Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1259 : ดินแดนบรรทม
ลุนเบิร์ก สมรภูมิใกล้กับเมืองหลวง
กลุ่มลูกไฟสีแดงจำนวนมากพุ่งผ่านดงซากศพ อาวุธ เลือด และควันโดยการนำทางของหอกเพลิง จนกระทั่งพวกมันปะทะเข้ากับแนวป้องกันที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเรียบง่ายและเกิดระเบิดหลายระลอก
เมื่อเห็นควันพวยพุ่งพร้อมกับเปลวไฟที่ลุกโชน แอนเดอร์สันปัดฝุ่นออกจากมือพลางหันไปยิ้มให้รองหัวหน้าหน่วยด้านข้าง
“ฉันไม่รู้ว่าพวกเราจะยื้อได้อีกนานแค่ไหน… คิดคำสั่งเสียไว้หรือยัง? ฉันช่วยเขียนพินัยกรรมได้นะ”
และเป็นไปตามคาด มันเห็นดวงตาที่โกรธขึ้งของเหล่า ‘ทหาร’ รอบตัวราวกับความคิดของทุกคนกำลังสอดประสาน
แต่ ‘ทหาร’ เหล่านี้มิได้ลงไม้ลงมือ ทำเพียงถอนสายตากลับและมองไปยังทิศทางหนึ่ง
“ไม่ตอบสนองต่อคำยั่วยุของฉัน…” แอนเดอร์สันขมวดคิ้ว “พวกนายกำลังคิดอะไรอยู่ใช่ไหม”
โดยไม่รอให้รองหัวหน้าและ ‘ทหาร’ ตอบ ยอดนักล่ายกมุมปากยิ้มและกล่าวต่อ
“พวกนายคิดจะยอมจำนน… สินะ? เพื่อให้ญาติพี่น้องและผองเพื่อนปลอดภัย”
เมื่อเห็นทุกคนจ้องมองมา แอนเดอร์สันส่ายหน้าพลางรำพัน
“พวกนายเพิ่งเป็นผู้วิเศษได้ไม่นาน… ทุกคนฉวยโอกาสจากสงครามเพื่อรวบรวมวัตถุดิบจากศัตรูและเลื่อนลำดับเป็นนักล่า นักยั่วยุ และนักวางเพลิง… แต่สำหรับนักวางแผน พวกนายยังอ่อนหัด… บางทีฉันก็สงสัย ทำไมพวกนายถึงไม่พยายามโน้มน้าวให้ฉันยอมจำนนไปพร้อมกัน? ฉันมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้มีภาพลักษณ์เข้มงวดขนาดนั้น และไม่ใช่สาวกของโบสถ์ปัญญาความรู้ด้วย”
กล่าวถึงตรงนี้ แอนเดอร์สันชำเลืองไปทางรองหัวหน้าหน่วยด้วยสายตาครุ่นคิด
“หรือเป็นเพราะเบื้องบนของฝั่งศัตรูเกลียดชังฉันมากจนไม่ยอมรับการจำนนจากฉัน?”
รองหัวหน้าหน่วยเงียบไปสักพักก่อนจะพูด
“รู้อยู่แล้วยังจะถามทำไมอีก?”
