Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1267 : ยินดีต้อนรับ
ด้านหลังประตูสีเทาน้ำเงินที่เปิดกว้าง บันไดหินลาดยาวเป็นทางลง ทะเลสีทองและแสงพร่างพราวสว่างเข้ามาในการมองเห็นของบรรดาชาวเมืองเงินพิสุทธิ์อย่างลีอาวาลและแคนดิสอีกครั้ง
ในฐานะสมาชิกทีมเบิกทางชุดก่อน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกมันได้เห็นฉากตรงหน้า แต่กระนั้นกลับยังตกตะลึงไปถึงดวงวิญญาณจนเผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
เดอร์ริคถือค้อนยักษ์เทพสายฟ้าคำรามยืนอยู่ด้านหน้าสุด ส่วนสูงสองเมตรกว่า ไหล่กว้างบึกบึน บรรยากาศเงียบขรึม
ผ่านไปเกือบหนึ่งนาที ลีอาวาลถามหยั่งเชิง
“ท่านอาวุโสเบเกอร์ พวกเราจะได้ออกไปเมื่อไร”
มันคือลำดับ 5 ‘ผู้พิทักษ์’ เจ้าของส่วนสูงสองเกือบสองเมตรครึ่ง ผู้มีอัตราส่วนของมือและเท้าผิดไปจากปรกติเล็กน้อย
เดอร์ริคจ้องคลื่นทะเลที่มีจุดสีทองนานหลายวินาทีก่อนจะกล่าว
“รอก่อน”
ปัจจุบันผ่านไปแล้วหลายวันนับตั้งแต่ประตูถูกเปิดออก เด็กหนุ่มนำทีมสำรวจกลับไปยังเมืองเงินพิสุทธิ์พร้อมกับเถ้ากระดูก ตะกอนพลัง และสมบัติปิดผนึกของเจ้าเมืองและอาวุโสโลเฟียร์ จากนั้นก็ใช้ความลับเพื่อสร้างความไว้วางใจจากเจ้าเมืองคนใหม่ ฮอยต์·เฌอมงต์
คราวนี้ เดอร์ริคนำทางผู้วิเศษของเมืองเงินพิสุทธิ์ยี่สิบคนมาเป็นทีมบุกเบิกเพื่อค้นหาเส้นทางที่ปลอดภัยและยืนยันสถานการณ์ของโลกภายนอก
สำหรับเรื่องนี้ เด็กหนุ่มปฏิเสธข้อเสนอของมิสเตอร์เวิร์ลที่จะย้ายชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ทั้งหมดออกจากดินแดนเทพทอดทิ้งทันทีด้วยไม้เท้าดวงดาว แต่เลือกเส้นทางเดินเท้าเพื่อแสวงหาความหวัง พลางรำลึกถึงสิ่งที่เมืองเงินพิสุทธิ์ต้องประสบพบเจอกว่าสองพันปี จนกระทั่งได้พบกับ ‘รุ่งอรุณ’ ที่ตามหามาแสนนาน
ได้ยินคำตอบจากอาวุโสเดอร์ริค ลีอาวาล แคนดิส และสมาชิกคนอื่นของทีมบุกเบิกไม่กล่าวคำใด เพียงก้าวถอยหลังและชมทิวทัศน์ต่อไป
พวกมันยังคงไม่เชื่อใจเดอร์ริคเต็มร้อย เพราะอย่างไรก็ดี อาวุโสใหม่รายนี้สนิทสนมกับคนนอก และเจ้าเมืองกับอาวุโสโลเฟียร์ต่างก็เสียชีวิตไปในภารกิจสำรวจครั้งล่าสุด หากไม่ใช่เพราะหกสภาอาวุโสแสดงความเชื่อใจ คนที่เหลือคงทำตัวเป็นศัตรูและเผยท่าทีต่อต้านอย่างชัดเจน
หลังจากผ่านไปสักพัก ทะเลสีทองพลันถูกปกคลุมด้วยความมืด
