Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1268 : ผู้ชี้นำปาฏิหาริย์
ทันทีที่โอสถผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ไหลเข้าสู่ท้องของไคลน์ ของเหลวก็แตกตัวกลายเป็น ‘หนอน’ เย็นเยียบจำนวนมากทันที แหวกว่ายไปยังทุกส่วนของร่างกาย
ทันใดนั้น ร่างวิญญาณไคลน์ถูกแบ่งออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจำนวนนับไม่ถ้วนและผสานเข้ากับ ‘หนอนวิญญาณ’ ที่แตกต่างกัน ไม่มีความแตกต่างระหว่างร่างต้นกับร่างรอง ไม่มีการแบ่งแยกว่าใครเป็นร่างหลัก
ผ่านไปถึงจุดหนึ่ง ชายหนุ่มเข้าสู่สายหมอกสีเทา หมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูงและเสื้อกันลมตัวยาวสีดำพลันสลายไป หนอนโปร่งใสและบิดเบี้ยวจำนวนมากทยอยชอนไชออกมาทีละหนึ่ง
หนอนเหล่านี้บินไปยังส่วนลึกของสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ด้วยความเร็วสูง แต่ละตัวเข้าไปยึดครอง ‘จุดแสง’ ที่แตกต่างกันและซ้อนทับกับภาพฉายของตัวเองในช่องว่างประวัติศาสตร์
เพียงไม่กี่วินาที ในตำแหน่งเดิมของไคลน์เหลือแค่เสื้อกันลม เสื้อเชิ้ต หมวกทรงกึ่งสูง ถุงเท้า รองเท้าหนัง และของใช้ส่วนตัวถูกทิ้งไว้โดยปราศจากร่างกายค้ำจุน
“เรา…”
“เราเป็นใคร…”
“ใครคือเรา…”
“เราคือร่างต้น…”
…
หนอนวิญญาณทยอยผุดความคิดที่แตกต่างแต่คล้ายคลึงกัน ไม่มีตัวใดต้องการกลับคืน ‘ร่างเนื้อ’ ด้วยความตั้งใจของตัวเอง มีแต่จะยิ่งทวีความเกลียดชังต่อพวกเดียวกันอย่างรุนแรง หากไม่ใช่เพราะยังมีอิทธิพลทางจิตของไคลน์หลงเหลืออยู่เล็กน้อย พวกมันคงลงมือทำในสิ่งที่สุดโต่ง
ทันใดนั้น ระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้นภายในหมอกสีเทา
ระลอกคลื่นดังกล่าวมิได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่มีอยู่ในสายหมอกนานมาแล้ว ไคลน์อาจไม่เคยสังเกตเห็น แต่สำหรับหนอนวิญญาณ ภาพดังกล่าวชัดเจนเพียงพอ
บางส่วนแผ่ออกจากช่วงเวลาประวัติศาสตร์ในยุคปัจจุบัน บางส่วนมาจากช่วงเวลาสิ้นสุดยุคสมัยที่สอง และบางส่วนมาจากยุคสมัยที่สาม สิ่งเหล่านี้คือสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์กว่าสองพันปีของเมืองเงินพิสุทธิ์ที่ยืนหยัดอย่างมั่นคงในความมืด
ประวัติศาสตร์ที่ถูกลืมเลือนดังกล่าวสอดประสานเข้ากับปัจจุบันในบางส่วน ช่องว่างทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกันสว่างขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับแผ่ระลอกคลื่นที่ยากจะอธิบาย
คล้ายกับระลอกคลื่นดังกล่าวสร้างแรงดึงดูดที่ทรงพลังต่อหนอนวิญญาณ จนพวกมันต้องทยอยโผล่หัวออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์
