Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1314 : ปาฏิหาริย์เพียงชั่วคราว
ก่อนหน้านี้ จัสมินเคยชอบสายตาจากเหล่าบุรุษ แต่ปัจจุบัน เธอกลับสัมผัสได้เพียงความน่ากลัว
หญิงสาวเร่งฝีเท้าประหนึ่งถูกพวกฟุซัคไล่ตาม
ในที่สุด จัสมินรีบหนีเข้าหอพักก่อนที่จะถูกใครประชิดตัว
ฟู่ว… หญิงสาวตบหน้าอกตัวเอง ตัดสินใจออกนอกบ้านตอนกลางคืนให้น้อยลง
ในวินาทีนี้เอง เธอเพิ่งตระหนักว่าความงดงามที่เกินพอดีก็มีข้อเสีย
หลังจากใจเย็นลง จัสมินเดินขึ้นบันไดสลัวไปยังชั้นสาม กลับไปหยุดยืนหน้าบ้านและเปิดประตูด้วยกุญแจสร้อย
หญิงสาวเข้าไปใกล้เตียงของพ่อแม่ด้วยความระมัดระวัง จ้องมองใบหน้าคนทั้งสองภายใต้แสงจันทร์
เมื่อเทียบกับตอนที่เธอกลับมาเอาเหรียญ ใบหน้าของพ่อแม่มีน้ำมีนวลขึ้นมาก ผมหงอกและริ้วรอยลดลงอย่างเห็นได้ชัด ปัจจุบันแทบไม่ส่งเสียงกรนอีกแล้ว
สุขภาพของพวกเขากลับเป็นปรกติจริงๆ … จัสมินยิ้มกว้างอย่างมิอาจควบคุม ภายในใจโล่งอกบอกไม่ถูก
เมื่อสัมผัสถึงความเคลื่อนไหว เปลือกตาของมารดาขยับเล็กน้อยก่อนจะลืมขึ้น
จัสมินกลั้นหายใจ ฉีกยิ้มกว้าง เตรียมเซอร์ไพรส์แม่ของตน
แม่ของเธอลุกขึ้นนั่งพลางขมวดคิ้ว ใบหน้าเผยความตื่นตระหนกอย่างชัดเจน
“คุณเป็นใคร!” หญิงสาวแผดเสียงถามก่อนจะกระชากสามีข้างๆ ด้วยพละกำลัง
เราเป็นใคร? จัสมินพลันผงะ ตอบคำถามง่ายๆ ไม่ถูกไปพักใหญ่
ทันใดนั้นเอง พ่อของเธอได้สติตื่น ก่อนจะจ้องลูกสาวตรงหน้าด้วยความสงสัยเจือหวาดระแวง
“ออกไป! ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งตำรวจ!” แม่ของจัสมินลุกจากเตียง หยิบเชิงเทียนด้านข้างเป็นอาวุธ
“คุณครับ พวกเราไม่ต้อนรับหัวขโมย” พ่อของจัสมินออกคำสั่งไล่ด้วยคำพูดรักษาน้ำใจ
มันทราบดี เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหัวขโมย ต้องพยายามพูดดีกับอีกฝ่าย ไม่อย่างนั้นอาจจุดชนวนให้เกิดความรุนแรงได้ง่าย
หากไม่มีภรรยาและลูก มันไม่กลัวการต่อสู้กับโจรแม้แต่น้อย แต่ปัจจุบันมันกำลังแบกครอบครัวไว้บนบ่า
ในที่สุด จัสมินดึงสติกลับมาและรีบพูด
“พ่อ… แม่… นี่ฉันเอง…”
ยังไม่ทันจะกล่าวจบ เธอถูกแม่และพ่อช่วยกันผลักออกจากบ้าน
ไม่มีใครสนใจฟังคำพูดของเธอ
โครม!