ฉึบ! ทหารทุกคนในบริเวณใกล้เคียงยกมือขวาขึ้นและเล็งมาทางแอนเดอร์สันโดยพร้อมเพรียง สื่อให้เห็นถึงการมีความคิดเชื่อมโยง
“ถ้าฉันไม่ถามแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าทุกคนมีความคิดเดียวกัน” แอนเดอร์สันยังคงยิ้มโดยไม่ตื่นตระหนก
มันนำมือซ้ายจับท้องและใช้มือขวาล้วงกระเป๋าเสื้อ ไม่มีใครทราบว่ากำลังคลำหาสิ่งใด
ทันใดนั้นเอง ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าพลันขยายใหญ่จนผิดวิสัย แสงแดดสีทองอันเจิดจ้าส่งผลให้แอนเดอร์สันและเหล่าทหารยากจะลืมตา สมองขาวโพลนจนยากจะคิดสิ่งใด
หอคอยมายาขนาดมหึมาปรากฏขึ้นในไม่กี่อึดใจถัดมา ทุกชั้นเกิดจากการเรียงตัวของหนังสือเล่มหนาที่มีดวงตาสีทองเหลืองฝังอยู่ ยิ่งเป็นชั้นที่สูงเพียงใดก็ยิ่งมืดมนมากเท่านั้น หอคอยโดยรวมอัดแน่นไปด้วยออร่าแห่งความบ้าคลั่ง ทำลายล้าง อัปยศ และภัยพิบัติ
หอคอยดังกล่าวเหยียดยาวขึ้นจนสูงเสียดฟ้า เป็นการเสียดแทงท้องฟ้าในความหมายที่แท้จริง ราวกับต้องการจะดูดกลืนโลกทั้งใบไว้ภายในตัวเองโดยไม่เว้นแม่แต่ดวงอาทิตย์ขนาดมหึมา
…
กรุงเบ็คลันด์ ภายในคฤหาสน์ตระกูลโอดรา
ผีดูดเลือดทั้งหมดในเมืองกำลังรวมตัวกันเพื่อเตรียมรับมือกับบทสรุปของสงคราม
เอ็มลิน·ไวท์ผู้กลายเป็นเอิร์ลกำลังยืนริมหน้าต่างเพื่ออาบแสงสีดำผสมส้มจากท้องฟ้าด้านนอก ในท่าสองมือล้วงกระเป๋า สายตาของมันกวาดมองสมาชิกตระกูลที่กำลังถกเถียงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ทันใดนั้นเอง สัมผัสวิญญาณของมันถูกกระตุ้นจนต้องหันออกไปนอกหน้าต่าง
ภายในสวน วัชพืชที่เคยเหี่ยวแห้งกลับมาเขียวชอุ่มอีกครั้งและงอกเงยด้วยความรวดเร็วอันน่าทึ่ง เพียงไม่นานก็มีความสูงเทียบเท่าผู้ใหญ่
ตามจุดต่างๆ ของเมือง ต้นไม้ริมถนนที่ยังไม่ถูกทำลายจากสงคราม พลันงอกงามอย่างบ้าคลั่งประหนึ่งดูดซับแร่ธาตุมหาศาลจากแหล่งนิรนาม
เพียงไม่นานต้นไม้เหล่านี้ก็มีความสูงมากถึงสิบเมตร กิ่งก้านใหญ่หนา ใบไม้บานราวกับร่ม
ต้นไม้ที่สูงตระหง่านเหล่านี้ทยอยงอกเงย พวกมันเชื่อมต่อเข้าด้วยกันและปกคลุมท้องฟ้ากรุงเบ็คลันด์ไปกว่าครึ่ง
อาคารหลายหลังถูกทำลาย หลายหลังถูกโอบล้อมด้วยพืชพรรณและเถาวัลย์ขนาดยักษ์ประหนึ่งเมืองร้างที่ถูกละเลยมาหลายสิบปี