หลังจากผ่านไปไม่นาน หนอนวิญญาณตัวหนึ่งกึ่งทนไม่ไหวกึ่งได้รับอิทธิพลจากจิตที่หลงเหลือของไคลน์ รีบคลานออกจากจุดแสงที่มันเข้าไปยึดครองในตอนแรก จากนั้นก็ ‘บิน’ ไปยังกึ่งกลางระลอกคลื่น
ถัดมาไม่นาน หนอนวิญญาณทยอยกลับมาจากจุดต่างๆ บนสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ ตรงมายังประกายแสงที่ก่อขึ้นท่ามกลางประวัติศาสตร์ของเมืองเงินพิสุทธิ์ในยุคสมัยปัจจุบัน
เมื่อพวกมันเข้าใกล้กันในระยะหนึ่ง แรงดึงดูดที่ทรงพลังพลันก่อตัว กระชากหนอนวิญญาณจำนวนมากให้กลับมารวมตัวและผสานเป็นหนึ่ง
นี่ไม่ใช่อิทธิพลที่หนอนวิญญาณเพียงสองหรือสามตัวจะทำได้ จะต้องใช้จำนวนมากเพียงพอจึงจะเกิดขึ้น
และเมื่อหนอนวิญญาณบางส่วนประกอบเข้าด้วยกัน จิตใต้สำนึกที่ไม่สมบูรณ์ของไคลน์เริ่มกลับมาปะติดปะต่อ จนกระทั่งกระบวนการดำเนินไปในทิศทางที่เรียบง่าย
หนอนวิญญาณเหล่านั้นก่อตัวเป็นวังวนโปร่งใสที่แผ่แรงดึงดูดอันทรงพลังออกมา ดูดกลืนหนอนวิญญาณที่เหลือซึ่งยังลังเลและไม่เต็มใจที่จะกลับมายังรวมตัว
เมื่อหนอนวิญญาณกลับมารวมตัวมากกว่าสองในสาม หนวดรยางค์เรียบโปร่งใสทยอยงอกขึ้นภายในวังวน
หนวดรยางค์ยืดยาวออกไปยังยุคสมัยที่สอง ยุคที่หนึ่ง และแม้แต่เมืองโบราณในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ทยอยจับหนอนวิญญาณกลับมาทีละตัวและใส่กลับเข้าไปในวังวน
ภายในเวลาเพียงสิบวินาที วังวนเริ่มขยายใหญ่และกลายเป็นร่างหนึ่งซึ่งน่าสยดสยองและรายล้อมไปด้วยหนอนโปร่งใสบิดเบี้ยว หนวดรยางค์ล่องหนยื่นยาวออกจากร่างดังกล่าว
หนวดรยางค์ทยอยนำเสื้อกันลม หมวกทรงกึ่งสูง ถุงเท้า และรองเท้าหนังที่ลอยอยู่ในสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์กลับมา ‘สวมใส่’ ลงบนร่างอันน่าสะพรึง
ร่างที่ประกอบจากหนอนวิญญาณจำนวนมากกดหมวกทรงกึ่งสูงบนศีรษะลง ส่งผลให้ความโปร่งใสบนร่างกายจางหายไปอย่างรวดเร็ว ผิวกายสีเนื้อแผ่ปกคลุมไปยังทุกส่วน ผมสั้นสีดำและดวงตาสีน้ำตาลทยอยงอกเงย
นี่คือรูปลักษณ์ของไคลน์·โมเร็ตติ แต่เป็นในความสูง 1.8 เมตร
หลังจากได้รับสติสัมปชัญญะกลับมาอีกครั้ง ไคลน์ที่รวบรวมร่างวิญญาณกลับมาอย่างสมบูรณ์ ยังไม่มีเวลาตรวจสอบสถานการณ์ปัจจุบันของตนอย่างละเอียด เพียงค้นพบความผิดปรกติสองเรื่องได้ในทันที:
