Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1263 : พิทักษ์ครั้งสุดท้าย
หลังจากชะงักไปเล็กน้อย แสงสีเงินสว่างของมหาสมุทรสายฟ้าเริ่มแผ่มาปกคลุมบาเรียล่องหนที่ช่วยปกป้องโคลิน เดอร์ริค และโลเฟียร์
บาเรียที่คอยต้านรับอสรพิษสายฟ้าสีเงินเริ่มสั่นสะเทือนรุนแรง รอยปริแตกที่คล้ายกิ่งไม้เริ่มปรากฏบนบาเรียจนเกิดคำถามว่าพวกมันจะต้านรับการโจมตีได้อีกนานแค่ไหน
ทันใดนั้นเอง ไคลน์ที่แต่งกายด้วยหมวกทรงกึ่งสูงและชุดกันลมสีดำ โผล่ขึ้นด้านหลังเทวทูตมืดซาสเรียในจุดที่ไม่ถูกปกคลุมโดยผืนป่าสายฟ้า
มันเป็นราวกับเครื่องจักรที่แม่นยำและไร้หัวใจ โดยปราศจากความลังเล ไคลน์กระแทกปลายไม้เท้าดวงดาวใส่ด้านข้างของวิญญาณมารประเภทพิเศษ ตามด้วยการจินตนาการข้อมูลพลังบางชนิดไว้ในหัว
ก่อนหน้านี้ไคลน์เคยลองทดสอบแล้ว ภายในวังราชาคนยักษ์ไม่สามารถ ‘ท่องเที่ยว’ ได้ไกลนัก หากต้องการเคลื่อนย้ายตำแหน่งต้อง ‘บลิงค์’ ระยะสั้นหลายครั้งแทน ไคลน์จึงละทิ้งความคิดที่จะส่งเทวทูตมืดออกไปนอกวังราชาคนยักษ์และขโมยศิลาเย้ยเทพ จากนั้นก็หลบหนีด้วยการเปิดประตูด้านหลัง
เมื่ออัญมณีบนหัวไม้เท้าทยอยส่องแสง ดวงตาที่ลุกไหม้ด้วยเปลวไฟสีดำของซาสเรียพลันปิดสนิท
มันถูกไคลน์ลากเข้าสู่ความฝัน!
เดิมทีนี่คือพลังพิเศษลำดับ 7 ของเส้นทางรัตติกาล แต่พลังที่ไคลน์เลียนแบบนั้นมาจากการใช้งานของบริวารอำพรางอาเรียนน่า ประมุขแห่งสำนักชีรัตติกาล เป็นพลังสำหรับลากเป้าหมายเข้าสู่ความฝันในระดับเทวทูต!
ในโลกความฝันอันพร่ามัว เทวทูตมืดซาสเรียที่แต่งกายในชุดคลุมสีดำปักลวดลายซับซ้อนและติดเครื่องประดับหลายชิ้น ปรากฏตัวท่ามกลางดินแดนอันรกร้าง
ดวงตาของมันยังคงเย็นชา แตกต่างจากดวงตาเหม่อลอยที่ผู้วิเศษปรกติมักเป็นขณะถูกลากเข้าความฝัน
เส้นทางผู้ชมเองก็เป็นหนึ่งในเส้นทาง ‘ทะเลแห่งความโกลาหล’ และลำดับ 5 กับลำดับ 3 ก็มีชื่อว่า ‘นักท่องฝัน’ และ ‘นักสานฝัน’ !
ผ่านไปสักพัก ดวงตาของซาสเรียแปรเปลี่ยนเป็นสีทอง รูม่านตากลายเป็นทรงรีแนวตั้ง
‘ม่าน’ สีดำผืนหนาโผล่ขึ้นมาบดบังด้านหน้าซาสเรียจนไคลน์มองไม่เห็นร่างกายที่ใหญ่โตทัดเทียมคนยักษ์
เงาดำบังร่างซาสเรียไว้โดยสมบูรณ์ ยากจะคาดเดาว่าดวงตาสีทองของอีกฝ่ายซ่อนอยู่ในตำแหน่งใดหลังม่าน
ทันใดนั้นเอง ม่านดำแยกออกเป็นสองฝั่ง เผยให้เห็นทะเลที่คล้ายกับอัดแน่นไปด้วยความลับมากมายซึ่งมีสีที่ยากอธิบาย
บึ้ม!
