Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1285 : จะไม่มีใครได้ออกไป
แม้ในช่วงกลางคืนจะไม่ค่อยมีคนเข้ามาสวดมนต์ในวิหารวายุสลาตัน แต่ไคลน์ก็เลือกที่จะ ‘ลงจอด’ บนทางเดินที่นำพาไปสู่สวนเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ
“น่าทึ่งมาก…” พาชาพึมพำในลำคอขณะกวาดตามองฉากรอบตัว
รอยฝืนข่มอารมณ์ เหลียวซ้ายแลขวาสักพักก่อนจะพูด
“หากราชาคณะมาที่วิหารเพื่อเลี่ยงเคอร์ฟิว ท่านก็น่าจะอยู่ในสถานที่แบบนี้”
“หากไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการสั่งสมความผิด เทวทูตมีวิธีการมากมายที่จะซ่อนตัวจากคนธรรมดา” ไคลน์กล่าวอย่างเป็นกันเอง “เดี๋ยวผมจะส่งพวกคุณไปยังวิหารแห่งอื่น พยายามอยู่ใกล้กับหน้าต่างหรือกระจกเข้าไว้ ทันทีที่พบคนต่างถิ่นซึ่งต้องสงสัยว่าจะเป็นชาวฟุซัค รีบหาโอกาสวาดสัญลักษณ์…”
ยังไม่ทันจะกล่าวจบประโยค ชายหนุ่มหันไปทางประตูโถงสวดมนต์ขนาดใหญ่ที่นำไปสู่สวน
ร่างที่สูงกว่า 2.6 เมตรเดินออกมาอย่างเชื่องช้า มันสวมชุดคลุมยาวสีดำที่มีขอบสีขาว กล้ามเนื้อปูดขึ้นมาจากเนื้อผ้าหลวมๆ
เป็นชายชราเคราขาวที่สวมหมวกทรงสี่เหลี่ยม ดวงตาสีฟ้าซีด ใบหน้ามีรอยย่นเล็กน้อย แผ่บรรยากาศเย้ยหยันทุกสรรพสิ่ง
ลาร์เรี่ยน ราชาคณะแห่งโบสถ์เทพสงคราม… โดยไม่ต้องวิเคราะห์เพิ่มเติม สัมผัสวิญญาณของไคลน์บ่งบอกว่าอีกฝ่ายคือเทวทูต เป็นเป้าหมายที่ไคลน์เดินทางมาที่นี่
ลาร์เรี่ยนชำเลืองชายหนุ่มพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“ไม่ใช่อาเรียนน่า…”
มันระงับสีหน้าพร้อมกับกล่าวอย่างเฉยเมย
“ผู้ช่วยของหล่อนสินะ… เชิญเจ้าไปบอกกับหล่อนว่า ตอนนี้ข้าสามารถบรรลุข้อตกลงกับ 0-02 ซึ่งสัญญาณชีพตื่นขึ้นมาในระดับหนึ่ง โดยการปลดผนึกให้มันเพื่อแลกกับการออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัย แต่พวกเจ้าทุกคนยังต้องอยู่ต่อไปและเผชิญกับกฎที่เข้มงวดขึ้นจนกว่าจะตาย…”
ราชาคณะมิได้กังวลว่าจะถูกไคลน์ยับยั้งแม้แต่น้อย เพราะทันทีที่พูดจบ ร่างกายของมันแก่ชราลงอย่างรวดเร็ว ผิวหนังเหี่ยวย่นในพริบตา ร่องรอยความชราเพิ่มขึ้นพร้อมกับของเหลวเน่าเปื่อยที่ถูกขับออกจากร่าง
เพียงกะพริบตาไม่กี่หน ลาร์เรี่ยนก็แก่ชราราวกับจะระเหยไปจากโลก
จากนั้น มันกลายเป็นแอ่งของเหลวเน่าจนกระทั่งระเหย
ฉากดังกล่าวกระทบกระเทือนจิตใจไบลส์และคนที่เหลืออย่างรุนแรง ความกลัวปะทุจากก้นบึ้ง ความคิดสับสนและอารมณ์แปรปรวน
สิ่งนี้น่าสะพรึงไม่ต่างจากหนอนสีใสที่เคยชอนไชออกจากปากแผลบริเวณข้อมือของนักมายากล!