เรื่องแรก ตะกอนพลังพิเศษที่ผสานเข้ากับร่างกายชายหนุ่มเต็มไปด้วย ‘จิต’ อันทรงพลัง น่าสะพรึง แกร่งกล้า และยากจะต้านทาน คล้ายกับมันตื่นขึ้นมาเล็กน้อยและทยอยฉายภาพทีละหนึ่ง บางส่วนเกี่ยวกับความรู้เชิงศาสตร์เร้นลับของผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ บางส่วนเกี่ยวกับฝุ่นที่ถูกดวงอาทิตย์แผดเผา และบางส่วนเป็นฉากวิจิตรงดงามที่เกิดจากดวงดาวมากมาย ทั้งหมดคือตราประทับทางวิญญาณที่เปี่ยมไปด้วยความโดดเดี่ยว เฉยเมย โหดร้าย บ้าคลั่ง เหยียดหยัน และไร้อารมณ์ พวกมันผสานเข้ากับดวงวิญญาณไคลน์อย่างรวดเร็วและเปลี่ยนสถานภาพของไคลน์โดยที่มิอาจต่อต้าน
เรื่องที่สอง ดาวสีแดงเข้มและจุดแสงจำนวนมากที่ปรากฏในการมองเห็นของไคลน์ ภายในดวงดาวเหล่านั้นมีสมาชิกชุมนุมทาโรต์อย่างจัสติส แฮงแมน และเดอะมูน โดยจุดแสงเกือบทั้งหมดเป็นเสียงสวดวิงวอนจากชาวเมืองจันทรา ทั้งสองผสานเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นร่างหนึ่งซึ่งปกคลุมด้วยหมอกสีเทาอ่อน เฝ้ามองดูโลกด้วยสายตาเอ็นดูประหนึ่งผู้ปกครองที่สูงส่งที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด
ความผิดปรกติดังกล่าวแบ่งแยกร่างกายไคลน์ออกเป็นสองส่วน ฝั่งซ้ายปกคลุมด้วยหมอกสีเทาอ่อน เผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ และดวงตาลุ่มลึก ร่างกายฝั่งขวาเริ่มปริแตกอีกครั้ง กลายเป็นกลุ่มก้อนหนอนแมลงสีใสที่บิดเบี้ยว ดวงตาแดงก่ำเปี่ยมไปด้วยความบ้าคลั่ง
ในเวลานี้ ฝั่งขวาพยายามกัดเซาะฝั่งซ้ายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้หมอกสีเทาถูกบีบอัดจนหนาแน่น
ไคลน์ไม่มัวรีรอ รีบยกมือซ้ายขึ้นอย่างยากลำบาก อัญเชิญคทากระดูกสีขาวที่เลี่ยมอัญมณีสีเงินจากสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์
รอบๆ คทาเทพสมุทรเต็มไปด้วยจุดแสงแห่งการสวดวิงวอน อาศัยคทาเป็นสื่อกลาง จุดแสงทยอยถูกถ่ายเทมายังร่างไคลน์
ร่างกายฝั่งขวาของไคลน์มีสายฟ้าพวยพุ่งออกมาทันที แถมรายล้อมไปด้วยสายลมล่องหนและคลื่นมายา สิ่งเหล่านี้ช่วยให้หมอกสีเทาฝั่งซ้ายเริ่มต้านทานการกัดเซาะจากมลพิษ เกิดเป็นสมดุลที่ละเอียดอ่อน
ทันใดนั้น ไคลน์ฟื้นคืนความเป็นมนุษย์และความทรงจำกลับมาหลายส่วน ค่อยๆ เข้าใกล้สภาพก่อนจะดื่มโอสถ
ในที่สุดมันก็เลื่อนเป็นลำดับ 2 สำเร็จ ได้ครอบครองระดับตัวตนของเทวทูต ได้เป็นผู้ชี้นำปาฏิหาริย์โดยสมบูรณ์
เดิมทีปราสาทต้นกำเนิดเกือบจะสั่นคลอนท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับชายหนุ่ม แต่เพียงแค่ไคลน์คิด ความผิดปรกติทั้งหมดก็กลับสู่ภาวะสงบสุข
สิ่งนี้คือเครื่องพิสูจน์ว่าไคลน์สามารถควบคุมปราสาทต้นกำเนิดได้อย่างเบ็ดเสร็จ กลายเป็นเจ้าของปราสาทต้นกำเนิดตัวจริง ส่วนคำถามที่ว่า ปัจจุบันสามารถระดมพลังส่งมายังโลกความจริงได้ในระดับใด มันยังมิอาจกะเกณฑ์ได้แม่นยำ