ประตูบ้านถูกปิดต่อหน้าต่อตา จัสมินพลันเหม่อลอยและทำตัวไม่ถูก
เธอต้องการจะเคาะประตูเพื่อพิสูจน์ตัวเองด้วยกุญแจบ้าน แต่ทันใดนั้น หญิงสาวได้ยินคนในห้องตะโกนออกจากหน้าต่าง คุยกับตำรวจที่อยู่ด้านล่างหอพัก:
“มีขโมย! ห้องฉันมีขโมย!”
ขโมย… พ่อแม่จำหน้าเราไม่ได้เลย… พวกเขาคิดว่าเราฆ่าตัวตายไปแล้วหรือไง… แล้วตำรวจจะเชื่อเรื่องเครื่องแจกพรอัตโนมัติไหม… หัวใจจัสมินรู้สึกเจ็บปวด อาศัยสัญชาตญาณ เธอตัดสินใจออกจากหอพักเพื่อหลบหน้าตำรวจ ไว้รุ่งเช้าค่อยอธิบายให้พ่อแม่ฟังอย่างใจเย็น เอาชนะใจพวกเขาด้วยความทรงจำที่มีร่วมกัน
กึก กึก กึก หญิงสาวก้มหน้าเดินลงบันได รีบออกจากหอพักท่ามกลางสายตาของเพื่อนบ้านที่ได้ยินเสียงเอะอะ
จัสมินวิ่งเข้าไปในตรอกใกล้เคียงเพื่อหลบหน้าตำรวจสายตรวจ เธอเริ่มหอบ น้ำตาไหลรินลงพื้นอย่างมิอาจควบคุม
ทันใดนั้น มือข้างหนึ่งยื่นมาปิดปากเธอ ก่อนจะลากเธอไปยังส่วนลึกสุดของตรอก
“เท่าไร? ฉันจะจ่ายทุกราคาไม่ว่าเธอจะคิดเท่าไร…” สุ้มเสียงอันเมามายดังก้องในหูจัสมิน ดูเหมือนว่าเธอจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโสเภณีและมิอาจขัดขืนอีกฝ่าย
จัสมินพยายามดิ้นสุดแรง ทั้งตกใจ หวาดกลัว และสิ้นหวัง
ขณะเธอกำลังจะล้ม มือของชายขี้เมาก็ปล่อยออก
“คุณผู้หญิง เป็นอะไรไหมครับ?” ตามด้วยเสียงแหบพร่าของบุรุษ
จัสมินรีบสลัดหลุดจากขี้เมาและวิ่งหนี ขณะหันหลังกลับไปมอง เธอเห็นตำรวจในเครื่องแบบขาวสลับดำ
“ข…เขา…” จัสมินละล่ำละลัก
ตำรวจชำเลืองหญิงสาวด้วยความสงสาร ตามด้วยกล่าว
“พวกเราจะดำเนินคดีกับเขา แต่คุณผู้หญิง คุณต้องไปที่สถานีตำรวจเพื่อให้ปากคำและลงบันทึกประจำวัน”
จัสมินอยู่ในภาวะสติกระเจิดกระเจิง จึงพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว
ไม่นานหลังจากนั้น เธอนั่งอยู่ในห้องสอบสวนของสถานีตำรวจใกล้เคียง ฝั่งตรงข้ามเป็นตำรวจคนเดิมและเพื่อนร่วมงาน
“สรุปก็คือ เขาไม่ได้ถามว่าคุณเป็นโสเภณีหรือไม่ และคุณก็ไม่ได้ส่งสัญญาณที่บ่งบอกว่าเป็น?” ตำรวจถามหลังจากไตร่ตรอง
มันพยายามระวังมิให้คำพูดกระทบกระเทือนจิตใจสาวงามตรงหน้า
จัสมินยกถ้วยกาแฟ ก้มหน้าจิบและพูด
“ค่ะ ฉันเพิ่งเดินไปถึงซอยนั้น”
“ตกลงครับ เท่านี้เป็นอันเสร็จสิ้น… มิสจัสมิน รบกวนแจ้งที่อยู่ของคุณด้วย ทางเราจะให้คนพาไปส่งถึงบ้าน” ตำรวจอีกนายถามด้วยเจตนาดี