ณ ส่วนลึกสุดของความมืด ทุกคนมองเห็นสายหมอกเจือจาง ภายในหมอกมีวิหารสีดำที่มียอดแหลมและอาคารหลายหลัง มอบความรู้สึกกึ่งจริงกึ่งมายาแก่ผู้พบเห็น
เดอร์ริคและคนที่เหลือไม่ประหลาดใจกับความมืด ร่างกายเด็กหนุ่มส่องสว่างในทันที ส่วนคนที่เหลือต่างจุดเทียนไข เป็นการลงมืออย่างคล่องแคล่วโดยปราศจากความแตกตื่น
เมื่อสมาชิกยี่สิบเอ็ดคนถูกปกคลุมโดยแสงสว่าง พวกมันเฝ้ามองเมืองในม่านหมอกและผู้คนที่เดินผ่านไปมาโดยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
นี่ไม่ใช่ความมืดที่พวกมันคุ้นเคย
ทันใดนั้นเอง เดอร์ริคที่เปล่งแสงธรรมชาติออกจากร่างกาย ยกมือซ้ายขึ้นพลางกล่าวเสียงต่ำ
“ออกเดินทางได้”
โดยไม่รอให้สมาชิกในทีมตอบสนอง มันเดินนำทุกคนผ่านประตูลงไปตามบันไดหินด้านนอก บรรจงย่างกรายไปสู่ความมืดทีละขั้น
ลีอาวาล แคนดิส และคนที่เหลือมองหน้ากันก่อนจะกัดฟันเดินตามอาวุโสคนใหม่ เดอร์ริค·เบเกอร์ออกจากตำหนักราชาคนยักษ์
ท่ามกลางความมืดมิด เมื่อพวกมันเดินลงจากบันไดสำเร็จ ฉากตรงหน้าคือแสงสีส้มและอารามสีดำ
“นี่คือโลกภายนอก?” แคนดิสมองไปรอบตัวด้วยความระแวงเจือสงสัย เธอรู้สึกราวกับตนและคนที่เหลือหลงเดินมายังอีกฟากหนึ่งของวังราชาคนยักษ์โดยไม่รู้ตัว และกำลังถูกทะเลหมอกสีส้มอมแดงตัดขาดจากตำแหน่งเมื่อครู่
“ไม่ใช่” เดอร์ริคเปรียบเทียบสภาพแวดล้อมปัจจุบันกับคำอธิบายของมิสเตอร์เวิร์ลและมาดามเฮอร์มิท จากนั้นก็พยักหน้าและกล่าว “พวกเราต้องรอที่นี่สักพัก เชิญพวกคุณหาไปหาจุดพักผ่อน”
ผู้เจิดจรัสที่ไม่หลงเหลือบรรยากาศของ ‘เด็ก’ คอยจัดแจงทุกสิ่งอย่างสุขุม
ลีอาวาลมองไปทางอารามสีดำที่ประตูปิดสนิท ตามด้วยถามเจือสงสัย
“ไม่ใช่ว่าต้องสำรวจที่นี่เพื่อค้นหาทางออกหรอกหรือ”
“ไม่จำเป็น” เดอร์ริคส่ายหน้า
สมาชิกของทีมบุกเบิกไม่ถามเพิ่มเติมหรือแยกย้ายไปพัก เพียงยืนรอด้วยความอดทน
เมื่อเวลาผ่านไป แสงอาทิตย์อันเจิดจ้าพลันส่องเข้ามาในโลกเบื้องหน้า ฉาบทุกสิ่งให้สว่างไสวด้วยสีขาว แต่จากนั้นก็จางลงและเลือนหาย
เดอร์ริค แคนดิส และคนที่เหลือมองไปรอบตัวตามสัญชาตญาณจนกระทั่งพบทะเลสีทองอีกครั้ง ทันใดนั้นก็สัมผัสถึงออร่าอันน่าสะพรึงที่ทำให้ทุกคนไม่กล้าจ้องมองโดยตรง
แต่แตกต่างจากคราวก่อน ตอนนี้พวกมันอยู่บนเกาะ ด้านหลังเป็นกระจุกพืชประหลาดสีทองที่มีหน้ายิ้ม บรรยากาศอันปราศจากความเสื่อมทรามและกลายพันธุ์โดยสิ้นเชิง ทำให้สมาชิกทีมบุกเบิกของเมืองเงินพิสุทธิ์สัมผัสถึงความสุขของชีวิต