เมื่อไคลน์ที่เป็นเจ้าของความฝันเห็นภาพดังกล่าว สติของมันพลันระเบิดก่อนจะได้คิดวิเคราะห์สิ่งใด คล้ายกับสมองกำลังถูกต้มในน้ำที่เดือดพล่าน
มุมปากไคลน์ขดขึ้นตามสัญชาตญาณ บุคลิกเสมือนที่ถูกสร้างขึ้นเริ่มแหลกสลาย ทันใดนั้น ชายหนุ่มแหกปากกรีดร้องขณะที่หนอนแมลงสีใสทยอยชอนไชออกจากแก้มซ้ายทีละหนึ่ง ขณะเดียวกัน เนื้อบนแก้มขวาเริ่มยื่นออกมาในลักษณะไม้เลื้อย เหยียดยาวไปหาหนอนวิญญาณบนแก้มฝั่งซ้าย
โลกแห่งความฝันที่ถูกฝืนสร้างขึ้นแตกสลายทันที สติของเทวทูตมืดกลับสู่โลกความจริง
ทว่า ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ซาสเรียถูกลากเข้ามาในความฝัน มหาสมุทรสายฟ้าบนโลกความจริงเริ่มเลือนหาย เปิดโอกาสให้สามครึ่งเทพแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์อย่างโคลิน เดอร์ริค และโลเฟียร์ได้มีโอกาสตอบโต้
โคลิน·อีเลียดเหยียดตัวตรงพร้อมกับแทงดาบรุ่งอรุณในมือขวาไปข้างหน้า เป็นการเทเลพอร์ต ‘เรเพียร์เงิน’ ไปยังตำแหน่งของซาสเรียในพริบตา ทางด้านโลเฟียร์ที่พยายามขัดขืนการครอบงำของเงา ‘ผ้าคลุม’ สั่งให้วิญญาณมารอัศวินสีเงินฟันดาบเสยขึ้นเพื่อสร้างพายุประกายแสง สำหรับเดอร์ริค เด็กหนุ่มควบแน่นหอกเจิดจรัสและแทงใส่เทวทูตมืดจนเกิดเสียงปริแตก
ทันใดนั้น ซาสเรียแผ่แสงสว่างบริสุทธิ์ผุดผ่องออกจากร่างประหนึ่งตัวมันคือสุริยันเจิดจรัสที่เสด็จเยือนลงมา
ท่ามกลางแสงสว่างอันเจิดจ้า หอกเจิดจรัสเริ่มหลอมละลาย พายุแสงเริ่มสงบนิ่ง และลำแสงสีเงินเริ่มจางลง โดยการโจมตีหลังสุดสร้างความเสียหายได้เพียงออร่าของเป้าหมาย มิอาจทำอันตรายใดกับร่างต้น
ฉากที่ดูคล้ายกับเทพเสด็จเยือนสร้างความตกตะลึงให้เดอร์ริคและโลเฟียร์เป็นอย่างมาก พวกมันเกิดความรู้สึกอยากจะก้มศีรษะคำนับอย่างแรงกล้า สำหรับวิญญาณมารอัศวินสีเงิน มันถูกแสงแดดแผดเผาและสลายไปอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น ดวงตาซาสเรียปิดลงอีกครั้ง
ด้านหลังเทวทูตมืด ไคลน์ซึ่งถูก ‘แสงแดดแผดเผา’ เล่นงานจนหนอนวิญญาณเริ่มระเหยออกจากร่าง ยังคงกัดฟันทนความเจ็บปวดอย่างเต็มกลืนพลางเล็งปลายไม้เท้าดวงดาวมายังวิญญาณมารซึ่งเป็นร่างอวตารของราชาเทวทูต
เป็นอีกครั้งที่มันเลียนแบบพลังพิเศษที่ใช้ลากเป้าหมายเข้าสู่ความฝัน!