เมื่อนึกถึงท่าทีตอบสนองของพ่อแม่ รวมถึงดวงตาที่น่ารังเกียจระหว่างทาง จัสมินตัวสั่นอย่างมิอาจยับยั้ง กล่าวด้วยน้ำตาที่พรั่งพรู
“ฉันทะเลาะกับพ่อแม่และคงกลับบ้านไม่ได้สักพัก… ช่วยไปส่งที่โรงแรมใกล้เคียง…”
กล่าวถึงตรงนี้ เธอนึกขึ้นได้ว่าตนเหลือเงินติดตัวอยู่แค่ไม่กี่เพนนี ไม่สามารถพักในโรงแรมดีๆ ได้ ส่วนโรงแรมถูกก็ยิ่งอันตรายกับตัวเธอ
ตำรวจคนแรกประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะตอบสนอง
“ตกลงครับ”
ระหว่างทางไปโรงแรม ตำรวจคนเดิมลังเลอยู่หลายครั้งก่อนจะตัดสินใจพูด
“เอ่อ… ผมหมายถึง… ถ้าคุณจะขายตัว บอกกับผมตรงๆ ได้เลยนะ ไม่ต้องอ้อมค้อม…”
ได้ยินประโยคดังกล่าว จิตใจจัสมินแทบแตกสลาย ตรงข้ามกับความรู้สึกที่ได้เห็นใบหน้าครั้งแรกบนกระจกโดยสิ้นเชิง
หญิงสาวรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง เธอเอาแต่นิ่งเงียบ
โชคดีที่ตำรวจนายดังกล่าวมิได้ใช้กำลังบังคับ ตามมาส่งเธอจนถึงประตูโรงแรมที่ใกล้ที่สุด
“ส่งแค่นี้ก็พอค่ะ ฉันจะเข้าไปเอง” จัสมินปฏิเสธข้อเสนอของอีกฝ่ายซึ่งต้องการไปส่งถึงหน้าห้อง
หลังจากตำรวจนายดังกล่าวเดินออกไปสักพัก เธอออกจากโรงแรมโดยไม่ได้เช็กอิน
หญิงสาวต้องการเดินทางไปยังจัตุรัสเทศบาลเพื่อยกเลิกความปรารถนาข้อสุดท้ายกับเครื่องแจกพรอัตโนมัติ
ความงดงามที่มากเกินไปช่างน่ากลัวเหลือเกิน!
หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จัสมินถอดผ้าพันคอและนำมาพันบนใบหน้าหลายรอบ เป็นสภาพเดียวกันการออกจากบ้านครั้งแรก
ในเวลานั้น ใบหน้าของเธอยังมีแผลไฟคลอก ไม่มีจมูก และริมฝีปากผิดรูปอย่างรุนแรงจนดูเหมือนปีศาจ
หลังจากนั่งรถม้ามาถึงจัตุรัสเทศบาล เธอเลี้ยวเข้าถนนเส้นเดิมและมองเห็นเครื่องแจกพรอัตโนมัติสีทองเหลืองในตำแหน่งเดิม
จิตใจจัสมินเริ่มสงบลง เธอเร่งฝีเท้าจนกระทั่งถึงเครื่อง
จากนั้น หญิงสาวตกอยู่ในภวังค์เหม่อลอย เนื่องจากไม่ทราบว่าจะยกเลิกพรได้อย่างไร
“ความปรารถนาแรกของคุณเป็นแค่รอบทดลองใช้ ไม่ถูกนับรวมในพรสามข้อ ดังนั้น คุณยังขอพรได้อีกหนึ่งข้อ” จัสมินได้ยินเสียงมิสเตอร์เมอร์ลินดังจากด้านข้าง
หญิงสาวหันหน้าไปมอง และพบว่าที่อีกฝั่งของถนน นักมายากลสวมหมวกทรงสูงกำลังจ้องมาทางเธอ
“ดีจัง… ดีจัง…” จัสมินรีบหยิบเหรียญเพนนีทองแดงหยอดลงในเครื่องแจกพรอัตโนมัติ
“ขอให้ความปรารถนาล่าสุดถูกยกเลิก” หญิงสาวหลับตาลงพลางพึมพำ จากนั้นก็หมุนคันโยก
กึก!
