Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1325 : กว่าครึ่งปีให้หลัง
ณ ‘เมืองแห่งการให้’ บายัม ในบ้านเช่าติดโคมไฟแก๊ส
เวอร์ดู·อับราฮัมซึ่งสวมแว่นตากรอบทอง กำลังถือเอกสารหนาทึบพลางอ่านท่ามกลางแสงสลัว บางครั้งก็ใช้ปากกาวาดสัญลักษณ์เพื่อเน้นเนื้อหาที่มันเห็นว่าสำคัญหรือเป็นประโยชน์
การที่มันเดินทางออกจากโลเอ็นมายังหมู่เกาะรอสต์ จุดประสงค์หลักก็เพื่อหลบเลี่ยงสายตาของโดเรี่ยนและสมาชิกคนอื่นในตระกูล หมั่นศึกษาศาสตร์เร้นลับด้วยความสบายใจเพื่อค้นหาวิธีช่วยเหลือบรรพชนอย่างเบเทล·อับราฮัม หรือไม่ก็หนทางในการทำให้พิธีกรรมง่ายขึ้น
แต่ผ่านไปกว่าครึ่งปี มันไม่พบเบาะแสใดเพิ่มเติม คล้ายกับไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องล่า ‘จอมเวทลึกลับ’ ‘ปรสิต’ และ ‘จอมเวทพิสดาร’
ผลลัพธ์ทำให้เวอร์ดู·อับราฮัมเกิดความหดหู่ไม่น้อย ในเวลาเดียวกัน มันตระหนักดีว่าสมบัติปิดผนึกระดับ 0 นั้นอันตรายเพียงใด ต่อให้ยอมสละชีวิตของตน ก็ใช่ว่าจะควบคุมมันได้โดยสมบูรณ์ เป็นการยากที่จะรับประกันความสำเร็จ
เหนือสิ่งอื่นใด การตามหา ‘จอมเวทพิสดาร’ กับ ‘ปรสิต’ ไม่ใช่เรื่องง่าย ตัวตนเหล่านี้คือนักบุญซึ่งขึ้นชื่อด้านความประหลาดและพิสดาร
เฮ้อ… เวอร์ดูวางกองเอกสารในมือลง พลางกล่าวกับตัวเองด้วยเสียงเกือบเงียบ
“หรือว่าเราต้องเป็นเหมือนกับโดเรี่ยนและคนอื่น ทำได้เพียงหวังพึ่งพาเดอะฟูลเท่านั้น?”
เมื่อนึกถึงนามเดอะฟูล เวอร์ดูอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เพราะในระยะหลัง ภายในเมืองบายัมมีการพบ ‘ครึ่งยักษ์’ ที่ศรัทธาในเดอะฟูลมากขึ้นเรื่อยๆ ขนาดว่ามันแทบไม่ได้ออกไปข้างนอกบ่อยนักก็ยังทราบเรื่องนี้
จนมันอดสงสัยไม่ได้ว่า นี่ตนหลงเข้ามาในเขตอำนาจของสำนักงานใหญ่โบสถ์เดอะฟูลอย่างนั้นหรือ
หากไม่ใช่เพราะว่าแถบหมู่เกาะรอสต์มีข้อมูลเชิงศาสตร์เร้นลับมหาศาล ชนิดที่แม้แต่เวอร์ดูก็ยังต้องทึ่ง มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ตระกูลอับราฮัมไม่เคยสอนหรืออธิบายมาก่อน มันคงตัดสินใจออกจากบายัมไปยังทวีปใต้ตั้งแต่เมื่อเดือนก่อนแล้ว
