Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1328 : กรรมกรหลังฉาก
การเตรียมตัวเบื้องต้นสำหรับสร้างเมืองหุ่นเชิด ค่อนข้างน่าเบื่อและยุ่งยาก หรืออย่างน้อยไคลน์ก็เชื่อเช่นนั้น
ภายในวังโบราณอันกว้างใหญ่ ไคลน์กำลังนั่งบนเก้าอี้พนักสูงของเดอะฟูล ถือปากกาหมึกซึมเขียนชื่อ อายุ และชะตากรรมของหุ่นเชิดแต่ละตัวลงบนกระดาษ พลางแบ่งหนอนวิญญาณออกจากร่างและสั่งให้มันก่อตัวเป็นร่างโคลน
ไคลน์เหล่านั้นบ้างนั่งบนพื้น บางนั่งบนเก้าอี้ยี่สิบเอ็ดที่นั่งข้างโต๊ะทองแดงยาว บ้างเสกเตียงขึ้นมานอน
จนกระทั่งผ่านไปสักพัก พวกมันเลือกหนังสือหลายเล่มออกจากกองขยะและอ่านอย่างตั้งใจ
หนังสือเหล่านั้น บางส่วนประกอบด้วย:
“วิธีบ่มไวน์”
“ตารางรถไฟ”
“สารานุกรมการทำขนม”
“การเตรียมตัวก่อนบวช”
“คู่มือการซ่อมโคมไฟแก๊สติดผนัง มาตรวัดแก๊ส และเครื่องจักรภายในบ้าน”
“อาหารสไตล์เดซีย์”
“แนวทางการบริหารท่าเรือ”
“กฎหมายพื้นฐาน”
นิตยสาร “สุนทรียสตรี”
เหล่านี้คือความรู้เชิงมืออาชีพที่หุ่นเชิดตัวต่างๆ จะต้องศึกษาให้เชี่ยวชาญ จะได้สวมบทบาทอย่างสมจริงในทุกมิติ ต่อให้สนทนากับคนนอกก็ไม่เปิดเผยปัญหาให้เห็น
สำหรับไคลน์ ลำพังการ ‘รู้ผิวเผิน’ ยังไม่เพียงพอ แต่ต้องชำนาญให้ถึงแก่นจนสามารถนำไปปรับใช้ได้จริง ยิ่งไปกว่านั้น มันห้ามนำแต่ละบทบาทมาปนกันโดยเด็ดขาด ห้ามมิให้คนสับสวิตช์ที่แข็งแรงและมีรายได้น้อย โพล่งเกี่ยวกับเครื่องประทินผิว ความชุ่มชื้นของผลิตภัณฑ์ หรือข้อบกพร่องของผ้าไหม
หากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นภายในโรงละคร นั่นยังพอจะสร้างมนต์เสน่ห์แปลกๆ แก่ผู้ชม แต่หากความผิดพลาดดังกล่าวปรากฏขึ้นบนโลกความจริง เห็นได้ชัดว่ามันไม่มีประโยชน์ต่อความก้าวหน้าของพิธีกรรม
เพื่อเลี่ยงปัญหา ไคลน์มีแต่ต้องทำงานให้หนักในช่วงแรก ตัวละครภายในเมืองหุ่นเชิดจะได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างสมจริง เหมาะสม และครบครัน
โชคดีที่เมืองหุ่นเชิดของมันไม่จำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเชิงลึกมากนัก ชาวเมืองส่วนใหญ่เป็นกลุ่มกึ่งไม่รู้หนังสือ หรือบางส่วนก็ไม่รู้หนังสือเลย เป็นประเภทดำรงชีวิตด้วยการสั่งสมประสบการณ์ประจำวัน การสวมบทบาทเป็นตัวละครเหล่านี้ ไคลน์แทบไม่ต้องศึกษาเพิ่มเติม เช่นเดียวกันกับบรรดาคนงานในไลน์ผลิตซึ่งผ่านการฝึกอบรมเพียงเล็กน้อย หรือไม่มีการฝึกอบรมเลย
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ไคลน์วางปากกา ลูบหน้าผาก ถอนหายใจยาวโล่งอก
ในที่สุดก็เขียนข้อมูลเกี่ยวกับชาวเมืองเกือบห้าพันคนในเมืองหุ่นเชิดเสร็จสิ้น เช่นเดียวกันกับการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม
ไม่ต่างอะไรกับการกำกับหนังฟอร์มยักษ์ โดยมีเราเป็นผู้เขียนบท ช่างแสง ช่างประกอบ ช่างแต่งหน้า และตัวนักแสดงเอง… หากต้องเตรียมการนานกว่านี้อีกสักนิด เกรงว่าคงได้แสดงสัญญาณภาวะคลุ้มคลั่ง บุคลิกแตกแยก ดำดิ่งลงไปในก้นเหว… โชคดีที่เรามีจิตแพทย์ส่วนตัวมือฉมัง…
ปัญหาที่ต้องกังวลก็คือ ระหว่างดำเนินการเมืองหุ่นเชิด แม้ว่าจะเราจะเป็นสุภาพบุรุษซึ่งมีการศึกษาดี แต่ชาวเมืองส่วนใหญ่เป็นชนชั้นล่าง ไม่ว่าจะคำพูดหรือการกระทำ ทุกสิ่งล้วนหยาบคายจนเกือบจะเป็นกุ๊ย… ห้ามสร้างข้อผิดพลาดโดยเด็ดขาด อย่าปล่อยให้ภูมิคุ้มกันทางจิตใจเข้าครอบงำการแสดง… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ เสกร่างโคลนรอบตัวให้สลายกลับไปเป็นหนอนวิญญาณ จากนั้นก็ปล่อยให้พวกมันชอนไชกลับเข้าร่าง
แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกตัว ยังคงเหลือ ‘ไคลน์’ ที่รอบริหารจัดการปราสาทต้นกำเนิดแทนร่างต้น
วินาทีถัดมา ไคลน์ส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง นำยุบพองหิวโหยออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์และสวมมัน
จากนั้น ชายหนุ่มเทเลพอร์ตไปยังเกาะแห่งหนึ่งบนทะเลคลั่ง เป็นเกาะซึ่งอยู่นอกเส้นทางเดินเรือปลอดภัย
นี่คือ ‘เวที’ ที่ไคลน์เลือก
สถานที่แห่งนี้ถูกพายุปิดกั้นจนต้องโดดเดี่ยวตลอดทั้งปี ปราศจากร่องรอยกิจกรรมของมนุษย์ มีเพียงผืนป่าขนาดใหญ่และสัตว์ป่า
ไคลน์มองไปรอบตัว เลือกสถานที่โล่งแห่งหนึ่ง นำมือขวาทาบอกซ้ายพลางสวดวิงวอนเคร่งขรึม
“ข้าปรารถนาให้ที่นี่มีเมืองสำหรับรองรับประชากรห้าพันคน”
ทันทีที่กล่าวจบ ไคลน์ยกมือขวาขึ้นและดีดนิ้ว
เพียงพริบตา พื้นที่โล่งกลายเป็นที่ราบในทันที ผืนป่าโดยรอบ ‘ถดถอย’ ออกไปเป็นวงกว้าง เกิดเป็นท่อนซุง หิน และดินจำนวนมาก
แทบจะในเวลาเดียวกัน อาคารจำนวนมากผุดขึ้นจากพื้นดิน พวกมันประกอบกันจากหินและไม้ สูงสุดไม่เกินสี่ชั้น สถาปัตยกรรมใกล้เคียงกับอ่าวเดซีย์แห่งอาณาจักรโลเอ็น
ผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ สิ่งก่อสร้างจำพวกบ้านเรือน ห้องสมุด สถานีตำรวจ สำนักงานโทรเลข อาคารเทศบาล โรงพยาบาลเล็ก โรงงานขนม สำนักงานประปา บริษัทแก๊ส สถานีรถไฟไอน้ำ รถม้ารางคู่ และไร่สวนด้านนอกเมือง ทยอยเป็นรูปเป็นร่างทีละจุด แม้แต่พื้นถนนก็ยังถูกปูด้วยคอนกรีตหรือไม่ก็อิฐหิน
ในตอนสุดท้าย ใกล้กับจัตุรัสใจกลางเมือง วิหารยอดแหลมผุดขึ้นจากพื้นดินด้วยบรรยากาศเด่นสง่า
นี่คือวิหารเทพธิดารัตติกาล สอดคล้องกับภูมิหลังของเมืองเป็นอย่างดี
“ข้าปรารถนาให้มีท่าเรือน้ำลึกบนเกาะแห่งนี้” ไคลน์ไม่หยุดขอพร
เป๊าะ!