แต่ไม่เหมือนกับคราวก่อน ทันทีที่ไคลน์เข้าสู่ความฝัน มันระดมพลังปราสาทต้นกำเนิดและเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นบานประตูแห่งแสงที่บางจุดมีสีน้ำเงินเข้ม ประตูแสงดังกล่าวเกิดจากการก่อตัวของลูกบอลแสง โดยที่ในแต่ละลูกมีหนอนโปร่งใสและโปร่งแสงดีดดิ้นอยู่ด้านใน
เฉกเช่นไคลน์ เทวทูตมืดซาสเรียทำการเผยพลังบางส่วนของทะเลแห่งความโกลาหล เริ่มจากการกลายเป็นเงาสีดำหนา จากนั้นก็ทำการเปิด ‘ม่าน’ เพื่ออัญเชิญ ‘ทะเล’ ที่อัดแน่นไปด้วยสีสันและความลับที่มนุษย์อธิบายไม่ได้ให้มาปรากฏภายในความฝัน
ไคลน์และซาสเรียลืมตาขึ้นอย่างเงียบงันในความฝัน จากนั้น ต่างคนต่างพุ่งประจัญเข้าหากันเต็มกำลัง
คนหนึ่งปกคลุมด้วยเงาแผ่นบาง ส่วนอีกคนมีใบหน้าบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด หนอนวิญญาณจำนวนมากกำลังชอนไชออกมาจากร่างกาย
ตอนนี้บุคลิกเสมือนของไคลน์ได้แตกสลายโดยสมบูรณ์แล้ว
ฉวยโอกาสในจังหวะที่ซาสเรียยังไม่กลับเป็นปรกติ โลเฟียร์ซึ่งถูกผ้าคลุมห่อหุ้มร่าง กะพริบดวงตาสีเทาหนึ่งครั้ง จากนั้นร่างกายที่สูงกว่าสองเมตรเริ่มยุบพองและขยายออก ขาทั้งสองข้างที่ปราศจากผิวหนังโดยมีเพียงเลือดสีแดงสดไหลเวียน ย่างกรายไปข้างหน้าพร้อมกับอาศัยกระแสลมช่วยให้กระโจนไปถึงร่างเทวทูตมืด
ดวงตาของหญิงสาวเริ่มเผยความบ้าคลั่ง เกรงว่าอีกไม่นานวิญญาณคงถูกกัดกร่อนจนคลุ้มคลั่งโดยสมบูรณ์
แต่ทันใดนั้นเอง ดวงตาโลเฟียร์เปลี่ยนกลับมาเปี่ยมไปด้วยสติและความมุ่งมั่น
เธอทราบเป็นอย่างดี ตอนนี้ตัวเองกำลังทำอะไร สถานะปัจจุบันเป็นเช่นไร และชะตากรรมจะเป็นอย่างไร
ท่ามกลางเสียงสายลม ร่างที่ปกคลุมด้วยเงาดำของโลเฟียร์ร่อนลงมาประชิดตัวเทวทูตมืด
ก้อนเลือดเนื้อเงาดำที่สูงกว่าสองเมตรเริ่มขยายขนาดจนกระทั่งพันธนาการทั้งสองร่างเข้าด้วยกัน
โคลินทราบเจตจำนงของโลเฟียร์ทันที โดยไม่รอให้อีกฝ่ายตะโกนบอก มันรีบออกคำสั่งด้วยเสียงคำรามต่ำ:
“โจมตี!”
บึ้ม!
ดาบยาวรุ่งอรุณสองเล่มในมือโคลินฟันผ่านห้วงมิติโดยพร้อมเพรียง เกิดเป็นคลื่นแสงสีเงินถาโถมเข้าใส่ร่างเทวทูตมืดและโลเฟียร์ที่กำลังพัวพันกลายเป็นหนึ่ง
ได้ยินคำสั่งจากเจ้าเมือง เดอร์ริคกัดริมฝีปากจนเลือดไหลพร้อมกับกางแขนออกโดยไม่ลังเล
ลูกบอลแห่งแสงที่รายล้อมด้วยเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าจนทำให้ตำหนักที่ปกคลุมด้วยเงาดำพลันสว่างไสว แสงสีขาวบริสุทธิ์แผ่ปกคลุมร่างโลเฟียร์และเทวทูตมืดพร้อมกับหลอมละลายเนื้อหนังของพวกมัน
เพลิงสุริยัน!
ท่ามกลางแสงสว่างเจิดจ้า ดวงตาสีเทาซีดของโลเฟียร์เผยความเจ็บปวดแสนสาหัส จากนั้น เธอเปล่งเสียงอันล่องลอยและกังวาน
“ฉันไม่เคยทรยศเมืองเงินพิสุทธิ์…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เลือดเนื้อและ ‘ผ้าคลุม’ สีดำที่โลเฟียร์ใช้โอบกอดร่างเทวทูตมืดพลันขยายใหญ่
บึ้ม!
