Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1252 : มิสเตอร์ตัวตลก
เมื่อเห็นร่างที่เดินออกจากซากหอคอย สมาชิกทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์รีบตั้งท่าป้องกันทันที พร้อมโจมตีหรือตั้งรับได้ทุกสถานการณ์
ในสายตาพวกมัน บุรุษที่แต่งกายด้วยหมวกและเสื้อประหลาดนั้นไม่ต่างอะไรกับสัตว์ประหลาด แถมยังเป็นประเภทที่แข็งแกร่งมาก!
แม้แต่ผู้วิเศษทั่วไปก็ต้องถูกจำแนกให้เป็นสัตว์ประหลาดหลังจากเผชิญการเปลี่ยนแปลงในระดับนี้!
เมื่อท่าทีตอบสนองของพวกครึ่งยักษ์ ไคลน์ฉีกยิ้มกว้างพลางกล่าวอย่างอารมณ์ดี
“สวัสดีทุกคน ผมเกอร์มัน·สแปร์โรว์… ทุกคนควรจะยินดีที่ผมยังควบคุมตัวเองได้ ไม่อย่างนั้นหลายคนในที่นี้อาจคลุ้มคลั่งทันทีเมื่อได้เห็นผม”
ขณะกล่าว หนอนแมลงบนใบหน้าฝั่งซ้ายยังคงชอนไชอย่างเชื่องช้า แม้แต่ใต้ร่มผ้าฝั่งซ้ายก็ยังมีสัญญาณของบางสิ่งกระดุกกระดิกภายใน
สัตว์ประหลาด! สมาชิกทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์ที่ไม่ใช่ครึ่งเทพยิ่งมั่นใจในการประเมินของตน
“คุณคือ… มิสเตอร์… เวิ… เกอร์มัน·สแปร์โรว์?” เดอร์ริค·เบเกอร์จดจำคนที่เพิ่งพบกันเพียงหนึ่งครั้งแทบไม่ได้
ไคลน์ยกมือซ้ายขึ้นมาปิดหน้าฝั่งซ้ายพลางยิ้ม
“ชีวิตคือการได้พานพบสิ่งที่ไม่คาดคิด”
โดยไม่รอให้เดอะซันน้อยตอบสนอง ชายหนุ่มเว้นวรรคและพูดต่อ
“ผมเปิดประตูตำหนักบรรทมของราชาคนยักษ์ออกมาแล้ว นั่นทำให้เกิดอุบัติเหตุและการเปลี่ยนแปลงภายในอาณาจักรแห่งเทพ”
ประตูตำหนักบรรทมถูกเปิดออกแล้ว? โคลินผมเทาขาวหรี่ตาลง จิตใต้สำนึกสั่งให้หันไปมองทางอาคารที่สง่างามที่สุดภายใต้แสงอาทิตย์
แต่ก็มิอาจกะเกณฑ์สถานการณ์ใดได้เนื่องจากอยู่ไกลเกินไป
อย่างไรก็ดี การที่แสงสนธยาแช่แข็งถูกแทนที่ด้วยแสงอาทิตย์เจิดจ้าสามารถอธิบายในหลายเรื่อง
สายตาไคลน์ชำเลืองไปทางเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์และโลเฟียร์ในชุดเกราะสีดำ จากนั้นก็หันกลับมามองเดอะซันและพูดโดยไม่หุบยิ้ม
“อุบัติเหตุดังกล่าวทำให้ผมมีสภาพอย่างที่คุณกำลังเห็น”
เล่าถึงตรงนี้ มันปรบมือหนึ่งครั้งพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงคล้ายผู้ใหญ่สั่งเด็ก
“อา… ผู้วิเศษที่ลำดับต่ำกว่าครึ่งเทพรบกวนช่วยถอยหลังกลับไป วังราชาคนยักษ์กลายพันธุ์ไม่ใช่สถานที่ที่พวกคุณจะสำรวจได้”
เหล่าสมาชิกทีมสำรวจ ยกเว้นโคลิน โลเฟียร์ และเดอร์ริค ต่างทวีความหวาดกลัวและหันไปมองทางเจ้าเมืองโดยพร้อมเพรียง
โคลินเงียบไปสักพักก่อนจะหันไปพูดกับทุกคน
“ออกจากวังราชาคนยักษ์ไปรอบที่ขอบทางเข้า ถ้าเห็นสัญญาณให้ทำตามแผนทันที”