ชายหนุ่มดีดนิ้วอีกครั้งเพื่อเติมเต็มความปรารถนาของตน
ห่างจากตัวเมืองราวสามกิโลเมตร ท่าเรือขนาดย่อมก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ประกอบไปด้วยท่าเทียบเรือสองแห่ง โกดังสินค้าห้าหลัง โรงแรมริมท่าเรือ ร้านอาหารเรียบง่าย สถานีตำรวจ ผับ ประภาคาร และฐานทัพเรือ
“ข้าปรารถนาให้การคมนาคมระหว่างท่าเรือและเมืองเป็นไปอย่างสะดวก” ไคลน์ขอพรข้อที่สาม
มันยกมือขวาขึ้นมาดีดนิ้ว
ถนนคอนกรีตและรางบรรทุกสินค้าปรากฏขึ้นระหว่างเมืองและท่าเรือ
ตามแผนของไคลน์ ท่าเรือมีไว้สำหรับรองรับผู้มาเยือนทางทะเล ส่วนตัวเมืองจะรองรับนักเดินทางจากทวีปเหนือและใต้เป็นหลัก
จ้องมองเมืองอันว่างเปล่าด้วยความชื่นชมสักพัก ไคลน์กดหมวกทรงสูงเหนือศีรษะพลางเทเลพอร์ตไปยังด้านข้างจัตุรัสเทศบาล บรรจงย่างกรายเข้าไปในวิหารที่มันตั้งชื่อว่า ‘วิหารพระแม่อาเรียนน่า’ อย่างใจเย็น
ประตูวิหารเปิดอยู่ ด้านในค่อนข้างมืด
ผ่านไปสักพัก ร่างสามร่างโผล่ขึ้นที่ประตูวิหาร คนหนึ่งคือสุภาพบุรุษวัยสามสิบ สวมสูทสุภาพติดโบหูกระต่าย คนหนึ่งเป็นสตรีใบหน้าเรียบง่ายบรรยากาศอ่อนโยน และคนสุดท้ายเป็นเด็กที่แต่งตัวแก่แดด
สตรีคนดังกล่าวเดินสองสามก้าวอย่างยากลำบาก ก่อนจะบิดขี้เกียจ ยิ้มและหันมากุมมือสุภาพบุรุษด้านข้าง
ด้วยรอบยิ้มเจือจาง สุภาพบุรุษปล่อยให้สตรีแนบอิงร่างกายท่อนบน จากนั้นก็ยื่นมือขวาไปหาเด็กชายและจูงเดิน
เด็กชายเดินกึ่งกระโดดโลดเต้นอย่างมีชีวิตชีวา
การเคลื่อนไหวของพวกมันดูติดขัดเล็กน้อยในช่วงต้น แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งไหลลื่น จนกระทั่งผ่านจัตุรัส
เมื่อพวกมันจากไป ผู้คนจำนวนหนึ่งทยอยเดินออกจากวิหารพระแม่อาเรียนน่า มีทั้งตำรวจ ช่างซ่อม พนักงานบริษัทแก๊ส พ่อครัวร้านอาหาร ชายชราผมหงอก และชาวสวนที่แต่งกายซอมซ่อ
ราวหนึ่งชั่วโมงถัดมา ผู้คนที่เดินออกจากวิหารรัตติกาลมีจำนวนมหาศาลจนนับไม่ไหว แต่ละคนเดินไปตามถนนแต่ละเส้น เข้าตรอกซอกซอยที่แตกต่าง เข้าบ้านหลังที่ต่างกัน แต่บางคนยังคงแช่อยู่ที่จัตุรัส ชื่นชมทัศนียภาพอันปราศจากพิราบขาว
ระหว่างนั้น จำนวนคนที่เดินออกจากวิหารคล้ายกับจะล้นปริมาณที่ความจุวิหารรองรับไหว แต่สายธารของผู้คนกลับยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหลั่งไหล ราวกับด้านในเชื่อมต่อกับอีกเมืองหนึ่ง
ผ่านไปอีกราวสิบห้านาที ประตูวิหารพระแม่อาเรียนน่ากลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ทว่า ยังคงมีหนู แมลงสาบ มด แมลงวัน ยุง และแมลงอื่นๆ ทยอยคลานออกมา
ท้ายที่สุด กระจกหลายสีสันที่ด้านบนวิหารถึงคราวเปิดออก นกพิราบขาวจำนวนหนึ่งบินออกมาและร่อนลงยังใจกลางจัตุรัส