เป็นพลังที่แปลกมาก… อยู่ในขอบเขตสนธยา? ไคลน์ไม่ได้คิดจะหยุดลาร์เรี่ยน เพียงพยักหน้ากับตัวเอง
ภายในโลกวิญญาณ ณ ตำแหน่งเดียวกัน ร่างของลาร์เรี่ยนถูกวาดขึ้นในสภาพปรกติ
ทันทีหลังจากนั้น ราวกับมันควบคุมร่างวิญญาณได้ดั่งใจ ลาร์เรี่ยนทะลวงผ่านบาเรียล่องหนและหลุดพ้นจากข้อห้ามมากมายในเมืองเบลดัน
แต่เมื่อลาร์เรี่ยนเตรียมเทเลพอร์ต วิสัยทัศน์ของมันพลันดำมืดพร้อมกันเห็น ‘ผ้า’ สีดำที่ไร้รอยต่อ
สิ่งนี้ราวกับเป็นกำแพงที่คอยกีดขวางเส้นทางหลบหนีของลาร์เรี่ยน!
ลาร์เรี่ยนหยุดการเทเลพอร์ตด้วยความระมัดระวัง พลางแหงนมองขึ้นไปด้านบนซึ่งเป็นตำแหน่งของเจ็ดแสงพิสุทธิ์ ทว่า มันกลับมองเห็นเพียง ‘ม่าน’ มายาห้อยลงมาจากมุมสูง ปกคลุมโลกวิญญาณนอกขอบเขตเมืองเบลดันจนตัดขาดจากโลกภายนอก
ในเวลาเดียวกัน สัญชาตญาณ ‘นักล่าปีศาจ’ ของลาร์เรี่ยนร้องเตือนว่า บาเรียที่สร้างจาก ‘ม่าน’ ผืนนี้ทรงพลังมากจนยากจะทะลวงผ่าน ต้องใช้ความพยายามและเวลาพอสมควรจึงจะทำสำเร็จ
สำหรับราชาคณะ สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเปี่ยมไปด้วยความตลกขบขันอันแปลกประหลาด ส่งผลให้โทสะของมันปะทุอย่างมิอาจหักห้าม
ประหนึ่งว่าในที่สุดมันก็หากุญแจห้องลับพบอย่างยากลำบาก แต่เมื่อลองไขกุญแจเข้าไปเพื่อหวังจะหลบหนีเป็นคนแรก มันกลับพบว่าด้านในยังมีแม่กุญแจอยู่อีกหนึ่งอัน แถมยังเป็นแม่กุญแจที่ถูกป้องกันแน่นหนากว่าเดิม!
มันดูขาดความสมจริง น่าจะเป็นภาพฉายจากประวัติศาสตร์… นี่ถือเป็นการละเมิดกฎห้ามหลอกลวง! ไม่สิ ที่นี่อยู่นอกเขตเมืองเบลดัน อำนาจของกฎหมายเอื้อมมาไม่ถึง… ภาพฉายจากประวัติศาสตร์ น่าจะอยู่ตรงนี้มานานแล้ว อีกแค่ไม่เกินสองนาทีก็น่าจะเลือนหายไปเอง… ลาร์เรี่ยนฟื้นคืนความสุขุมอย่างรวดเร็วเพื่อปรับสมดุลระหว่างหลักยึดเหนี่ยวและความบ้าคลั่ง
…
ณ ทางเดินภายในวิหารวายุสลาตัน รอยและคนที่เหลือทยอยฟื้นคืนสติ พวกมันรีบหันไปทางมิสเตอร์นักมายากลที่น่าเกรงขามไม่น้อยไปกว่าเทวทูตตนเมื่อครู่
พาชาลังเลสักพักก่อนจะถามด้วยความกลัว
“ด…ดูเหมือนว่าท่านจะหนีไปแล้ว”
หมายความว่า พวกตนจะไม่ได้ทราบตำแหน่งของ 0-02 และต้องสำรวจแบบปูพรมจนกระทั่งเวลาหมดลง
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีใครในที่นี้ทราบว่าสมบัติปิดผนึกชิ้นดังกล่าวมีหน้าตาเป็นเช่นไร และคำอธิบายที่ระบุว่าเป็นหนังสือก็กว้างเกินไป
“คงต้องคิดหาวิธีอื่น” ไคลน์ตอบพลางยกมุมปาก “พวกคุณมีคำแนะนำไหม?”