ร่างกายที่หมดสภาพของโลเฟียร์กระเด็นออกไปไกลก่อนจะกระแทกพื้น ผ้าคลุมเงาดำฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและร่วงลงมาอย่างเชื่องช้า
เทวทูตมืดซาสเรียกลายร่างเป็น ‘ทะเล’ สีดำเหนียวข้นที่เปี่ยมล้นไปด้วยออร่าเสื่อมทราม ทะเลดังกล่าวทำการดูดกลืนประกายแสงสีเงินและเพลิงสุริยันที่ยังหลงเหลือเข้าไปจนหมด
จากนั้นก็เปลี่ยนกลับไปเป็นรูปลักษณ์เก่า – มนุษย์ที่สูงราวกับคนยักษ์ แต่งกายในชุดคลุมสีดำปักด้ายเงินลวดลายซับซ้อน แต่ปีกสีดำบนแผ่นหลังบางลงจากเดิมมาก
ทันใดนั้น ดวงตาของมันแปรเปลี่ยนเป็นสีทอง รูม่านตากลายเป็นทรงรีแนวตั้ง
พายุลมกระโชกล่องหนโผล่ขึ้นรอบตัวซาสเรีย จากนั้นก็พัดพาห้วงความคิดอันเข้มข้นไปยังทุกซอกมุมตำหนัก
ช่วงชิงจิตใจ!
หอกเจิดจรัสที่เดอร์ริคพยายามควบแน่นอีกครั้งพลันเลือนหาย เด็กหนุ่มทำได้เพียงยืนแน่นิ่งในตำแหน่ง สำหรับโคลิน แม้มันจะมีจิตใจเข้มแข็ง แต่ก็ยังต้องเผชิญกับความบ้าคลั่ง ป่าเถื่อน กระหายเลือด ที่มีบ่อเกิดจากการเผยร่างสัตว์ในตำนาน สิ่งเดียวที่ทำได้คือการรีบเบี่ยงเบนสมาธิไปทางอื่น ไม่อย่างนั้นอาจคลุ้มคลั่งโดยสมบูรณ์ในอีกไม่กี่วินาทีถัดไป สำหรับไคลน์ แม้จะฟื้นฟูหนอนวิญญาณกลับเข้าร่างได้หลายส่วน แต่มันก็ยังต้องเผชิญความหวาดกลัวอย่างท่วมท้นที่นำพามาโดย ‘ช่วงชิงจิตใจ’ ร่างกายชายหนุ่มสั่นสะท้านจนยากที่จะใช้งานไม้เท้าดวงดาวได้ถนัดมือ
ร่างกายโลเฟียร์กำลังทรุดโทรมสุดขีด และประกอบกับการที่ดวงวิญญาณถูกกัดกร่อนไปเกือบหมด ยิ่งเป็นการยากที่เธอจะฟื้นฟูกลับมาได้ หญิงสาวทำได้เพียงกลิ้งไปบนพื้นด้วยความทุรนทุรายจนเกิดเป็นเมือกเลือดสีแดงข้น
ทันใดนั้นเอง เทวทูตมืดซาสเรียยกมือซ้ายขึ้น ดวงตาสีทองของมันถูกแทนที่ด้วยดวงอาทิตย์ขนาดย่อมสองดวง
ลำแสงเส้นแล้วเส้นเล่ากระหน่ำยิงใส่ร่างกายโลเฟียร์จากด้านบน ทำลายดวงวิญญาณและแผดเผาร่างเนื้อของหญิงสาว
ออร่าของโลเฟียร์เลือนหายอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีเทาซีดสูญเสียความแวววาว
ศพของเธอที่กลายเป็นก้อนเลือดเนื้อเริ่มขดงอ ท่อนแขนไร้ผิวหนังที่ชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงขยับเพื่อโอบกอดกะโหลกศีรษะมนุษย์ ‘บนหน้าอก’ และกดเข้าไปในร่างกาย
ท่ามกลางการโหมกระหน่ำจาก ‘แสงแดด’ และเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่แผดเผา โลเฟียร์ยังค้างอยู่ในท่าเดิมไม่แปรเปลี่ยน ไม่อนุญาตให้กะโหลกศีรษะมนุษย์สีขาวได้รับความเสียหายใด