สมาชิกทีมสำรวจที่คัดเลือกมาอย่างดีไม่เพียงจะแข็งแกร่งทัดเทียมครึ่งเทพ แต่ยังถือครองสมบัติปิดผนึกที่ทรงพลังไว้กับตัว หากเผชิญหน้ากับศัตรูระดับนักบุญ ก็ใช่ว่าจะต้องงอมืองอเท้ารอรับความพ่ายแพ้เสมอไป อาจคิดถึงชัยชนะได้ด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม ในแผนการสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์ พวกมันไม่ใช่กำลังรบหลัก การที่โคลินตัดสินใจพามาด้วยก็เพราะว่า หากตนและครึ่งเทพที่เหลือคอยจัดการกับศัตรูที่แข็งแกร่งให้ กลุ่มคนเหล่านี้ก็คงพอสร้างประโยชน์ได้บ้าง เช่นหน้าที่เชิงสนับสนุนอย่างการใช้สมบัติปิดผนึกช่วยให้สมาชิกในทีมไม่ถูกทำให้อ่อนแอลง
แต่ตอนนี้ทีมสำรวจได้รับการความช่วยเหลือจากบุคคลภายนอก และเมื่อพิจารณาจากการกลายพันธุ์ของวังราชาคนยักษ์ ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าจะต้องพบเจอสิ่งใดบ้างหากสำรวจลึกเข้าไป ถ้าคิดเผื่อในกรณีเลวร้ายที่สุด โคลินมองว่าคำอธิบายของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ฟังขึ้น นอกจากนั้นตัวมันเองก็คิดมาตลอดว่า ไม่อยากให้สมาชิกระดับต่ำกว่าครึ่งเทพต้องเสี่ยงอันตรายโดยไม่จำเป็น จึงเห็นพ้องกับยอดฝีมือที่ดูคล้ายกับสัตว์ประหลาดรายนี้ได้ในทันที
เมื่อถึงเวลาและโอกาสที่เหมาะสม โคลิน เดอร์ริค และโลเฟียร์จะส่งสัญญาณเพื่อแจ้งให้สมาชิกที่เหลือเข้ามาเป็นกำลังเสริม
สำหรับปัญหาที่อาจเกิดจากความไม่หลากหลายของพลังพิเศษซึ่งจะทำให้รับมือสถานการณ์ได้ไม่ครอบคลุม โคลิน·อีเลียดไม่กังวลมากนักเพราะข้างกายมันยังมีคนเลี้ยงแกะโลเฟียร์
เหล่าสมาชิกทีมสำรวจที่ไม่ใช่ครึ่งเทพจ้องหน้ากันสักพักด้วยความลังเล แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเชื่อใจเจ้าเมือง:
“ครับ ท่านเจ้าเมือง!”
ทันทีที่ขานตอบ พวกมันหันจ้องเดอร์ริคด้วยสายตาลุ่มลึก ราวกับต้องการเตือนเจ้าเมืองว่าอย่าได้เชื่อใจครึ่งเทพลำดับ 4 รายนี้มากนัก
เพราะเด็กคนนี้รู้จักกับสัตว์ประหลาดที่ทรงพลังนั่น!
สำหรับชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ที่แทบไม่เคยเห็นคนนอกมาก่อน ข้อเท็จจริงนี้มากพอจะชวนให้ตั้งคำถาม!
เมื่อสัมผัสถึงความไม่เชื่อใจจากพวกพ้อง หัวใจเดอร์ริคพลันเจ็บแปลบด้วยดวงตาที่เริ่มแดง
แต่ในท้ายที่สุด มันมิได้โต้เถียงใดกลับไป เพียงรักษาความเงียบในท่ายืนสง่าผ่าเผย
หลังจากสมาชิกทีมสำรวจคนอื่นถอนตัวออกจากวังราชาคนยักษ์ ไคลน์ยิ้มพลางชี้ไปทางครึ่งเทพทั้งสองนอกจากเดอร์ริค
“ผมขอเดา… คุณคือโคลิน·อีเลียด เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ อดีตนักล่าปีศาจ ปัจจุบันเป็นอัศวินสีเงิน… ส่วนคุณคืออัศวินมืดโลเฟียร์ สาวกของแฮงแมน ปัจจุบันกำลังช่วยท่านต้อนแกะ?”
