Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1313 : ความปรารถนาที่สาม
จัสมินเริ่มตื่นเต้น แต่ขณะเดียวกันก็เป็นกังวล
“แล้วฉันต้องจ่ายเท่าไร?”
ตามความเห็นของหญิงสาว การทดลองใช้ฟรีในครั้งแรกอาจไม่ต้องเสียเงิน แต่ครั้งถัดไปอาจต้องจ่ายหนัก
ไคลน์ขยับหมวกทรงสูงพร้อมกับยิ้ม
“ราคาปรกติคือหนึ่งเพนนี แต่การเปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดจากพรของคุณ ก็ถือเป็นราคาที่ต้องจ่ายเช่นกัน”
จัสมินซึ่งยังไม่กระจ่างนัก พยักหน้าคล้ายกับเข้าใจแล้ว รีบสอดมือเข้าไปในกระเป๋า ควานหาเหรียญเพนนีทองแดงออกมาขอพร
ทว่า กระเป๋าของเธอกลับว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากผ้าเช็ดหน้า
หลังจากกักตัวอยู่แต่ในบ้านเป็นเวลานาน เธอแทบไม่ได้สัมผัสกับเงิน
ก่อนหน้านี้ เธออาศัยการเดินเท้าเพื่อมายังจัตุรัสเทศบาลแทนการนั่งรถม้า
“ข…ขอกลับบ้านก่อนได้ไหมคะ?” จัสมินถามด้วยท่าทีกังวลปนเขินอาย
“แน่นอน นั่นเป็นเสรีภาพของคุณ แต่ผมไม่รับประกันว่าเครื่องแจกพรอัตโนมัติจะยังรออยู่ที่เดิม” ไคลน์ยิ้มพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงของนักมายากล “ในบางครั้งเจ้านี่ก็หัวรั้น”
จัสมินอืมในลำคอ ขอบคุณสองสามคำก่อนจะหมุนตัวกลับ วิ่งเหยาะๆ ไปในทิศตรงข้ามกับจัตุรัสเทศบาล
ยิ่งได้วิ่ง ร่างกายหญิงสาวก็ยิ่งเบาลง คล้ายกับสุขภาพฟื้นฟูกลับไปเป็นก่อนถูกไฟคลอก กลายเป็นเด็กสาวอายุสิบเจ็ดสิบแปด
สำหรับจัสมิน ฉากตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับความฝัน
แต่แน่นอน ในฐานะคนธรรมดา วิ่งไปได้สักพักย่อมต้องเหนื่อย หญิงสาวลดความเร็วลงจนกระทั่งกลายเป็นเดิน
สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดผ่าน เมฆสูงบนท้องฟ้าบางตาจนมองเห็นดวงดาวสุกสว่าง ต้นไม้ริมถนนแกว่งไกวไปมาอย่างอ่อนโยน เงาดำขยับเขย่าบนพื้นทางเดิน ทุกสิ่งล้วนงดงามและเงียบสงบ จัสมินสัมผัสได้ว่าร่างกายของและจิตใจกำลังผ่อนคลายสุดขีด ความกังวลทั้งหมดอันตรธานหาย
นับตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บหนัก นี่คือครั้งแรกที่เธอมีความสุขจนเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
หลังจากเดินไปได้ประมาณห้าหกนาที เธอได้ยินใครบางเรียกชื่อ:
“หือ จัสมิน?”
จัสมินมองไปด้านข้างและได้พบกับใบหน้าอันคุ้นเคย นั่นคืออดีตเพื่อนบ้าน คุณนายแฮมิล
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณนายแฮมิล ไม่ได้พบกันนานเลยนะคะ ไปงานเทศกาลกันไหม” จัสมินซึ่งไม่ได้สวมผ้าพันคอ ยิ้มจากก้นบึ้งหัวใจ
คุณนายแฮมิลเป็นสตรีผู้มีหงอกจางๆ เธอจ้องจัสมินหัวจรดเท้าก่อนจะถาม:
“ตั้งแต่เธอย้ายออกไป พวกเราก็ไม่ได้พบกันอีก แต่ฉันได้ยินว่าเธอบาดเจ็บจากเหตุระเบิดไม่ใช่หรือ?”
“ใช่ค่ะ แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว” จัสมินพยักหน้า
จากนั้นก็เป็นฝ่ายถาม
“ตอนนี้โจลี่เป็นยังไงบ้าง?”