เดิมที มันคิดจะรอให้ลาร์เรี่ยนกลับมาเจรจาด้วย แต่ตอนนี้เริ่มตระหนักว่าราชาคณะคงเลือกที่จะรอให้ภาพฉายทางประวัติศาสตร์ของม่านในโลกวิญญาณเลือนหายไปเอง และต่อให้ไคลน์สามารถตามเข้าไปในโลกวิญญาณได้ แต่มันก็ไม่มีอำนาจที่จะทะลวงผ่าน 0-02 ซึ่งสร้างบาเรียปกคลุมรอบเมืองเบลดัน
ขณะกล่าว ชายหนุ่มเค้นสมองคิดพลางสั่งให้หนอนวิญญาณจำนวนหนึ่งเข้าควบคุมร่างกายตัวเองเพื่อฟังบทสนทนาของผู้วิเศษด้านข้าง หวังค้นหาแรงบันดาลใจจากคำพูดของอีกฝ่าย
“เราน่าจะลองหาวิธีสร้าง ‘ความขัดแย้ง’ ที่คล้ายกับกรณีของไบลส์เพื่อทำให้ตัวเองอยู่ในสถานะค่อนข้างปลอดภัย นั่นเป็นวิธีเดียวที่จะเริ่มลงมือค้นหาหนังสือได้” ฟิลเล่าข้อเสนอที่มันคิดมาสักพักแล้ว
พาชาส่ายหน้า
“แต่ถ้าเราใช้ความขัดแย้งเพื่อลงมือทำบางสิ่ง 0-02 ที่มีชีวิตจะเพิ่มกฎใหม่เข้ามากลบช่องโหว่อย่างแน่นอน”
“แต่อย่างน้อยก็ช่วยยื้อเวลาให้พวกเรา” ฟิลยังคงยืนกราน
“วิธีนี้คุ้มค่าแก่การลองเสี่ยง” รอยเห็นด้วย ก่อนจะเสริม “แต่จุดประสงค์หลักยังคงเป็นการค้นหา 0-02… บางทีเราอาจคิดหาวิธีสร้างความขัดแย้งบางอย่างเพื่อทำให้มันเผยตำแหน่งตัวเอง”
แต่สำหรับคำถามที่ว่า ต้องใช้ความขัดแย้งแบบใดจึงจะบรรลุผล รวมถึงวิธีการสร้างมันขึ้นมา รอยเองก็ยังไม่ทราบ
สถานการณ์ที่ขัดแย้งในตัวเอง… กฎใหม่จะถูกเพิ่มเพื่อกลบช่องโหว่… ไคลน์ที่กำลังยิ้มพลางยืนฟังเงียบๆ มาสักพัก พลันเกิดประกายความคิดภายในใจ
ทันใดนั้นเอง ผิวกระจกวิเศษในมือชายหนุ่มเริ่มส่องแสง ตัวอักษรสีเงินเรียงกันทีละหนึ่ง
“พาชา เจ้าอยากรู้ไหมว่ากระดานข่าวสารมีเนื้อหาใดเพิ่มเข้ามา”
กระจกบานนี้เจาะจงถามเรา… ทำไมถึงเป็นเราล่ะ? พาชาผงะเล็กน้อยก่อนจะผงกศีรษะ
“อยาก”
คลื่นแสงวารีบนกระจกเกิดกระเพื่อมทันที กลายเป็นฉากปัจจุบันของกระดานข่าวสาร
มีกฎใหม่เพิ่มขึ้นมาสองข้อ
“…ตามนโยบายการเคอร์ฟิว วิหารจะต้องปิดเร็วกว่ากำหนด…”
“…โรงแรมทั้งหมดจะต้อนรับเฉพาะแขกที่ลงทะเบียนด้วยตัวตนจริง…”
ฟิลเริ่มตื่นตระหนก
“…พวกเราจะไปไหนกันดี”
มันคิดไม่ออกเลยว่า ตน รอย และพาชาจะรอดพ้นจากการลงโทษไปได้อย่างไร