พวกเราออกมาแล้วจริงๆ … เป็นโลกที่ต่างออกไป… ลีอาวาล แคนดิส และคนที่เหลืองพลันถอนหายใจหนักแน่น
พวกมันยืนยันเรื่องหนึ่งได้ทันที:
อาวุโสเดอร์ริคมิได้ทรยศเมืองเงินพิสุทธิ์ การร่วมมือกับคนนอกมีจุดประสงค์เพื่อนำทางทุกคนออกจากดินแดนต้องสาป
“อาวุโสเบเกอร์…” แคนดิสพึมพำ “ขอบคุณค่ะ”
เดอร์ริคพยักหน้าในท่ายืนหลังตรง
ลีอาวาลที่มิได้กำลังทำหน้ารู้สึกผิดเหมือนแคนดิสและคนอื่น มองไปรอบตัวก่อนจะถาม:
“อาวุโสเดอร์ริค พวกเราจะออกจากที่นี่ได้ยังไง? ต่อเรือ?”
วลี ‘ต่อเรือ’ ถูกเขียนไว้เฉพาะในหนังสือประวัติศาสตร์ จึงเป็นคำที่ค่อนข้างแปลกหู
“แต่ที่นี่ไม่มีวัสดุสำหรับต่อเรือ…” แคนดิสและคนที่เหลือมองสำรวจไปรอบเกาะเล็กๆ แห่งนี้ แต่ก็ไม่พบต้นไม้หรือพืชชนิดอื่น
เดอร์ริคส่ายหน้าอีกครั้ง
“ไม่จำเป็น แค่รออีกสักครู่…”
ยังไม่ทันจบประโยค มันเห็นเงาดำโผล่ขึ้นจากเส้นขอบฟ้า
เงาดำขยายขนาดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แล่นมาตามน่านน้ำปลอดภัยระหว่างจุดสีทองบนทะเล
ใช้เวลาไม่นานเงาดังกล่าวก็เผยเค้าโครง เป็นเรือพลังงานผสมที่มีทั้งใบเรือและปล่องควัน กึ่งกลางลำเรือด้านบนมีธงงูทะเลสีฟ้าถูกแขวนไว้
“เรือ?”
“นั่นคือเรือ?”
…
ขณะลีอาวาล แคนดิส และคนที่เหลือตั้งคำถาม พวกมันไม่ลดความหวาดระแวง
เดอร์ริคซึ่งได้รับความรู้พื้นฐานจากชุมนุมทาโรต์และเคยเห็นรูปเรือหลายชนิด พยักหน้ารับพร้อมกับเปล่งเสียง
“ถูกต้อง”
ขณะกล่าว เรือใบแล่นเข้ามาใกล้ทุกขณะ จนกระทั่งเผยให้เห็นบุคคลที่กำลังยืนบนหัวเรือ
อีกฝ่ายเป็นชายเจ้าของคิ้วสีน้ำตาล ดวงตาสีน้ำเงินเข้ม แต่งกายในผ้าคลุมสีดำ มันกระโดดขึ้นไปบนหัวเรือพร้อมกับกางแขนออกเล็กน้อยให้กับชาวเมืองเงินพิสุทธิ์
ได้เห็นฉากตรงหน้า เดอร์ริคที่เงียบขรึมมานานแอบโล่งใจเมื่อตระหนักว่าทุกสิ่งเป็นไปตามคาด ปราศจากอุบัติเหตุ
เดิมทีเดนิสอยากกระโดดลงจากเรือและเดินเข้าไปหาเหล่าสาวกเดอะฟูลพร้อมกับประกาศว่า: ฉันมาโปรดแล้ว! แต่หลังจากเห็นความสูงของชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ มันตัดสินใจทำเพียงยืนนิ่งอยู่ในตำแหน่ง
บนหัวเรือ เดนิสกางแขนออกกว้าง ยิ้มอย่างสงวนกิริยาและกล่าวกับเดอร์ริค
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกที่สว่างไสวตามที่พระองค์สัญญาไว้!”