ดวงตาสีเทาของโลเฟียร์ที่ซ่อนอยู่หลังกะบังหมวกเหล็กหรี่ลงทันที
“ส่วนคุณก็เป็นตัวตลก”
แฮงแมน? เมื่อได้ยินคำพูดของมิสเตอร์เวิร์ล เดอร์ริคแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
ตอนแรกมันคิดว่าอาวุโสโลเฟียร์มีส่วนเกี่ยวข้องกับมิสเตอร์แฮงแมนแห่งชุมนุมทาโรต์ แต่ภายหลังหันไปฉุกคิดถึงรูปลักษณ์ของพระผู้สร้างเสื่อมทราม – ชายเปลือยที่ถูกแขวนกลับหัวบนไม้กางเขน
มิสเตอร์เวิร์ลเรียกพระผู้สร้างเสื่อมทรามว่าแฮงแมน เป็นเหตุให้อาวุโสโลเฟียร์ตอบโต้กลับไปด้วยความโกรธ? เดอร์ริคที่เพิ่งมีส่วนสูงพ้นสองเมตรได้ไม่นาน พยักหน้าพลางชื่นชมในความกล้าของมิสเตอร์เวิร์ลจากก้นบึ้งหัวใจ
ชายคนนี้กล้าตั้งชื่อเล่นให้เทพแท้จริง แถมยังเรียกออกมาต่อหน้าสาวก!
โคลินมองเกอร์มัน·สแปร์โรว์สลับกับโลเฟียร์ จากนั้นก็กล่าวต่อโดยไม่สนใจว่าใครถูกใครผิด:
“ไปต่อกันเถอะ”
ปัจจุบันมันชักดาบทั้งสองเล่มออกมาและฉาบไว้ด้วยแสงรุ่งอรุณ
“ไม่มีปัญหา” ไคลน์ยิ้มพลางเดินนำครึ่งเทพทั้งสามของเมืองเงินพิสุทธิ์ไปทางฝั่งซ้ายของบันไดหินมหึมา
เดินไปได้สักพัก พวกมันได้พบกับเส้นทางขรุขระที่คุ้นเคย ฝั่งหนึ่งเป็นหน้าผาสูงชัน อีกฝั่งเป็นเมฆอาบแสงอาทิตย์ยามเที่ยง
ทันใดนั้นเอง ไคลน์และทุกคนสัมผัสถึงการสั่นสะเทือนได้จากพื้นดิน พวกมันหันไปเห็นแก๊สสีดำสนิทพวยพุ่งขึ้นมาจากส่วนลึกของเมฆทอง
ท่ามกลางเสียงอึกทึก เส้นทางขรุขระทรุดตัวและถล่มลงไปใน ‘ผิวน้ำ’ ที่มืดสนิท
ใต้ผิวน้ำดังกล่าวคล้ายกับมีวังวนล่องหนซ่อนอยู่
“ฮะฮะ! ทางเดินถล่ม… ฮะฮะ! ทางหายไปแล้ว!” ไคลน์งอตัวหัวเราะเสียงดัง ทำเอาโคลิน เดอร์ริค และโลเฟียร์พากันตึงเครียด
ใช้เวลาหลายวินาทีกว่าไคลน์จะควบคุมสติได้ มันเหยียดตัวตรงพลางนำแผ่นกระดาษสีขาวออกจากกระเป๋าเสื้อด้วยรอยยิ้มเปื้อนหน้า จากนั้นก็พับให้เป็น ‘เครื่องบิน’
ฟู่ว! ชายหนุ่มเป่าลมใส่ส่วนหัวเครื่องบินกระดาษ ตามด้วยสะบัดแขนขว้างมันไปยังเมฆที่ถูกความมืดกลืนกิน
ในเวลาเดียวกัน ถุงมือข้างซ้ายปกคลุมไปด้วยเกล็ดปลามันเลื่อม
ได้เห็นฉากตรงหน้า โคลินที่ฉงนเล็กน้อยในตอนต้นเริ่มจ้องเครื่องบินกระดาษอย่างตั้งใจ
สายลมกระโชกพัดผ่านและช่วยพยุงให้เครื่องบินกระดาษร่อนไปข้างหน้าหลายวินาที
จากนั้น สายลมสลายตัวกะทันหัน ส่งผลให้เครื่องบินกระดาษพุ่งหัวปักบนเมฆมืดโดยไม่เกิดแรงกระเพื่อมใด
“ดูเหมือนว่าพลังที่เกี่ยวกับการบินจะใช้ไม่ได้” ไคลน์หันมายิ้มให้เดอร์ริคและทุกคน
โลเฟียร์ไม่ตอบสนอง เพียงปลดปล่อยดวงวิญญาณโปร่งแสงออกไปห่อหุ้มก้อนกรวดบนพื้น
กรวดก้อนดังกล่าวหายไปในพริบตา เป็นการ ‘บลิงค์’ ไปยังตำแหน่งเหนือเมฆมืด จากนั้นก็ร่วงหล่นเข้าไปในกลุ่มเมฆอย่างมิอาจควบคุม
“เทเลพอร์ตก็ไม่ได้ผลเช่นกัน” โลเฟียร์พูดเสียงขรึม
ไคลน์เลื่อนมือมากุมท้อง งอตัวเล็กน้อยและพูดปนขำ
“ดูเหมือนว่าต้องเข้าจากประตูหน้าเท่านั้น”
เดอร์ริคหันหลังทันทีเพื่อเตรียมตัวเดินย้อนกลับ ส่วนโคลินกับโลเฟียร์มองหน้ากันสักพักก่อนจะผงกศีรษะแผ่วเบา
สี่ครึ่งเทพเดินกลับมาถึงบันไดหินสีเทาขนาดมหึมาอีกครั้งและเงยหน้าขึ้น
ด้านบนสุดของขั้นบันไดสูงชันมีกำแพงเมืองเด่นสง่าที่ถูกปกคลุมด้วยรอยไหม้หลายจุด รวมไปถึงร่องรอยของลูกธนูที่ใหญ่เท่าต้นไม้
กึ่งกลางกำแพงวังมีประตูสีเทาน้ำเงินบานใหญ่ที่สูงกว่าสิบเมตร ผิวบางส่วนตอกด้วยหมุดทองคำ
สองฝั่งประตูมีทหารเวรยามตัวสูงกว่าหกเมตร แผ่บรรยากาศคุกคามตลอดเวลา สวมเกราะสีเงินเต็มอัตราศึก ตนหนึ่งถือดาบใหญ่ อีกตนถือขวานยักษ์ ด้านหลังกะบังหมวกส่องแสงสีส้ม
อัศวินสีเงิน!