“เราไม่ควรอยู่ที่นี่ต่อ ต้องรีบจองตั๋วเรือเพื่อออกเดินทางไปยังไบลัมตะวันออก…” ขณะเวอร์ดูเตรียมตัดสินใจ มันฉุกคิดบางสิ่ง “แต่โดเรียนกับคนของโบสถ์เดอะฟูลอาจคิดไม่ถึงเช่นกันว่า เราจะซ่อนตัวอยู่ใกล้กับสำนักงานใหญ่ของพวกเขา… จักรพรรดิโรซายล์เคยกล่าวไว้ว่า ที่ที่อันตรายที่สุด คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด…”
ด้วยสีหน้าลังเล เวอร์ดูเก็บปึกเอกสาร ปิดโคมไฟผนัง เดินกลับไปยังห้องนอนโดยอาศัยแสงจันทร์ด้านนอกหน้าต่าง
ณ มุมระเบียงภายในห้อง ร่างหนึ่งกระโดดออกจากความมืดบนระเบียง กระโดดข้ามรั้วลงไปด้านล่างอย่างง่ายดาย
ร่างดังกล่าวเบาหวิวประหนึ่งขนนก แทบจะไร้น้ำหนัก สัมผัสกับพื้นดินโดยไร้สุ้มเสียงแม้จะตกลงมาเป็นระยะทางกว่าสิบเมตร
ทันทีหลังจากนั้น ร่างเดียวกันย่างกรายไปตามเงามืดบนถนน จนกระทั่งถึงบริเวณใกล้กับวิหารเทพสมุทรก็ปีนขึ้นไปบนหอระฆัง
จากนั้น ‘เขา’ หยิบปากกาและกระดาษ เขียนรายงานผลการเฝ้าจับตามองของวันนี้และสอดเข้าไปในช่องว่าง
เมื่อร่างดังกล่าวจากไป ราวสิบห้านาทีถัดมา เสียงสายลมดังขึ้นเหนือหอระฆัง
รายงานดังกล่าวคล้ายกับถูกมือล่องหนดึงออกจากช่องว่าง จากนั้นก็ลอยขึ้นไปในอากาศในลักษณะเทียวขึ้นเทียวลง ประหนึ่งค้างคาวกำลังสยายปีกบินยามค่ำคืน
ผ่านไปไม่นาน กระดาษรายงานพุ่งดิ่งพื้นประหนึ่งถ่วงหิน หล่นลงบนฝ่ามือที่ยื่นออกจากความมืดในมุมสวน
มือดังกล่าวไม่ใช่ใครนอกจากพระคาร์ดินัลแห่งโบสถ์วายุสลาตัน อัลเจอร์·วิลสัน
มันเริ่มอ่านรายงานอย่างตั้งใจทันทีท่ามกลางความมืด ไม่ต้องพึ่งพาสว่างแม้แต่น้อย
อัลเจอร์ในปัจจุบันสามารถมองเห็นทุกสิ่งในทะเลลึกได้อย่างกระจ่าง
“เวอร์ดูมีแนวโน้มที่จะออกจากบายัมมากขึ้นเรื่อยๆ …” อัลเจอร์พยักหน้าเล็กน้อยพลางสรุปในใจ
ตามคำสั่งของมิสเตอร์ฟูล มันคอยเฝ้าจับตาเวอร์ดูแห่งตระกูลอับราฮัมมานานกว่าครึ่งปีแล้ว แต่ก็ไม่พบพฤติกรรมผิดปรกติใดเลย
เมื่อเวอร์ดูเดินทางออกจากหมู่เกาะรอสต์ ภารกิจของอัลเจอร์จะจบลงทันที
ทว่า อัลเจอร์ไม่ต้องการให้มันจบลงเช่นนี้ เพราะคิดว่าตนยังสร้างผลงานได้ไม่มากพอ ทำเพียงคอยติดตามลำดับ 7 ที่ไม่มีสิ่งใดพิเศษ