ลำแสงอีกหนึ่งเส้นถูกยิงลงมาเพิ่ม โลเฟียร์อดไม่ได้ที่จะร่างกายสั่นกระตุก แต่ในท้ายที่สุดก็ยังคงสภาพในท่าขดตัวเอาไว้
ผ่านไปสักพัก ก้อนเลือดเนื้อที่บิดเบี้ยว น่าขยะแขยง และยุบพองตลอดเวลาได้ไหลลงมาปกคลุมกะโหลกศีรษะมนุษย์ที่มีสภาพหมองหม่นและทรุดโทรม จากนั้นก็หยุดความเคลื่อนไหวโดยสมบูรณ์
ระหว่างที่เทวทูตมืดกำลังเข่นฆ่าโลเฟียร์ ไคลน์อาศัยความพิเศษส่วนตัวและประสบการณ์ในอดีตเอาชนะความหวาดกลัวอันเกิดจากผลของ ‘ช่วงชิงจิตใจ’ แต่ภายในใจอดไม่ได้ที่จะเกิดความสิ้นหวัง
ทั้งที่พวกมันพยายามอย่างสุดความสามารถ แต่กลับสร้างบาดแผลให้เทวทูตมืดได้เพียงรอยขีดข่วน มิหนำซ้ำปัจจุบันยังมาเสียเทวทูตไปอีกหนึ่งคน สถานการณ์หลังจากนี้คงมีแต่จะยิ่งแย่ลง
ต้องทำยังไง… ขณะไคลน์ใช้ยุบพองหิวโหยเปลี่ยนตำแหน่ง สมองของมันรีบคิดหาจุดอ่อนของศัตรู
แก่นแท้ของมันคือวิญญาณมาร… วิญญาณมาร… เมื่อไคลน์หายตัวมาโผล่ในตำแหน่งอื่น มันฉุกคิดบางสิ่งได้พร้อมกับจ้องไปทางแผ่นศิลาบนบัลลังก์เหล็กดำ!
วิญญาณมารบางตนอาจมีตะกอนพลัง แต่เกือบทั้งหมดจะไม่มี พลังวิญญาณของพวกมันมาจากแหล่งอื่นเช่นโลกวิญญาณ วิญญาณมารสามารถดำรงอยู่ได้โดยการพึ่งพาสิ่งยึดเหนี่ยว อาจเป็น ‘เขตแดน’ ที่มันถือกำเนิดหรือบางสิ่งที่สำคัญเป็นพิเศษ หลักการพื้นฐานก็คือ วิญญาณมารจะใช้สิ่งดังกล่าวเป็นสื่อกลางในการติดต่อกับโลกวิญญาณและดึงพลังออกมาใช้เพื่อดำรงตัวตน
แล้ววิญญาณมารตรงหน้าที่ถือกำเนิดจากจิตตกค้างของเทวทูตมืดและอาจผสมผสานเข้ากับ ‘มหาต้นกำเนิด’ เล็กน้อย นำพลังมาจากไหน?
ที่นี่คือดินแดนเทพทอดทิ้งที่ถูกตัดขาดจากโลกวิญญาณและยากจะใช้พลังบางชนิดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไคลน์สามารถใช้พลังเทเลพอร์ตได้เพราะอาศัยความพิเศษของอาณาจักรแห่งเทพ แต่วังราชาคนยักษ์ย่อมไม่มีทางให้วิญญาณมารยืมใช้พลังของเส้นทางผู้ชม สุริยัน แฮงแมน นักอ่าน และทรราชได้แน่ และคุณสมบัติพิเศษที่เคยเป็นของเทวทูตมืดซาสเรีย ปัจจุบันดำรงอยู่กับพระผู้สร้างแท้จริง ซึ่งไม่ใช่ที่นี่เช่นกัน
ดังนั้น คำตอบของปริศนาที่ว่าวิญญาณมารนำพลังมาจากไหนจึงไม่ซับซ้อน:
ทะเลแห่งความโกลาหล!
และในตำหนักเงาแห่งนี้ สิ่งเดียวที่เกี่ยวข้องกับทะเลแห่งความโกลาหลคือศิลาเย้ยเทพ!
เมื่อไคลน์หันไปมองบัลลังก์เหล็กดำ ชายหนุ่มพบว่าโคลิน·อีเลียดเองก็กำลังจ้องไปทางเดียวกัน
……………………