โจลี่เป็นบุตรสาวคนโตของคุณนายแฮมิล และเป็นเพื่อนสมัยเด็กของจัสมิน
สีหน้าคุณนายแฮมิลเปลี่ยนเป็นหมองหม่นทันที
“เธอถูก… พวกฟุซัคข่มเหง… จากนั้นก็ตาย…”
จัสมินพลันผงะ เธอย้อนนึกถึงประสบการณ์ของตัวเองขณะกำลังจมอยู่ในความเศร้า
ครั้งหนึ่งเคยมีทหารฟุซัคบุกเข้ามาในบ้านและพยายามจะข่มเหงเธอ แต่หลังจากเห็นใบหน้าซึ่งเป็นผลจากแผลไฟไหม้ มันเตะเธอหนึ่งครั้งและรีบออกไปจากบ้าน
“โจลี่ผู้น่าสงสาร” จัสมินแตะหน้าอกสี่จุดตามเข็มนาฬิกา วาดสัญลักษณ์ของดวงดาว
หลังจากได้ยินเหตุการณ์ที่เกิดกับคนใกล้ตัว เธอเพิ่งได้ตระหนักว่าตนโชคดีเพียงใด
จัสมินอำลาคุณนายแฮมิลและเดินกลับไปยังหอพักปัจจุบัน
เมื่อหยุดยืนหน้าห้อง หญิงสาวเริ่มสงบลง อารมณ์หดหู่ถูกสลัดออกไป ขณะเดียวกันก็คาดหวังสีหน้าของพ่อแม่ขณะได้เห็นเธอกลับเป็นปรกติ
พวกเขาไม่ต้องเก็บงำความเจ็บปวดเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจอีกแล้ว และไม่ต้องแสร้งว่าไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น พ่อกับแม่คงร้องไห้ด้วยความตื้นตันและโผกอดเราอย่างมีความสุข… ขณะครุ่นคิด จัสมินถอดกุญแจซึ่งห้องอยู่ตรงคอประหนึ่งสร้อย ตามด้วยเปิดประตู
ภายในห้องมืดสลัว ไม่มีแสงไฟจากเทียนหรือโคมไฟติดผนัง
ในห้องด้านนอก เสียงกรนเดี๋ยวหนักเดี๋ยวเบาดังมาจากเตียงซึ่งเป็นของพ่อแม่ บรรยากาศแตกต่างจัตุรัสเมืองที่พลุกพล่านโดยสิ้นเชิง
พวกเขากำลังหลับ… นั่นสินะ ทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน… จัสมินปิดประตูอย่างเบามือและเดินไปทางเตียงนอนพ่อแม่ อาศัยแสงจากดวงจันทร์ด้านนอกหน้าต่างเพื่อมองดูใบหน้าของทั้งสอง
ผมหงอกของพ่อเริ่มเยอะขึ้น ริ้วรอยก็ลึกขึ้น… แม่ยังคงขมวดคิ้วในยามที่หลับ ผิวเป็นขุย แห้งและหยาบกร้าน… ในวินาทีนี้เอง จัสมินได้ตระหนักว่าเธอแทบไม่เคยใส่ใจใบหน้าพอแม่เลย กว่าจะรู้ตัวอีกทีพวกท่านก็เริ่มชราแล้ว
ก่อนสงคราม พ่อของเธอเป็นนักบัญชีซึ่งมีรายได้ค่อนข้างมั่นคง สามารถจ่ายค่าเช่าบ้านแถวติดถนนได้โดยที่ภรรยาไม่ต้องออกไปทำงาน แต่ปัจจุบัน พ่อของเธอทำได้เพียงงานใช้แรงในโรงงานทอผ้า และแม่ของจัสมินเองก็ต้องออกจากบ้านไปเป็นสาวทอผ้า
สุขภาพของพ่อแย่ลงมาก แถมยังไอบ่อยครั้ง เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งสอบผ่านข้าราชการ ถ้าผลการสัมภาษณ์ประกาศออกมาเมื่อไร เขาจะได้ทำงานที่ดีขึ้น… แม่เริ่มบ่นเรื่องตา และแขนของเธอก็ยิ่งล้าขึ้นทุกวัน… จัสมินจ้องหน้าพ่อแม่ด้วยอารมณ์ลึกซึ้ง ตัดสินใจไม่ปลุกคนทั้งสอง
เธอคิดความปรารถนาที่สองออกแล้ว
จัสมินย่องเข้าไปในห้องด้านในและบรรจงเทเหรียญสองสามเพนนีออกจากกระปุกออมสินซึ่งแทบจะว่างเปล่า