เฮอร์มิทได้รับตะกอนพลังลำดับ 3 จากราชินีเงื่อนงำ และปัจจุบันเตรียมวัตถุดิบเสริมเสร็จแล้ว เหลือเพียงการเตรียมพิธีกรรม ข้อเท็จจริงดังกล่าวสร้างความกดดันให้อัลเจอร์ในปริมาณมหาศาล จริงอยู่ นอกจากการเฝ้าจับตามองเวอร์ดู มันยังคอยทำงานให้มิสเตอร์ฟูลอีกหลายอย่าง แต่กระนั้นยังรู้สึกว่า ยังเหลือช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างคะแนนผลงานของตน กับการแลกเปลี่ยนตัวตน ระดับพลัง และอำนาจของเทพสมุทร
มีบางอารมณ์ชั่ววูบที่อัลเจอร์อยากบีบคั้นให้เวอร์ดู·อับราฮัมต้องจนตรอกและเปิดเผยปัญหาออกมา แต่ในท้ายที่สุด มันตัดสินใจปัดตกความคิดดังกล่าว เพราะยังไม่แน่ใจว่ามิสเตอร์ฟูลมีทัศนคติอย่างไรต่อเป้าหมาย การลงมือเองอาจสร้างปัญหา
เมื่อครั้งเมืองเงินพิสุทธิ์และจันทราเทขายสูตรโอสถและตะกอนพลัง อัลเจอร์ได้ซื้อบางส่วนมาจากชุมนุมทาโรต์เพื่อบ่มเพาะกองกำลังผู้วิเศษซึ่งเป็นอิสระจากโบสถ์ และจงรักภักดีกับตนแต่เพียงผู้เดียว เป็นหน่วยรบในเงามืด โดยบุคคลที่คอยจับตามองเวอร์ดูก็มาจากทีมนี้
ปัจจุบัน ทีมดังกล่าวซึ่งมีสมาชิกไม่ถึงสิบคน ส่วนใหญ่ยังอยู่ในลำดับ 9 และมีส่วนน้อยที่เลื่อนเป็นลำดับ 8
สำหรับคำถามที่ว่า อัลเจอร์นำเงินจากไหนมาซื้อตะกอนพลัง คำตอบไม่ซับซ้อน:
ในฐานะพระคาร์ดินัลซึ่งมีอำนาจดูแลมุขมณฑล อัลเจอร์สามารถ ‘เก็บเงิน’ ได้จากหลากหลายช่องทาง ย้อนกลับไปในช่วงก่อนหน้านี้ บรรดาเหมืองแร่ สวนเครื่องเทศ และโรงงานต่างๆ บนหมู่เกาะรอสต์ล้วนมีราคาต่ำกว่าความเป็นจริง หากใครมีกำลังทรัพย์กว้านซื้อ ก็สามารถคืนทุนและทำกำไรปริมาณมหาศาลหลังจากผ่านไปเพียงครึ่งปี
เหนือสิ่งอื่นใด สำนักงานใหญ่ของโบสถ์วายุสลาตันก็สนใจตะกอนพลังและสูตรโอสถจำนวนมากของเมืองเงินพิสุทธิ์และจันทรา จึงส่งเงินทุนจำนวนมากมาแลกเปลี่ยนกับสินค้าเหล่านี้ และคนที่ถือเงินก็ไม่ใช่ใครนอกจากพระคาร์ดินัล อัลเจอร์·วิลสันแห่งมุขมณฑลหมู่เกาะรอสต์ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่เงินบางส่วนจะแอบ ‘เข้ากระเป๋า’
ทบทวนความคิดสักพัก อัลเจอร์ตัดสินใจกำชับให้ ‘องครักษ์เงา’ ของตนตระเวนขายความรู้เชิงศาสตร์เร้นลับในชุมนุมผู้วิเศษบายัม เพื่อดึงดูดเวอร์ดู·อับราฮัมให้ยังคงอยู่ที่นี่ต่อไป
“ชายคนนั้นคงกลัวการเผยแผ่ศาสนาของชาวเมืองเงินพิสุทธิ์…” อัลเจอร์ส่ายหน้าพลางพึมพำกับตัวเอง
มันทำลายรายงานในมือทิ้งและเดินกลับเข้าวิหาร