ภายในระยะเวลาเพียงเจ็ดถึงแปดวินาที สถานที่หลายแห่งในกรุงเบ็คลันด์กลายสภาพเป็นป่าดงดิบ
…
หลังจากเดินผ่านประตูที่เปิดอ้าเข้ามายังเขตที่มืดสนิทภายในตำหนักราชาคนยักษ์ ไคลน์รีบตรวจสอบหุ่นเชิดที่เดินนำหน้า ไม้เท้าดวงดาวในมือขวา และยุบพองหิวโหยที่สวมอยู่ข้างซ้าย
ตอนนี้พวกมันยังไม่เกิดการกลายพันธุ์ ด้ายวิญญาณยังคงไม่ถูกทำให้เสื่อมทราม
หลังจากยืนยันสถานการณ์เกี่ยวกับตัวเอง ไคลน์มองไปรอบๆ เพื่อตรวจสอบสภาพแวดล้อม
ที่นี่ถูกปกคลุมด้วยความมืดที่หนาแน่นจนมองไปข้างหน้าได้ไม่เกินห้าเมตร พื้นห้องปูด้วยอิฐสีเทาอ่อนคล้ายกับแสงสนธยาที่แข็งตัว แต่ก็ไม่มีสัญญาณของความผิดปรกติ
มุมปากไคลน์เริ่มยกโค้งหลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็เหยียดแขนออกไปคว้าอากาศโดยหวังจะอัญเชิญเทวทูต
วินาทีต่อมา ชายหนุ่มระเบิดเสียงหัวเราะเนื่องจากสัมผัสได้ว่า ตอนนี้ตนขาดการเชื่อมต่อกับสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์โดยสมบูรณ์
นี่คงเป็นเหตุผลที่ภาพฉายฯ ขาดการติดต่อทันทีที่เข้ามาด้านใน
หัวเราะเสร็จ ไคลน์หันหลังกลับและเดินไปยังบริเวณทางเข้า
“มิสเตอร์เวิ…ส…สแปร์โรว์ คุณคิดจะทำอะไร?” เดอร์ริคที่กำลังตรวจสอบข้อจำกัดของตัวเอง ส่งเสียงถามด้วยความฉงน
ไคลน์ตอบพลางยิ้ม
“ตอนนี้ยังไม่ใช่โอกาสที่เหมาะสมในการสำรวจ… ไว้ผมจะกลับเข้ามาใหม่”
“คุณคิดจะอัญเชิญภาพฉายของลำดับ 4 เพื่อตรวจสอบว่า มันจะถูกทำให้เสื่อมทรามและทรยศคุณไหม… สินะ?” โคลินกล่าวขณะครุ่นคิด
ไคลน์ผายมือซ้าย
“ที่นี่ไม่ได้มีกฎห้ามออกไปหลังจากเดินเข้ามา และห้ามกลับเข้ามาหลังจากออกไปสักหน่อย”
แม้คำพูดของมิสเตอร์เวิร์ลในคราวนี้จะฟังดูประหลาด แต่เดอร์ริคก็ยังมองว่าฟังขึ้น เพราะทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์เองก็เคยทำในสิ่งที่คล้ายกันขณะสำรวจบริเวณโดยรอบ อาศัยการทดสอบง่ายๆ อย่าง ‘เดินเข้า’ และ ‘เดินออก’ สถานที่เดิมหลายครั้ง พวกมันสามารถรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ปัญหาที่ตนกำลังเผชิญได้
โลเฟียร์ไม่คัดค้าน เพราะเธอเองก็มองว่าคงเป็นการดีกว่าหากจะมีเวลาเตรียมความพร้อมเพิ่มเติม
ในการสำรวจที่ผลลัพธ์คือตัวกำหนดชะตากรรมของเมืองเงินพิสุทธิ์ ทุกสิ่งต้องรัดกุมและรอบคอบที่สุด