เธอได้ยินเสียงเคาะแผ่วเบาดังมาจากด้านใน
เมื่อลืมตาขึ้น จัสมินรีบเดินไปที่ร้านค้าริมถนนร้านเดิม หยุดหน้ากระจกและบรรจงถอดผ้าพันคอออก
เธอเห็นตัวเองอีกครั้ง เห็นหญิงสาวที่ไม่สวย
จัสมินถอนหายใจยาวทันที ก่อนจะหันกลับไปมองเครื่องแจกพรอัตโนมัติตามสัญชาตญาณ แต่ก็ต้องพบว่ามันหายไปพร้อมกับสุภาพบุรุษนามว่าเมอร์ลิน·เฮอร์มิส
“เทพธิดาจงเจริญ… ขอบคุณมิสเตอร์เฮอร์มิส” จัสมินแตะสี่จุดบนหน้าอกอย่างตั้งใจ
เธอใช้เหรียญทองแดงสุดท้ายเพื่อขึ้นรถม้ากลับบ้าน
ระหว่างทาง ไม่มีใครลุกให้เธอนั่ง
เมื่อร่างของหญิงสาวหายไปจากถนน ไคลน์ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งพร้อมกับถือกระจกโบราณสีเงินไว้ในมือ
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ เหตุใดท่านถึงไม่กล่าวทิ้งท้ายไปว่า ‘ความโลภที่มากเกินไป จะทำให้สิ่งดีกลายเป็นแย่’ หรือไม่ก็ ‘ความปรารถนามาพร้อมราคาเสมอ’ ? นั่นจะทำให้เรื่องราวดูลึกซึ้งและแฝงข้อคิดมากขึ้น อาจกลายเป็นนิทานที่โด่งดังในสักวัน” บนผิวกระจก ข้อความสีเงินสว่างขึ้น
ไคลน์ยิ้ม
“ความผิดพลาดในคำขอเธอก็คือ เรามิอาจทำให้เธอกลายเป็นคนสวยมากมากมากได้ด้วยวิธีการปรกติ… หน้ากาก ‘คำลวง’ สามารถปรับแต่งเค้าโครงหน้าตาได้แค่ในระดับหนึ่ง… ดังนั้น เราจึงทำการ ‘ปลูกถ่าย’ หนึ่งในคุณสมบัติของสมบัติปิดผนึกที่เกี่ยวกับ ‘แม่มด’ ลงบนตัวเธอ ส่งผลให้เธอครอบครองเสน่ห์อันน่าสะพรึงจนผู้ชายรอบตัวมิอาจต้านทาน”
สมบัติปิดผนึกดังกล่าวเป็นของซิล เกิดจากมรดกของเชอร์มาเน่
เนื่องจากซิลละเลยขณะเก็บรักษา ตะกอนพลังของเชอร์มาเน่จึงผสานเข้ากับกล่องบรรจุ กลายเป็นสมบัติปิดผนึกซึ่งมีผลข้างเคียงด้านลบร้ายแรงจนน่าหวาดหวั่น และยังทำให้น้องชายของซิลมองกล่องดังกล่าวด้วยสายตาแปลกๆ เสมอมา
เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ซิลสวดวิงวอนให้มิสเตอร์ฟูลช่วยผนึกมันไว้
หลังจากกล่าวด้วยท่าทีผ่อนคลาย ไคลน์ชำเลืองกระจกวิเศษ
“อาโรเดส เจ้ากำลังปลอบใจเรา?”