…
ในยามรุ่งสาง ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกจากโรงแรม เพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพยามเช้าของบายัมด้วยท่าทีผ่อนคลาย
หลังจากซื้อเครื่องดื่ม ‘เทียน่า’ ซึ่งมาพร้อมเปลือกผลไม้จากพ่อค้าริมถนน มันพบว่ามีเงาขนาดใหญ่โผล่ขึ้นด้านข้าง
ชายหนุ่มหันศีรษะไปมองพร้อมกับเงยหน้า และพบครึ่งยักษ์สูงกว่า 2.5 เมตรกำลังย่างกรายเข้ามา
“คุณสุภาพบุรุษ ไม่ทราบว่าพอจะมีเวลาว่างสักครู่หรือไม่ ผมอยากให้คุณได้รู้จักกับพระผู้มาโปรดของพวกเรา มิสเตอร์ฟูล” ครึ่งยักษ์โน้มตัวลงเล็กน้อย พยายามทำให้รอยยิ้มของตนดูอบอุ่นที่สุด
ชายคนดังกล่าวจิบเทียน่าพลางชี้ไปด้านข้าง
“ก็ได้ แต่ไม่ใช่ที่นี่”
มันเดินหลบมุมโดยไม่ให้ขวางทางผู้อื่น โดยมีครึ่งยักษ์ซึ่งแผ่บรรยากาศกดดันเดินตามหลังอย่างอ่อนโยน
“เชิญ” ชายคนดังกล่าวไม่ปิดบังความอยากรู้อยากเห็น
สีหน้าของครึ่งยักษ์กล้ามใหญ่กลายเป็นเคร่งขรึมทันที
“พระองค์เรียกตนเองว่ามิสเตอร์ฟูล ไม่ว่าจะอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต พระองค์คือผู้ปกครองสูงสุดเหนือโลกวิญญาณ ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ และเป็นจุดหมายของผู้ต้องการมีชีวิตเป็นนิรันดร์… พระองค์ดำรงอยู่เหนือโลกความจริงและวิญญาณ พระกรุณาของพระองค์ท่วมท้นผืนฟ้าแลแผ่นดิน พระองค์มีเทวทูตหกองค์คอยรับใช้เคียงกาย…”
“เทวทูตปรอท ร่างอวตารแห่งชะตากรรม เป็นเทวทูตที่พระองค์โปรดปรานมากที่สุด… เทวทูตความตาย ผู้ติดตามรับใช้พระองค์มายาวนานที่สุด และยังเป็นกงสุลแห่งโลกความตาย… เทวทูตไถ่ถอน ผู้เป็นกระบอกเสียงและคอยถ่ายทอดพระวิวรณ์ของพระองค์… เทวทูตชีวิต ผู้เปรียบดังการตกผลึกของปัญญา เปรียบดังพลังวิญญาณซึ่งไม่มีวันสูญสลายและสถิตภายในร่างกายมนุษย์ทุกคน”
ได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มยิ้มทันที
“พระองค์ของคุณช่างน่าทึ่ง มีเทวทูตคอยรับใช้มากมายทีเดียว”
“ยังไม่หมด…” ครึ่งยักษ์เล่าอย่างอ่อนโยน “ข้างบัลลังก์ของพระองค์คือ ‘เทวทูตทัณฑ์สวรรค์’ เปรียบดังสายฟ้า ความพิโรธ และมือเท้าของพระองค์ เป็นผู้พิพากษาและเพชฌฆาตซึ่งคอยจัดการผู้ที่เสื่อมทรามและสกปรก… ตรงข้ามกับเทวทูตทัณฑ์สวรรค์คือเทวทูตกาลเวลา ในโบราณกาลท่านเคยเป็นราชา แต่ท้ายที่สุดก็ยอมจำนนต่อพระองค์และคอยสั่นระฆังสวรรค์เพื่อพระองค์”