หลังจากเดินกลับไปไม่กี่ก้าว ไคลน์ชะงักฝีเท้าและหัวเราะเสียงดัง
“ดูเหมือนว่าเจ้าถิ่นจะไม่ต้องการให้เราออกไป…”
แสงสว่างที่เคยเจือจางบริเวณประตูทางเข้า ยามนี้ถูกความมืดมิดกลืนกินโดยสมบูรณ์
โคลิน·อีเลียดมองไปรอบตัวและพูด
“เรามีแต่ต้องตรงไป”
เมื่อพบว่ามิสเตอร์เวิร์ลและเจ้าเมืองหันหลังกลับพร้อมกัน เดอร์ริคสูดลมหายใจยาวพร้อมกับยกแขนซ้ายเพื่อสร้างแสงสีทองที่มอบความสว่างไสวให้กับบริเวณข้างเคียง
ภาพแรกในการมองเห็นคือเสาหินต้นใหญ่ที่มองไม่เห็นปลายยอด มีห้าถึงหกต้นอยู่ไม่ไกลจนเห็นเค้าโครงได้คมชัด ส่วนที่เหลือจะมองเห็นแค่ตำแหน่งอย่างเลือนราง
เดอร์ริคถอนสายตากลับและเตรียมเดินตามมิสเตอร์เวิร์ลกับเจ้าเมือง
แต่ทันใดนั้นเอง เด็กหนุ่มกลับมองไม่เห็นร่างอันคุ้นเคยที่ควรจะยืนอยู่ในตำแหน่งหางตา
รูม่านตาเดอร์ริคพลันเบิกกว้าง มันรีบหันหน้าไปทางอาวุโสโลเฟียร์ที่เคยยืนข้างๆ ตนจนถึงเมื่อครู่
แล้วก็ได้พบว่า ครึ่งเทพผู้ศรัทธาพระผู้สร้างแท้จริงได้อันตรธานหายไป! หายไปอย่างไร้ร่องรอย!
ไคลน์และโคลินสังเกตเห็นความผิดปรกติของเดอร์ริคทันที จึงรีบหันกลับไปมองเด็กหนุ่มและพบว่าโลเฟียร์ผู้แต่งกายในชุดคลุมสีดำปักลวดลายสีม่วง หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยประหนึ่งระเหยไปในอากาศ
แม้จะอาศัยสัมผัสวิญญาณของนักทำนายและพลังการตรวจจับของนักล่าปีศาจ แต่พวกมันไม่พบสาเหตุหรือเบาะแสที่ทำให้โลเฟียร์หายตัวไป
มุมปากไคลน์ยกโค้งอย่างมิอาจควบคุม โดยปราศจากความลังเล ชายหนุ่มรีบ ‘คิด’ เพื่อส่งตัวเองกลับไปยังปราสาทต้นกำเนิดและผสานเข้ากับร่างมายาสีแดงในตำแหน่งเดอะฟูล
มันจ้องเข้าไปในดาวแดงตัวแทนเดอะซันทันที โดยหวังจะใช้ตาทิพย์ค้นหาข้อเท็จจริง
ทว่า ทุกสิ่งยังคงถูกปกคลุมด้วยความดำมืด เฉกเช่นที่ไคลน์เคยคาดการณ์ไว้ก่อนจะเดินผ่านประตูเข้ามา
ไคลน์รีบส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริงโดยไม่มัวมากพิธี
แต่ผ่านไปเพียงไม่ถึงสามวินาที รอบกายชายหนุ่มกลับเหลือแค่เดอร์ริคและหุ่นเชิดอัศวินสีเงิน
เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ที่สวมชุดเกราะสีเงินหายตัวไปแล้ว!
“เกิดอะไรขึ้น?” ไคลน์ยิ้มถาม
เดอร์ริคชำเลืองมาทางชายหนุ่มด้วยท่าทีตกตะลึง สับสน และตื่นตระหนก:
“คุณไม่เห็นหรือ?”