รอยและพาชามองหน้ากัน หลากหลายความคิดผุดขึ้นมา แต่สุดท้ายก็ถูกปัดตกไปทั้งหมด
ทันใดนั้นเอง ไคลน์ที่เงียบงันมาสักพัก เผยรอยยิ้มพร้อมกับหันไปจ้องไบลส์
“บ้านคุณอยู่แถวไหนของเบลดัน”
“หอพักเช่าเลขที่ 18 ถนนเมเปิ้ลแดง แต่อาคารหลังดังกล่าวพังไปแล้วเพราะถูกปืนใหญ่ยิงถล่ม” ไบลส์ตอบกลับด้วยความงุนงง
ไคลน์ยิ้มพลางกล่าว
“คุณสามารถขอพรจากผมเพื่อให้บ้านกลับไปอยู่ในสภาพเดิมได้”
“…ทำแบบนั้นได้ด้วยหรือ” แม้ว่ามิสเตอร์นักมายากลฝั่งตรงข้ามจะเคยรักษามือที่ขาดของฟิลด้วยพลังอันน่าทึ่ง แต่ไบลส์ยังคงมองว่าการฟื้นฟูบ้านของตนให้กลับสู่สภาพเดิมเป็นเรื่องที่ยากกว่าหลายเท่า เพราะต้องไม่ลืมว่า หมอทหารเวเบอร์ที่รอยแนะนำก็สามารถต่อมือของฟิลกลับไปเป็นปรกติได้เช่นกัน
“แน่นอน” ไคลน์ยิ้มและเตือน “เร็วเข้า”
ในเวลาเดียวกัน บรรดาสาวกที่มาสวดมนต์ในวิหารเริ่มทยอยเดินทางกลับ
ไบลส์ไม่มัวลังเลอีกต่อไป มันกล่าวขึ้นทันที
“ผมอยากให้บ้านกลับสู่สภาพเดิม”
“ตกลง” ไคลน์ยกมือขวาขึ้นมาดีดนิ้ว “ความปรารถนาของคุณถูกเติมเต็มแล้ว”
หือ? ขณะรอยและคนที่เหลือกำลังมึนงง ไคลน์พาทุกคนเทเลพอร์ตไปยังบ้านเลขที่ 18 ถนนเมเปิ้ลแดงและลงจอดหน้าห้องพักสองห้องนอน
ไบลส์จ้องมองประตูไม้ที่คุ้นเคยด้วยสายตาเหม่อลอย จากนั้นก็เหยียดแขนขวาออกไปเปิดตามสัญชาตญาณ
ทั้งตู้กับข้าว เตาถ่านหิน เตียงสองชั้น โต๊ะไม้เปื้อนคราบมัน และหนังสือพิมพ์เก่าที่ถูกวางอย่างไม่เป็นระเบียบ ทุกสิ่งฉายเข้ามาในการมองเห็นของไบลส์จนดวงตาของมันเริ่มเปียกชื้น
ก่อนสงครามจะปะทุ ทุกวันที่กลับจากเหมืองแร่ ไบลส์มักจะเห็นแม่ของตนง่วนอยู่หน้าเตาถ่านหิน สำหรับพ่อและพี่ชาย หากไม่กำลังซ่อมแซมบางสิ่งก็จะคอยจัดการกับผลไม้ในส่วนที่เน่าเสีย หรือไม่ก็นำงานบางส่วนกลับมาทำที่บ้าน หลานสาวจะได้เรียนการเขียนอ่านจากหนังสือพิมพ์เก่า คนสอนคือแม่ของเธอที่คอยบรรจุไม้ขีดไฟใส่กล่อง
แม้ชีวิตแบบนั้นจะยากลำบากและไม่สามารถรับมือกับเหตุไม่คาดฝัน แต่ก็ยังถือเป็นความทรงจำที่ล้ำค่าสำหรับไบลส์ ดีกว่าภาพอุโมงค์เหมืองแร่ที่มืดสลัว ก้อนแร่ที่หนักอึ้ง และแส้จากผู้คุมหลายเท่า