จากนั้น หญิงสาวออกจากหอพักและขึ้นรถม้าสาธารณะแบบไร้ราง
เธอกังวลว่าหากไปถึงช้า เครื่องแจกพรอัตโนมัติจะหายไป
ปัจจุบัน บนรถม้ามีผู้โดยสารจำนวนมาก ส่วนใหญ่กำลังมุ่งหน้าไปงานเทศกาล จัสมินชำเลืองไปรอบตัวและพบว่าไม่มีที่นั่งว่าง จึงต้องยืนริมทางเดินกึ่งกลางโดยมีผู้คนเบียดเสียดผ่านเข้าออก
ราวสิบนาทีถัดมา เธอลงที่ป้ายและเดินเลี้ยวเปลี่ยนเส้นถนน
เมื่อภาพของเครื่องจักรทองเหลืองฝังกระจกสองสามแผ่นฉายเข้ามาในดวงตา หญิงสาวถอนหายใจโล่งอกและรีบเดินเข้าไปใกล้
ระหว่างนั้น จัสมินมองไปรอบตัว แต่ก็ไม่พบนักมายากลนามว่าเมอร์ลิน·เฮอร์มิส
“มันทำงานอัตโนมัติ ก็เลยไม่ต้องมีเขาอยู่ใกล้ๆ ก็ได้?” จัสมินพึมพำด้วยความฉงน
เธอไม่มัวเสียเวลา หยิบเหรียญทองแดงหนึ่งเพนนีออกมาหยอดลงในเครื่องแจกพรอัตโนมัติ
“ขอให้พ่อแม่กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง และครอบครัวของเรามั่งคั่งร่ำรวย” จัสมินกระซิบความปรารถนา หลับตาลงและรอให้ปาฏิหาริย์บังเกิด
วินาทีถัดมา เธอได้ยินเสียง ‘กริ๊ก’ พร้อมกับมีเหรียญทองแดงกลิ้งออกจากเครื่องแจกพรอัตโนมัติ
จัสมินลืมตาขึ้นด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็พบว่าเหรียญทองแดงหนึ่งเพนนีซึ่งเธอเพิ่งหยอดลงไป ถูกดีดออกมาอยู่ในถาดใบเล็กใกล้กับช่องหยอดเหรียญ
เป็นความปรารถนาที่ทำไม่ได้? เอ่อ… หรือว่าเนื้อหาของความปรารถนาห้ามยาวเกินไป? นั่นสินะ เมื่อครู่เหมือนกับเราขอพรสองข้อ… จากประสบการณ์การรักษาแผลไฟไหม้ จัสมินไม่เคลือบแคลงในพลังของเครื่องแจกพรอัตโนมัติ
เธอครุ่นคิดอย่างจริงจัง จากนั้นก็หยอดเหรียญหนึ่งเพนนีลงช่อง ก้มศีรษะลงและขอพร:
“ขอให้พ่อแม่กลับมาสุขภาพดีอีกครั้ง”
คราวนี้ เธอได้ยินเสียงเคาะแผ่วเบาดังจากเครื่องแจกพรอัตโนมัติ
กึก!
เมื่อเห็นว่าเหรียญทองแดงมิได้ถูกพ่นออกมา จัสมินทราบทันทีว่าความปรารถนาของตนถูกเติมเต็มแล้ว อดใจรอไม่ไหวที่จะกลับบ้านไปตรวจสอบสุขภาพของพ่อแม่
ระงับความตื่นเต้นสักพัก หญิงสาวหยอดเหรียญหนึ่งเพนนีลงไปเพิ่ม
ตอนแรกเธอคิดจะขอพรให้ครอบครัวร่ำรวย แต่เมื่อพิจารณาว่าบิดากำลังจะได้ทำงานข้าราชการภายในเมืองลิมอน และครอบครัวของเธอจะมีรายได้ที่ค่อนข้างมั่นคงในอนาคต เธอตัดสินใจเปลี่ยนความปรารถนา
เมื่ออายุสิบขวบ จัสมินค้นพบว่าตนไม่ใช่เด็กหน้าตาดี นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอถูกคนรอบข้างกลั่นแกล้งหรือตำหนิว่าไม่สวย เพียงแต่ในหมู่เพื่อนสมัยเด็ก มีเพื่อหญิงสองคนซึ่งสวยโดดเด่น ความงามของพวกเธอทำให้สังคมต้อนรับด้วยสิทธิพิเศษมากกว่าคนอื่น
ด้วยการเปรียบเทียบดังกล่าว จัสมินจึงใฝ่ฝันที่จะหน้าตาดีเมื่อโตขึ้น แต่น่าเสียดายที่ความฝันก็เป็นได้เพียงฝัน