ทันทีที่สิ้นเสียง เงาดำใต้ฝ่าเท่าเดอร์ริคเกิดมีชีวิตขึ้นมากะทันหัน มันขยายขนาดและโอบกอดเดอร์ริคกับแสงอาทิตย์ที่เด็กหนุ่มปลอดปล่อย
เมื่อร่างกายเดอร์ริคถูกปกคลุมโดยสมบูรณ์ เงาดำได้ผสานเป็นเนื้อเดียวกับความมืดรอบข้างจนแยกไม่ออก
ไคลน์ที่ถือไม้เท้าดวงดาวมาตั้งแต่แรกเพื่อเตรียมรับมือกับความผิดปรกติ มิได้พยายามทำสิ่งใดเพื่อช่วยเหลือเหล่าคนที่หายไป เพียงเฝ้ามองอย่างเงียบงันพลางฉีกยิ้มกว้างบนใบหน้า
ผ่านไปไม่กี่วินาที ไคลน์ตระหนักว่าร่างกายของตนเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ายกับถูกความมืดมิดรอบตัวหลอมละลาย
ไคลน์ไม่พยายามช่วยเหลือตัวเอง ยังคงเอาแต่ยิ้มและส่ายหน้าแผ่วเบา
หลังจากร่างกายหายไปจากตำแหน่ง ทัศนวิสัยของชายหนุ่มพลันแปรเปลี่ยน
ความมืดมิดรอบตัวสลายไปในพริบตา ไม่ว่าจะพื้นอิฐสีเทา ผนังโดยรอบ และเสาหินต้นใหญ่ล้วนปรากฏในสายตาไคลน์ด้วยความคมชัด แต่หลายจุดยังดูเหมือนถูกเงาแผ่นบางปกคลุม
แม้ด้านนอกหน้าต่างจะปราศจากดวงอาทิตย์ พระจันทร์ และดวงดาว แต่กลับมีแสงสว่างส่องผ่านเข้ามาและมอบบรรยากาศดำมืด ชั่วร้าย และว่างเปล่า
ในส่วนลึกสุดของตำหนักมีแผ่นเงาจางที่ดูคล้ายกับผ้าม่าน
โลเฟียร์ โคลิน และเดอร์ริคยังคงยืนอยู่ในจุดเดิมที่ไม่ห่างจากตน ทุกคนกำลังสำรวจรอบตัวอย่างละเอียดประหนึ่งถูกส่งมายังต่างโลก
“น่าเสียดายที่หุ่นเชิดของผมเข้ามาไม่ได้” ไคลน์โบกไม้เท้าดวงดาวพลางส่งยิ้มให้เดอร์ริคและอีกสองคน
ท่าทีผ่อนคลายของไคลน์และบุคลิกสุขุมของเจ้าเมืองช่วยให้เดอร์ริคสงบใจได้รวดเร็ว ไม่ปล่อยให้ความกลัวและตื่นตระหนกเป็นตัวฉุดรั้ง
โคลิน·อีเลียดพยักหน้ารับเล็กน้อย แต่ก่อนที่จะได้แบ่งปันความเห็น มันสัมผัสถึงบางสิ่งจนต้องรีบมองเข้าไปในส่วนลึกสุดของตำหนัก
ไคลน์ เดอร์ริค และโลเฟียร์ล้วนทำแบบเดียวกัน
ในส่วนลึกสุดของตำหนัก เงาที่ส่องส่องแสงพลันหดตัวและเลือนหายไป เผยให้เห็นบันไดขนาดมหึมาที่สร้างให้คนยักษ์ใช้งาน รวมถึงบัลลังก์เหล็กดำที่ด้านบนสุด
บุคคลที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เป็นชายผมดำยาวประบ่าและม้วนงอเล็กน้อย ดวงตาถูกเงาดำปกปิด รูปลักษณ์พร่ามัวจนยากจะจำแนก ปีกสีดำหลายคู่จากแผ่นหลังโน้มลงมาโอบกอดร่างกายไว้เกือบทุกส่วน แต่งกายด้วยชุดคลุมสีดำปักลวดลายและอักขระด้วยด้ายเงิน บางจุดของชุดคลุมมีเครื่องประดับหรูหราห้อยลงมา
ชายคนดังกล่าวกำลังใช้ศอกซ้ายยันที่พักแขน และใช้ฝ่ามือข้างเดียวกันรองแก้มในสภาพหลับลึก
…………………………