ฟู่ว… โชคดีที่เราเลือกใช้ประวัติศาสตร์เป็นชาวเมืองเงินพิสุทธิ์และนำพวกเขากลับมาสู่ยุคปัจจุบัน มันทรงพลังมากพอ… เพราะหากผลลัพธ์ของพิธีกรรมด้อยประสิทธิภาพกว่านี้เพียงเล็กน้อย วันนี้เราคงคลุ้มคลั่งคาที่… ไคลน์ยกมือขึ้นลูบหน้าผากพลางผ่อนลมหายใจ ขณะเดียวกันก็เริ่มเข้าใจแก่นสารของหลักยึดเหนี่ยวมากขึ้น:
หลักยึดเหนี่ยวไม่ใช่เครื่องมือสำหรับคงสภาพความเป็นคน แต่หน้าที่หลักของมันคือการสร้างความเข้าใจ จุดยืน และภาพจำที่ชัดเจน เพื่อต่อกรกับตราประทับดวงวิญญาณในตะกอนพลังและรักษาสมดุลระหว่างกันอย่างละเอียดอ่อน
ภายใต้ความสมดุล ไคลน์คงสภาพความเป็นคนไว้ได้อย่างพอดิบพอดีโดยไม่ได้รับผลกระทบจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไป
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ภาพลักษณ์ของเทพที่สาวกเชื่อและภาพลักษณ์ที่แท้จริงของเทพยังมีความแตกต่างกันบางส่วน แต่หากปราศจากตราประทับดวงวิญญาณภายในตะกอนพลังเพื่อคอยถ่วงดุลอิทธิพลดังกล่าว ภาพลักษณ์ที่สาวกเชื่อจะค่อยๆ กลืนกินภาพลักษณ์ที่แท้จริงของเทพ
นั่นก็เป็นการกัดกร่อนประเภทหนึ่ง
ในวินาทีนี้นี่เองที่ไคลน์ได้ทราบว่า เหตุใดเจ็ดเทพจารีตที่เคยมีเทวรูปเป็นร่างมนุษย์ถึงเปลี่ยนมาใช้ ‘ตราศักดิ์สิทธิ์’ แทน นั่นก็เพื่อป้องกันมิให้เหล่าสาวกทุกคนจินตนาการรูปลักษณ์ของตนเป็นแบบเดียวกัน ถือเป็นมาตรการสำหรับต่อต้านการกัดกร่อนจากตราประทับดวงวิญญาณของ ‘มหาต้นกำเนิด’ ได้เป็นอย่างดี แถมรูปลักษณ์ก็จะไม่เปลี่ยนแปลงไปทีละนิดตามความเชื่อของสาวก
ส่วนคำถามที่ว่า เหตุใดไคลน์ถึงคิดหาคำตอบได้รวดเร็วนัก ทั้งที่เทพจารีตถึงใช้เวลาราวหนึ่งถึงสองยุคสมัยกว่าจะกระจ่าง เหตุผลมีอยู่สองข้อ
ข้อแรก มันเปรียบเทียบภาพในอดีตของเทพจารีตกับสถานะปัจจุบัน โดยใช้ไดอารีจักรพรรดิโรซายล์เป็นข้อมูลอ้างอิง และอาศัยความรู้เชิงศาสตร์เร้นลับเป็นแรงบันดาลใจ ข้อที่สอง ร่างสัตว์ในตำนานของผู้ชี้นำปาฏิหาริย์มีความโน้มเอียงไปในทางแยกตัวออกจากกัน ส่งผลให้ไคลน์ไวต่ออิทธิพลที่คล้ายคลึงกัน
ความสมดุลที่เกิดขึ้นมักขาดความเสถียร มันจะเบี่ยงเบนไปในระดับหนึ่งเสมอ และนั่นจะทำให้สถานภาพของเราขาดความมั่นคงจนอาจทำให้ผู้คนหวาดกลัวเป็นครั้งคราว โชคดีที่สิ่งนี้สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้าและรับมือได้ง่าย… นอกจากนั้น ขณะอยู่ในสภาวะสมดุลโดยสมบูรณ์ เราต้องแสดงออกถึงความเป็นมนุษย์ให้มากที่สุดเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในตัวเอง… นี่คงเป็นวิธีที่เทวทูตส่วนใหญ่เลือกปฏิบัติ และพฤติกรรมของโรงเรียนกุหลาบฝ่ายฝักใฝ่แรงกระหายก็คงอยู่ในหมวดหมู่นี้…
แต่สาวกทั้งหมดของอามุนด์คือตัวเอง แล้วเขารักษาสมดุลได้ยังไง?