…
เหนือหมอกสีเทา ภายในวังโบราณ
ไคลน์นั่งบนเก้าอี้พนักสูงของเดอะฟูลพลางเฝ้ามองทีมบุกเบิกของเมืองเงินพิสุทธิ์ผ่านดาวแดงตัวแทนเดอะซัน เตรียมพร้อมรับมือกับเหตุไม่คาดฝันอยู่ตลอดเวลา
เมื่อได้เห็น ‘ประวัติศาสตร์’ ที่ถูกฝุ่นปกคลุมมานานหลายพันปีบรรจบกับ ‘ปัจจุบัน’ และทยอยขึ้นเรือซึ่งจัดหามาโดยรัฐบาลใหม่ของหมู่เกาะรอสต์ จนกระทั่งคนเหล่านั้นเดินทางออกจากน่านน้ำอันตรายของซากสมรภูมิเทพสำเร็จ ไคลน์เผยสีหน้าโล่งใจพร้อมกับวางไม้เท้าดวงดาวและโบกมือเสกวัตถุสองชิ้นให้ลอยเข้าหาตัว
ชิ้นหนึ่งเป็นตะกอนพลังผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ที่สกัดจากม่าน ส่วนอีกชิ้นคือหนอนดวงดาวจากนักบุญเร้นลับ โบทิส
ครุ่นคิดสักพัก ไคลน์เหยียดแขนซ้ายออกไปหยิบของเหลวสีแดงเข้มก้อนใหญ่ออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์
สิ่งนี้คือเลือดของหมาป่าอสูรทมิฬโคทาร์ ปริมาณสามร้อยมิลลิลิตรพอดิบพอดี เป็นหนึ่งในวัตถุดิบเสริมของโอสถผู้ชี้นำปาฏิหาริย์
แน่นอน ในฐานะวัตถุดิบเสริม ประโยชน์ของมันมีเพียงเรื่องเดียว นั่นคือการลดผลข้างเคียงจากตะกอนพลัง รวมถึงป้องกันอิทธิพลลึกลับที่อาจยังหลงเหลือ ดังนั้นจึงไม่สำคัญว่าจะเป็นภาพฉายจากอดีตหรือไม่ เพราะตราบใดที่มันผสมเข้ากับโอสถและถูกดื่ม บทบาทหน้าที่จะถูกคงสภาพไว้จนกระทั่งหมดอายุขัยของภาพฉาย ซึ่งไม่ว่าไคลน์จะเลื่อนลำดับสำเร็จหรือล้มเหลว ภาพฉายก็จะทำงานของมันอย่างดีที่สุด และเมื่อไคลน์กลายเป็นผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ ถึงตอนนั้นเลือดสามร้อยมิลลิลิตรตรงนี้ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
ถัดมา ชายหนุ่มหยิบอีกหนึ่งสิ่งออกจากสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์
หนอนกลางเวลาที่มีหลายปล้อง
เนื่องจากยังคงหวาดผวาต่ออามุนด์ ไคลน์จึงเลือกใช้หนอนกาลเวลาที่พาลีส·โซโรอาสเตอร์มอบให้เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุไม่คาดฝัน
หลังจากเตรียมการเสร็จ ชายหนุ่มเสกหม้อโลหะและโยนเลือดของหมาป่าอสูรทมิฬสามร้อยมิลลิลิตรลงไป จากนั้นก็ใส่หนอนกาลเวลาและหนอนดวงดาวที่ส่องประกายตามลำดับ
ของเหลวสีแดงเข้มในหม้อโลหะเริ่มมืดมน บนผิวอันโปร่งใสมีวังวนหมุนลึกลงไปถึงก้นหม้อ
ไคลน์หยิบตะกอนพลังของผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ขึ้นมาโดยปราศจากความลังเล
รูปร่างคล้ายหัวใจ โปร่งใสประหนึ่งผลึกแก้ว แต่บางครั้งก็มีฟองเล็กๆ ผุดขึ้น แต่ละฟองคล้ายกับบรรจุภาพมายาเอาไว้
เมื่อตะกอนพลังสัมผัสกับของเหลวในหม้อโลหะ มันผสานตัวเองเข้าไปเป็นเนื้อเดียวกันทันที เปลี่ยนให้ความมืดมนเข้มข้นยิ่งขึ้น ดูคล้ายกับดวงตาจำนวนมากลืมขึ้นพร้อมกัน
หลังจากจ้องมองอยู่หลายวินาที ไคลน์เทโอสถผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ลงในขวดแก้วที่เตรียมไว้ จากนั้นก็ส่งไปยังโลกความจริงผ่านพิธีกรรมสังเวยและรับมอบ
บนเกาะร้างในทะเลโซเนีย ไคลน์ที่เพิ่งเทเลพอร์ตมาถึงก้มมองโอสถในมือทันที ภายในใจเกิดความลังเลเล็กน้อย เพราะเมื่อตนกลายเป็นเทวทูตเต็มตัว คงเสี่ยงไม่ได้ที่จะถูกอิทธิพลของตะกอนพลังครอบงำ กลายเป็นคนเย็นชาและโหดร้ายมากขึ้น มองคุณค่าชีวิตอื่นต่ำลง จำเป็นต้องใช้หลักยึดเหนียวในการรักษาความเป็นมนุษย์
ผลข้างเคียงในคราวนี้มิใช่สิ่งที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยเทคนิคสวมบทบาทเหมือนกับที่ผ่านมา แม้กระทั่งจักรพรรดิโรซายล์ที่ดำเนินชีวิตผู้วิเศษอย่างราบรื่นมาตลอด ก็ยังเกือบคลุ้มคลั่งและกลายพันธุ์เมื่อครั้งเลื่อนเป็นเทวทูตลำดับ 2
สำหรับเทวทูตที่ไคลน์รู้จัก ภายนอกอาจดูปรกติ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ทราบว่าลับหลังคนเหล่านี้ทำตัวเช่นไรและซุกซ่อนสิ่งใดไว้
หากลำดับ 4 และ 3 สามารถมีอายุขัยยืนยาวนับพันปี นักบุญเหล่านั้นคงไม่มีแรงจูงใจที่จะผลักดันตัวเองให้เป็นเทวทูต
จากคำกล่าวที่ว่า ยิ่งลำดับสูงเท่าใดก็ยิ่งเข้าใกล้มหาต้นกำเนิดมากเท่านั้น ไคลน์เข้าใจทันทีว่าทำไม ‘แม่มดขาว’ คาร์เทอริน่าถึงเลื่อนลำดับจาก 4 ไปเป็น 3 และค้างเอาไว้นานนับพันปี
แต่เราไม่มีทางเลือก… หลังจากเงียบงันสักพัก ไคลน์ถอนหายใจแผ่ว
ไม่ว่าจะอามุนด์และซาราธที่รออยู่เบื้องหน้า วันสิ้นโลกที่ย่างกรายเข้ามาใกล้ และข้อเท็จจริงที่ว่าตนไม่มีพลังพอจะแทรกแซงสงคราม ทำได้เพียงสนับสนุนผ่านการบริจาคและวิธีทางอ้อมอื่นๆ ทุกสิ่งผลักดันให้ไคลน์ต้องก้าวไปเป็นเทวทูต
ดวงตาชายหนุ่มสั่นไหวเพียงไม่นานก่อนจะกลับสู่ความสงบนิ่ง ทันใดนั้น ไคลน์ยกโอสถขึ้นมากระดกใส่ปาก
…………………………