แต่อยู่มาวันหนึ่ง ความงดงามเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตมันกลับต้องแหลกสลายกลายเป็นผง
“จะไม่ชวนเราเข้าไปจริงหรือ” ฟิลทำเพียงยืนอยู่หน้าประตู ไม่กล้าเดินเข้าไปด้วยเกรงว่าจะละเมิดกฎบุกรุกเคหสถาน
ไบลส์ที่ได้สติกลับมารีบโพล่งขึ้น
“เชิญเข้ามาได้”
หลังจากเดินเข้าไปในบ้านที่ปลอดคน ไคลน์ดึงเก้าอี้ตัวที่พร้อมจะพังทุกเมื่อออกมานั่งและปิดปากเงียบ
รอย พาชา และอีกสองคนไม่กล้ารบกวนสุภาพบุรุษรายนี้ ทำเพียงเฝ้ารอด้านข้างอย่างอดทน
ผ่านไปราวสามสิบวินาที ไคลน์กวาดตาพลางยิ้ม
“ผมมีแนวคิดที่ต้องการทดสอบ ใครอยากเป็นอาสาสมัคร?”
“ผม” รอยตอบโดยไม่ลังเล
ไคลน์ยังคงยิ้ม
“หลังจากนี้ คุณอย่าเพิ่งตอบคำถามตามจริง ผมกำลังมองหาช่องว่างในกฎของ 0-02”
รอยพยักหน้า
“ไม่มีปัญหา”
ไคลน์หยิบกระจกวิเศษออกมาและพูดกับรอย
“คุณสามารถถามอะไรก็ได้”
รอยครุ่นคิดสักพัก
“ผมจะหาโอสถลำดับถัดไปได้ที่ไหน”
ฉากหนึ่งปรากฏขึ้นบนผิวกระจกสีเงิน เป็นภาพของลาร์เรี่ยน ราชาคณะแห่งโบสถ์เทพสงครามที่กำลังเดินวนไปมาภายในโลกวิญญาณ!
“…” สีหน้ารอยพลันแข็งทื่อ จากนั้น มันได้ยินเสียงของมิสเตอร์นักมายากล
“คุณรอตอบคำถามของมัน อย่าลืมเลี่ยงคำตอบที่ถูกต้อง”
รอยรีบตั้งสติและมองไปที่กระจกอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าฉากบนกระจกแปรเปลี่ยนเป็นภาพของมิสเตอร์นักมายากล พร้อมด้วยตัวอักษรสีเลือดราวสองสามบรรทัด:
“ใครคือครั้งแรกของคุณ”
รอยนึกทบทวนอดีตด้วยใบหน้าหน้าแดงก่ำ จากนั้นจึงตอบตามที่มิสเตอร์นักมายากลสั่ง
“ผมไม่แน่ใจ”
“โกหก!” อักษรสีเลือดบนผิวกระจกเงินพลันรวมตัวเป็นถ้อยคำที่น่าสะพรึง
เปรี้ยง!
สายฟ้าที่ไม่รุนแรงนักโผล่ออกจากอากาศว่างเปล่าและปะทะเข้ากับร่างรอย
รอยล้มลงไปเกลือกกลิ้งบนพื้นด้วยร่างกายสั่นกระตุก อวัยวะบางส่วนมีรอยไหม้ เส้นผมตั้งชี้ แต่ยังห่างไกลจากอันตรายถึงชีวิต
ไบลส์ พาชา และฟิลต่างพากันตกตะลึงเนื่องจากไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ในเวลาเดียวกัน ไคลน์สำรวจรอบตัวก่อนจะยกมุมปากพูด
“ก็อย่างที่เห็น กระจกไม่ถูกลงโทษในฐานความผิดจงใจทำร้ายผู้คน… นี่คือโอกาสของเรา”
……………………………