“สุดยอด…” ชายคนดังกล่าวอุทานด้วยสีหน้าจริงใจ
ได้ยินคำตอบดังกล่าว ครึ่งยักษ์อดอมยิ้มไม่ได้ จึงทำการบรรยายปาฏิหาริย์ต่างๆ ของเดอะฟูลให้กระชับที่สุด และปิดท้ายว่า:
“นี่ก็สิบห้านาทีแล้ว ผมไม่อยากรบกวนเวลาอันมีค่าของคุณไปมากกว่านี้ หากสนใจเพิ่มเติมให้เดินทางไปยังวิหารเดอะฟูล อาคารหมายเลข 16 ถนนฟิลลิปส์ ที่นั่นคือวิหารที่ใหญ่ที่สุดของเราในบายัม… ฮุฮุ… สำหรับที่อื่น ตอนนี้พวกเรากำลังวางแผนกันอยู่”
ชายหนุ่มพยักหน้า
“ถ้ามีเวลาผมจะแวะไป”
เมื่อเห็นครึ่งยักษ์หันหลังเดินกลับ ชายคนเดิมฉีกยิ้มพร้อมกับหยิบแว่นผลึกออกจากกระเป๋า สวมลงบนดวงตาข้างขวา
…
ครึ่งยักษ์คนดังกล่าวเดินกลับไปยังร้านอาหารและเปลี่ยนเป็นเครื่องแบบพ่อครัว
“บัลเดอร์ แวะไปสอนศาสนามาหรือ” เจ้าของร้านถามด้วยรอยยิ้ม
ในตอนแรกที่สมาคมวิชาชีพแนะนำให้ครึ่งยักษ์คนนี้มาเรียนทำอาหารกับตน มันออกอาการลังเลชัดเจน เพราะรู้สึกว่าอีกฝ่ายสามารถดับลมหายใจของตนได้โดยการแกว่งแขนเพียงครั้งเดียว อีกทั้งยังดูไม่เหมือนผู้มีพรสวรรค์ด้านอาหาร
แต่ปัจจุบัน มันพึงพอใจในตัวบัลเดอร์มาก เพราะไม่เพียงครึ่งยักษ์คนนี้จะซื่อสัตย์ ว่าง่าย และมีความอดทนสูง แต่ยังเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศคุกคามจนอันธพาลข้างถนนไม่กล้ามาก่อกวนร้านอาหาร
ปัญหาเดียวของบัลเดอร์ก็คือ มันมักออกไปแผ่เผยความเชื่อเกี่ยวกับเดอะฟูลในทุกเช้า
อย่างไรก็ดี เนื่องจากไม่ใช่เวลาทำงาน เจ้าของร้านจึงมิได้ตำหนิหรือใส่ใจ
บัลเดอร์ฉีกยิ้มอย่างอบอุ่น เดินเข้าไปในครัวด้านหลังและกล่าวกับบอนน์ สหายจากเมืองจันทรา:
“วันนี้ผมจะสอนย่างปลา”
ภายนอกบอนน์ดูค่อนข้างปรกติ มีเพียงดวงตาที่ข้างหนึ่งมองขึ้นและข้างหนึ่งมองลง เป็นชาวเมืองจันทรากลุ่มน้อยซึ่งกล้าหาญพอที่จะติดต่อสื่อสารกับคนภายนอก เมื่อได้ยินคำกล่าวของบัลเดอร์ บอนน์พยักหน้า
“ตอนนี้ผมขอสวดวิงวอนก่อน มิสเตอร์ฟูลส่งวิวรณ์มาว่า ให้ชาวเมืองจันทราสวดวิงวอนพร้อมกันในเวลาเก้าโมงตรง โดยเป็นการแสดงความปรารถนาที่จะหายจากภาวะพิการ”
……………………………