หรือว่าสัตว์ในตำนานที่เกิดมาพร้อมกับ ‘เอกลักษณ์’ จะผสานจิตใต้สำนึกเข้ากับมหาต้นกำเนิดได้ตั้งแต่แรก? อามุนด์ก็เลยคุ้นเคยกับสภาวะกึ่งเสียสติมานานแล้ว? ไม่สิ สำหรับอามุนด์แล้วนี่คือสภาวะปรกติ… ส่วนภาพลักษณ์ก็เกิดจากการลงคะแนนของบรรดาร่างโคลน…
หากอ้างอิงจากหลักการดังกล่าว เราก็สามารถสร้างหุ่นเชิดขึ้นมาเป็นสาวกของเดอะฟูลได้เช่นกัน โดยใช้รูปลักษณ์ที่แท้จริงของเราเป็นตัวแทนทวยเทพ วิธีนี้จะช่วยสร้างหลักยึดเหนี่ยวที่มีประสิทธิภาพ… เข้าใจแล้วว่าทำไมซาราธและหมาป่าอสูรทมิฬถึงอยู่ได้โดยไม่มีสาวก… อา เมื่อชาวเมืองเงินพิสุทธิ์เปลี่ยนมานับถือเดอะฟูล เราสามารถแยกอวตาร ‘เทพสมุทร’ ออกจากตัวเองเพื่อทำให้หลักยึดเหนี่ยวนี้เป็นอิสระ เพราะภาพจำของสาวกเทพสมุทรขัดแย้งกับภาพจำของสาวกจากแหล่งอื่นมาก ไม่สามารถนำมารวมกันได้… ไคลน์ครุ่นคิดในหลายสิ่ง จากนั้นก็ส่งตัวเองขึ้นไปยังหมอกสีเทา
เมื่อกลายเป็นผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ ไคลน์ได้เป็นเจ้าของปราสาทต้นกำเนิดโดยสมบูรณ์ จึงไม่จำเป็นต้องเดินถอยหลังสี่ก้าวพลางท่องมนต์ หรือขอร้องให้สมาชิกชุมนุมทาโรต์สวดวิงวอนพร้อมกันล่วงหน้า เพียงแค่คิดก็กลับปราสาทต้นกำเนิดได้ง่ายดาย
แต่ดูเหมือนว่าปัจจุบันยังมิอาจระดมพลังของปราสาทต้นกำเนิดได้เต็มประสิทธิภาพนัก และร่างที่เข้ามาบนสายหมอกก็ยังคงจำกัดแค่ร่างวิญญาณ มิอาจส่งร่างเนื้อขึ้นมาได้โดยตรง
หลังจากนั่งในตำแหน่งเดอะฟูล ไคลน์ไม่รีบร้อนตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของปราสาทต้นกำเนิด ก่อนอื่นก็สำรวจพัฒนาการของตัวเองและย่อยข้อมูลเกี่ยวกับโอสถที่เพิ่งได้รับ:
อา… พลังพิเศษของผู้ชี้นำปาฏิหาริย์มาจากสองคุณสมบัติ หนึ่งคือการยกระดับพลังจากสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ และอีกหนึ่งคือพลังที่เพิ่มเข้ามาใหม่อย่าง ‘พลังปรารถนา’
พลังที่เกี่ยวกับสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ครอบคลุมไปถึงความสามารถใหม่หลายชนิด:
ชนิดแรก คืนชีพด้วยความช่วยเหลือจากหนอนวิญญาณในอดีต แต่พลังชนิดจะใช้งานได้เพียงสี่ครั้ง และเราใช้ไปแล้วสาม… หมายความว่าในลำดับผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ เราคืนชีพได้อีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่หลังจากเลื่อนระดับเป็นบริวารเร้นลับ จำนวนครั้งน่าจะเพิ่มขึ้น… ชนิดที่สอง เราสามารถสร้างอิทธิพลบางอย่างกับอนาคต ทำให้ความน่าจะเป็นของบางสิ่งเพิ่มขึ้นหรือลดลงในระดับหนึ่ง เทียบเท่ากับการแทรกแซงชะตากรรมเป้าหมาย… หึหึ ในที่สุดก็ได้ครอง ‘พลังโชคลาภ’ จริงๆ เสียที แต่ยังเทียบไม่ได้กับลูกเต๋าความน่าจะเป็นของวิล… ชนิดที่สาม สิ่งที่อัญเชิญออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์จะไม่จำกัดแค่วัตถุอีกต่อไป แต่เราสามารถนำ ‘ฉาก’ ที่คุ้นเคยออกมาได้ด้วย..
อา… จำนวนสูงสุดของภาพฉายวัตถุและฉากที่เราเรียกออกมาได้คือเก้า แต่ภาพฉายที่มีระดับทัดเทียมเทวทูตห้ามเกินสาม…
‘พลังปรารถนา’ เป็นอำนาจพื้นฐานของทวยเทพอยู่แล้ว แต่ก็มีบางส่วนที่แปลก ความปรารถนาของเราจะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อเราเติมเต็มความปรารถนาของผู้อื่นก่อนเท่านั้น… และจำเป็นต้องทำความปรารถนาเล็กให้สำเร็จก่อน จึงจะมีโอกาสบรรลุความปรารถนาที่ใหญ่ขึ้น…
………………………………