชัดเจนมากขึ้น
ถ้าไม่สิ้นหวังโดยแท้จริงก็ห้ามสวดวิงวอนถึงเทพมารส่งเดชเด็ดขาด… ไคลน์ส่ายหน้าสักพักก่อนจะส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง จากนั้นก็ประกอบพิธีกรรมสังเวย ‘ม่าน’ ขึ้นมายังมิติเหนือสายหมอก
เป็นตะกอนพลังของบริวารเร้นลับจริงๆ … รวมไปถึงผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ ปราชญ์โบราณ และจอมเวทพิสดาร… ระดับของมันสูงจนเราระดมพลังจากปราสาทต้นกำเนิดเพื่อป่นมันไม่ได้… แต่ที่นี่เป็นถึงจุดสูงสุดของเส้นทางนักทำนาย อำนาจย่อมข่มกันรุนแรง ส่งผลให้อาจแยกตะกอนพลังออกมาได้ถ้าใช้เวลามากพอ…
ก่อนอื่นก็ต้องแยกตะกอนพลังบริวารเร้นลับออกมา ส่วนที่เหลือก็นำไปปรุงเป็นโอสถผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ได้เลย… หืม… ดูเหมือนว่าเจ้านี่จะไม่มีสัญญาณชีพ สิ่งที่ดูคล้ายกับสติปัญญาไม่หลงเหลืออยู่อีกแล้ว… ไคลน์นั่งจ้องม่านกำมะหยี่สีดำในมือสักพัก
จากนั้นก็ระดมพลังปราสาทต้นกำเนิดเพื่อสร้างหม้อโลหะที่มีพลังบางชนิดเดือดพล่านอยู่ภายใน
ไตร่ตรองอยู่สักพัก ไคลน์ตัดสินใจโยนม่านลงไปในหม้อและสร้างผนึกหลายชั้นครอบตรงส่วนที่เป็นฝา
ตะกอนพลังบริวารเร้นลับน่าจะถูกสกัดออกมาได้ภายในสามสี่วัน… จากนั้นค่อยใส่วัตถุดิบเสริมลงไปผสมกับส่วนที่เป็นลำดับ 9 ถึงลำดับ 2…
มองไปรอบตัว ชายหนุ่มตวัดแขนขวาเพื่อเรียกเศษกระดาษออกจากกองขยะ
นี่คืออีกหนึ่งการเตรียมตัวของไคลน์:
มันต้องเผชิญกับความล้มเหลวหลายครั้งตลอดหลายวันเพียงเพื่อให้ได้อัญเชิญ 0-08 สำเร็จหนึ่งครั้ง เมื่อสำเร็จ ไคลน์รีบใช้ปากกาขนนกเขียนระบุให้หมาป่าอสูรทมิฬมีความคิดเป็นเหตุเป็นผลมากที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายทำตัวเหนือความคาดหมายจนแผนการล่มตั้งแต่ต้น
อาศัยอำนาจจาก ‘บท’ สั้นๆ แผ่นนี้ หมาป่าอสูรทมิฬให้ความสนใจกับพฤติกรรมประหลาดของไคลน์อย่างสมเหตุสมผล ลงเอยด้วยการที่มันไม่รีบทำลายจุดแสงสวดวิงวอนของไคลน์
ในทำนองเดียวกัน เนื่องจากไม่ทราบว่าศัตรูมีจำนวนเท่าใดและแข็งแกร่งระดับไหน หมาป่าอสูรทมิฬจึงไม่รีบร้อนหลบหนีด้วยความแตกตื่น แต่เลือกที่จะสร้าง ‘อาณาจักรเอกเทศ’ เพื่อตัดขาดกำลังเสริมของอีกฝ่าย ถือเป็นชุดความคิดที่สมเหตุสมผลอย่างมาก
ไคลน์สะบัดข้อมือเพื่อเผากระดาษทิ้ง จากนั้นก็ส่งตัวเองกลับโลกความจริง ประกอบพิธีกรรมสังเวยกล่องบุหรี่โลหะขึ้นมายังปราสาทต้นกำเนิดและตอบสนองคำวิงวอนของมิสเมจิกเชี่ยนด้วยรูปลักษณ์ของเดอะเวิร์ล
เมจิกเชี่ยนฟอร์สไม่กล้าพิรี้พิไร รีบลุกพรวดและใช้พลัง ‘อัญเชิญภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์’ ที่บันทึกไว้เพื่อดึงเกอร์มัน·สแปร์โรว์ออกจากความว่างเปล่า
จากนั้นไคลน์เทเลพอร์ตไปห้องว่างในโรงแรมใกล้เคียง ประกอบพิธีกรรมรับมอบกล่องโลหะและคลายผนึกที่กักขังไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์
หลังจากกล่าวขอบคุณมิสผู้ส่งสารและเฝ้ามองเธอเดินจากไปพร้อมกับตะกอนพลังครึ่งหนึ่ง ชายหนุ่มเปลี่ยนไปประกอบพิธีกรรมสังเวยถึงเทพธิดารัตติกาลทันที
มาถึงช่วงท้ายพิธีกรรม มันวิงวอนด้วยความคาดหวัง:
“ข้าต้องการทราบแนวทางสำหรับขจัดการกัดเซาะภายในร่างกาย”
ตามความคิดของมัน ไคลน์เชื่อว่ามีเพียงตัวตนระดับเทพธิดารัตติกาลเท่านั้นจึงจะขจัดการกัดเซาะจากพระผู้สร้างแท้จริงได้
หากเทพธิดายินยอม มันก็พร้อมจะมาเยือนกรุงเบ็คลันด์ด้วยร่างวิญญาณของตัวเองเพื่อให้เทพธิดาช่วยปัดเป่า
แต่สำหรับคำถามที่ว่า จะทำอย่างไรกับร่างวิญญาณในส่วนที่ถูกกัดเซาะ มันยังไม่ได้คิดวิธีรับมือไว้
ทันทีที่สิ้นเสียงไคลน์ เมฆสีดำพลันปกคลุมแท่นบูชา
เมื่อเมฆมืดเลือนหาย ตะกอนพลังทุกก้อนก็ไม่อยู่อีกแล้ว
ไม่มีแม้กระทั่งคำบอกใบ้หรือแนวทางแก้ปัญหา
…คงต้องพึ่งตัวเองสินะ… ไคลน์ไม่หดหู่ เพียงใช้มือขวาแตะหน้าอกสี่จุดเพื่อวาดพระจันทร์แดง
“เทพธิดาจงเจริญ!”
เป็นคำสรรเสริญที่มาจากก้นบึ้งหัวใจ เพราะมันก็ได้รับความช่วยเหลือมากมายจากอีกฝ่าย
จัดการทั้งหมดเสร็จ ภาพฉายของไคลน์เลือนหายไปพร้อมกับสติที่กลับมายังดินแดนเทพทอดทิ้ง
มันถือตะเกียงที่ยืมมาจากอดีตพลางเฝ้ามองแสงสีเหลืองทอดไปตามภูมิประเทศของดินแดนอันเงียบสงัด ภายในใจผ่อนคลายลงหลายส่วน
ในที่สุด…
……………………………