องครักษ์อัศวินสีเงินสองตน!
โดยไม่มัวรีรอ โคลิน·อีเลียดถอนสายตากลับมาพูดกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์
“ผมจะตรึงไว้ให้หนึ่งตัว รีบจัดการอีกตัวโดยเร็ว”
มันยังไม่แน่ใจความแข็งแกร่งของเกอร์มัน·สแปร์โรว์สักเท่าไร แต่พิจารณาจากความเคารพที่เดอร์ริค·เบเกอร์แสดงออก รวมถึงข้อเท็จจริงที่อีกฝ่ายสามารถเปิดประตูตำหนักบรรทมของราชาคนยักษ์ โคลินประเมินว่าครึ่งเทพข้ารับใช้เดอะฟูลรายนี้ไม่น่าจะอ่อนแอไปกว่าตน
ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์หรือโคลิน·อีเลียดก็ย่อมฆ่าอัศวินสีเงินหนึ่งตนได้ไม่ยากเห็นหากมีการสนับสนุนจากโลเฟียร์และเดอร์ริค เพราะองครักษ์เหล่านี้ไม่เหมือนกับครึ่งเทพลำดับ 3 ตัวจริง เป็นเพียงรูปปั้นปราศจากสติปัญญา
ทันทีที่โคลินกล่าวจบ มันหันไปเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์กุมท้องขำเสียงดัง
“ทำไมถึงต้องจริงจังกับของเล่นสองชิ้นนี้นัก? ถ้าพวกมันยังมีชีวิตอยู่ในฐานะอัศวินสีเงินทรงปัญญา ผมคงเคร่งเครียดแบบที่คุณกำลังทำ… แต่สำหรับตอนนี้… ฮะฮ่าฮ่า! จับตาดูให้ดี”
กล่าวจบ ไคลน์ใช้มือซ้ายที่มีหนอนวิญญาณชอนไชกดลงบนหมวก ตามด้วยเหยียดตัวตรงพร้อมกับเร่งฝีเท้าขึ้นบันได
ทันใดนั้น สายลมกระโชกช่วยพัดร่างชายหนุ่มขึ้นไปยังประตูทางเข้าหลักวังราชาคนยักษ์
ระหว่างทาง ชายหนุ่มเหยียดมือขวาออกไปสะบัดสองสามหนคล้ายกับพยายามดึงบางสิ่งออกจากอากาศ
ในความพยายามครั้งสุดท้าย ไหล่ไคลน์ทรุดลงและค้างไว้ประหนึ่งถูกแช่แข็ง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดถูกดึงออกจากความว่างเปล่า
โคลินที่ต้องการประเมินความแข็งแกร่งของเกอร์มัน·สแปร์โรว์เป็นทุนเดิมย่อมไม่คิดแทรกแซงอีกฝ่าย เพียงส่งสัญญาณให้โลเฟียร์เตรียมสนับสนุนในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน แต่ทันใดนั้นเอง โคลินอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วราวกับได้กลิ่นของบางสิ่ง
สำหรับเดอร์ริค เด็กหนุ่มจ้องมองแผ่นหลังอีกฝ่ายด้วยความชื่นชม โดยเชื่อว่ามิสเตอร์เวิร์ลสามารถจัดการกับองครักษ์สองตนได้ไม่ยากเย็น
………………………