แต่ในวินาทีนี้ ความฝันของเธอสามารถเป็นจริงได้ด้วยปาฏิหาริย์จากเครื่องแจกพรอัตโนมัติ
ถ้าเราสวยขึ้น ก็จะมีสามีที่ดี และสถานการณ์ครอบครัวก็จะยิ่งดีขึ้น… คล้ายกับจัสมินได้ยินเสียงปีศาจกระซิบข้างหู เธอหลับตาลงอย่างมิอาจควบคุมตัวเองพร้อมกับขอพร
“ขอให้ฉันสวยมากมากมาก”
เธอพูดคำว่า ‘มาก’ ถึงสามครั้งเพื่อเน้นหนักในความงาม
ทันทีที่กล่าวจบ ‘ประตู’ ของเครื่องแจกพรอัตโนมัติพลันเปิดออก หน้ากากสีเงินสว่างถูกผลักออกมาครอบใบหน้าจัสมิน
จัสมินรีบลืมตาขึ้น ยังทันเห็นวินาทีที่หน้ากากเลือนหายไป
ทันใดนั้นเอง เธอรู้สึกคล้ายเชื่อมต่อกับบางสิ่ง
เธอหันหลังกลับด้วยความหวัง รีบเดินมายังร้านริมถนนร้านเดิม อาศัยแสงไฟจากโคมแก๊สเพื่อมองดูภาพที่สะท้อนบนกระจก
ในวินาทีนี้ จัสมินมิอาจบรรยากาศลักษณะใบหน้าของตัวเองออกมาเป็นคำพูด ทราบเพียงว่าในวินาทีนี้ แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังหลงใหลไปกับมัน
จมูกกระชับขึ้น ริมฝีปากอวบอิ่ม ตาโตขึ้นและแวววาว ผิวหนังอ่อนนุ่มเหมือนพุดดิ้งนม แต่ยังหลงเหลือเค้าโครงเดิมไว้หลายจุด
“น…นี่มัน… ปาฏิหาริย์…” จัสมินอุทานจากก้นบึ้งหัวใจอย่างมิอาจควบคุมตัวเอง
เธอจ้องใบหน้าตัวเองด้วยความเสพติด ใช้เวลาสักพักกว่าจะถอนสายตากลับและหันไปคำนับให้เครื่องแจกพรอัตโนมัติ
จากนั้น หญิงสาวเดินตัวลอยไปยังป้ายจอดรถม้าสาธารณะ ระหว่างทางมีคนแอบชำเลืองนับไม่ถ้วน
โครม!
ชายคนหนึ่งซึ่งเอาแต่มองเธอไม่มองทาง ชนเข้ากับเสาโคมไฟแก๊สอย่างจัง
จัสมินยกมุมปากยิ้ม จากนั้นก็เดินขึ้นรถม้าสาธารณะโดยไม่กล่าวคำใด
ผู้คนบนรถยังคงเนืองแน่น เต็มทุกที่นั่งเช่นเคย
ขณะจัสมินเดินหาเก้าอี้ บุรุษหลายคนรีบยกก้นเหยียดตัวตรง จ้องมาทางเธอพร้อมกับยิ้ม
“คุณผู้หญิง นั่งที่ผมได้นะครับ”
จัสมินผงะไปเล็กน้อย เธอคาดไม่ถึงว่าจะได้รับการปฏิบัติตัวเช่นนี้
หญิงสาวไม่ปฏิเสธ เธอนั่งลงและยิ้มให้บุรุษที่ลุกให้
“ขอบคุณค่ะ”
สีหน้าของชายคนดังกล่าวเปี่ยมไปด้วยความสุข มันตอบกลับอย่างสุภาพ
“เป็นหน้าที่ของสุภาพบุรุษอยู่แล้วครับ”
จัสมินยังคงมีธรรมชาติของคนเก็บตัว จึงมิได้กล่าวคำใด เอาแต่นั่งนิ่งจนกระทั่งใกล้ถึงบ้านจึงค่อยลงจากรถ
หลังจากเดินไปตามทางได้ไม่กี่ก้าว เธอพบว่าใครบางคนกำลังจ้องมา จึงหันกลับไปมอง
อีกฝ่ายเป็นขี้เมา มันกำลังจ้องจัสมินด้วยสีหน้าซึ่งมอบความรู้สึกขยะแขยงเหนือพรรณนาให้หญิงสาว
จัสมินผงะเล็กน้อย ก่อนจะรีบย่ำเท้ากลับไปให้ถึงหอพัก อย่างไรก็ดี ผู้ชายที่เธอได้พบตลอดทางต่างมองมาด้วยสีหน้าแบบเดียวกัน ราวกับทุกคนพร้อมจะกลายเป็นสัตว์ร้ายตลอดเวลา
จัสมินรู้สึกประหนึ่งกำลังเดินอยู่ในป่าดงดิบ
………………………