“เปล่าขอรับ ปัญหาคือหล่อนโลภเกินไปต่างหาก ถ้าเพียงหล่อนปรารถนาความสวยทั่วไปโดยไม่เน้นย้ำว่า ‘มากมากมาก’ ผลลัพธ์ก็คงไม่ออกมาเลวร้ายเช่นนี้” อักษรสีเงินเรียงตัวเป็นคำใหม่บนผิดกระจก
“ใช่ นั่นยังคงอยู่ในขอบเขตความสามารถของ ‘คำลวง’” ไคลน์พยักหน้ากับอาโรเดส “อย่างไรก็ดี การปรับแต่งของ ‘คำลวง’ อาจคงอยู่ถาวรก็จริง แต่นั่นเป็นเพียงการจัดระเบียบกล้ามเนื้อ ผิวหนัง และกระดูกหน้าใหม่ เมื่อเวลาผ่านไปหลายสิบปี เมื่อเธอค่อยๆ อายุมากขึ้น ความแตกต่างระหว่างส่วนที่ปรับแต่งและไม่ได้ปรับจะเริ่มแสดงความขัดแย้ง ใบหน้าจะแปลกและแข็ง เว้นเสียแต่เธอจะกลายเป็นผู้ไร้หน้าและคอยปรับแต่งใบหน้าตัวเองตลอดเวลา”
กล่าวถึงตรงนี้ ไคลน์ส่ายหน้า
“คำลวงก็คือคำลวง”
ขณะเดินไปยังอีกฝั่งของถนน มันพูดต่อ
“นอกจากนั้น แม้ว่าเธอจะสวยขึ้นจริง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าเธอจะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม จริงอยู่ที่ความงามจะนำมาซึ่งทรัพยากรมากมาย หรือแม้กระทั่งการได้สมรสกับเจ้าชาย แต่ด้วยบุคลิก ระดับความรู้ และอุปนิสัยแบบเธอ คงมิอาจนำพาชีวิตไปได้ไกลในทิศทางดังกล่าว… แต่บางที เธออาจเป็นคนเรียนเก่งก็ได้ เมื่อผนวกเข้ากับประสบการณ์ชีวิตซึ่งถูกยกระดับ อาจลงเอยด้วยชีวิตที่ดีขึ้น แต่นั่นก็แค่การสมมติ…”
ไคลน์หัวเราะในลำคอ:
“หึหึ… ปาฏิหาริย์คงอยู่เพียงชั่วคราว แต่ชะตากรรมจะคงอยู่ตลอดไป”
ขณะสนทนากับอาโรเดส ร่างของไคลน์ค่อยๆ หายไปจากมุมถนน
ความเข้าใจเกี่ยวกับผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ของมันลึกซึ้งขึ้นไปอีกขั้น
…
หลังจากกลับมาถึงหอพัก จัสมินมิได้เปิดประตูเข้าไปทันที เพียงรวบรวมความกล้าเพื่อเคาะประตู
ท่ามกลางเสียงเสียดสี ประตูเปิดออกพร้อมกับใบหน้าของผู้เป็นแม่
“กลับมาแล้วสินะ” แม่จัสมินถอนหายใจโล่งอก ก่อนจะถามด้วยเสียงตะกุกตะกัก “น…หน้าของเธอ… เกิดอะไรขึ้น?”
จัสมินฝืนยิ้ม
“หายเป็นปรกติแล้ว… ด้วยฝีมือของสุภาพบุรุษผู้ชอบสร้างปาฏิหาริย์… มิสเตอร์เครื่องแจกพรอัตโนมัติ”
ขณะพ่อแม่กำลังสงสัยว่าลูกสาวของตนอาจถูกผีเข้า เจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มหนึ่งในเครื่องแบบขาวดำเดินขึ้นบันไดมา
หัวหน้าทีมเป็นสตรีเจ้าของดวงตาสีฟ้าอ่อนและรอยยิ้มอ่อนโยน
“มิสจัสมิน พวกเรามีคำถาม” หญิงสาวกล่าวอย่างสุภาพ
……………………