บรรดาชาวเมืองในจัตุรัสได้รับชีวิตชีวาโดยสมบูรณ์ทันที บ้างหยอกล้อกับนกพิราบขาว บ้างมองหาพ่อค้าแผงลอย และบ้างสนทนากับเพื่อนฝูงอย่างยิ้มแย้ม
ชายผู้แต่งกายด้วยหมวกทรงสูง เสื้อโค้ทกันลม และไม้ค้ำ เดินออกจากจัตุรัสไปยังอีกด้านหนึ่งของเมือง ก่อนจะหยุดฝีเท้าด้านหน้าป้ายไม้
มันหยิบอุปกรณ์ออกมาและสลักลงบนป้ายไม้:
“ยาร์นัน”
หลังจากครุ่นคิดสักพัก ชายคนดังกล่าวทำการ ‘เช็ด’ คำว่า ‘ยาร์นัน’ ออกและเขียนลงไปใหม่ว่า:
“ยูโทเปีย”
…
กรุงเบ็คลันด์ ภายในคฤหาสน์สุดหรูของตระกูลฮอลล์
“พี่อัลเฟรดขึ้นเรือโดยสารลำที่มุ่งหน้ากลับมายังทวีปเหนือแล้วหรือคะ?” ออเดรย์ไม่เก็บซ่อนความประหลาดใจ
ปัจจุบันคือเดือนกันยายนปี 1352
ตลอดหกเดือนที่ผ่านมา ออเดรย์มิได้ใช้ความพยายามมากนักในการโน้มน้าวให้บิดายังคงอยู่ที่เบ็คลันด์ต่อไป โดยไม่กลับไปพักร้อนในดินแดนของตระกูลบนแคว้นเชสเตอร์ตะวันออก เหตุเพราะหัวเมืองใหญ่อย่างเบ็คลันด์และคอนสแตน มีความจำเป็นต้องก่อสร้างใหม่อย่างเร่งด่วน อีกทั้ง ขุนนางใหญ่ยังต้องคอยรักษาสมดุลในเวทีการเมืองของอาณาจักร ส่งผลให้เอิร์ลฮอลล์มีงานยุ่งวุ่นวาย ไม่ได้อยู่ในอารมณ์อยากพักร้อน
ดังนั้น เมื่อเอิร์ลฮอลล์เผชิญทางแยก หญิงสาวทำเพียงแสดงเจตจำนงว่าเธอต้องการอยู่ที่กรุงเบ็คลันด์ต่อไป จึงค่อยกลับไปพักร้อนในแคว้นเชสเตอร์ตะวันออกในช่วงครึ่งปีหลัง ออเดรย์สามารถกำหนดสถานการณ์ให้ดำเนินไปตามที่ต้องการได้ดังใจนึก นับเป็นความสำเร็จที่น่ายกย่อง
สำหรับสมาคมแปรจิต พวกมันมิได้เร่งเร้าหญิงสาวมากนัก – หลังจากการประชุมครั้งนั้น จวบจนปัจจุบัน คณะกรรมการของสมาคมแปรจิตเพิ่งจัดการประชุมไปเพียงสามครั้ง ส่วนใหญ่เป็นการแลกเปลี่ยนผลการวิจัยและข้อมูลในขอบเขตรับผิดชอบ สำหรับเบาะแสเกี่ยวกับมังกรจิต มีเพียงมาดามละโมบที่ถามไถ่อยู่สองหน
ด้วยความสัตย์จริง หากมิสเตอร์ฟูลมิได้กำชับให้ออเดรย์คอยระวังกระต่ายผู้ใช้โค้ดเนม ‘โทสะ’ รวมถึงประธานใหญ่ที่ลืมหายไปจากความทรงจำได้ง่าย หญิงสาวคงคิดเป็นจริงเป็นจังว่าการประชุมคณะกรรมการนั้นน่าสนใจ เนื่องจากมิสเตอร์กระต่ายทั้งหลักแหลมและคมคาย โชคดีที่คำเตือนช่วยให้เธอไม่ลดความระแวงลง
“ใช่ เรือแล่นออกจากท่าแล้ว” เอิร์ลฮอลล์ยิ้มพลางพยักหน้า “เมื่ออัลเฟรดมาถึงเบ็คลันด์และเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมที่จำเป็นจนครบถ้วน พวกเราจะกลับเชสเตอร์ตะวันออกเพื่อล่าสุนัขจิ้งจอกกัน”
ฤดูใบไม้ร่วงคือเวลาที่เหมาะสมแก่การล่าสุนัขจิ้งจอก
ออเดรย์อืมในลำคอ
“ค่ะ”
…
ในฐานะพลเรือตรี อัลเฟรดมิได้ตามกองทัพเรือเพื่อไปขึ้นบกที่ท่าเรือเดซีย์ แต่นำเสนาธิการและเหล่าทหารส่วนตัวขึ้นเรือโดยสารพลังงานผสมตรงมายังท่าเรือพริสต์
หลังจากแล่นเรือเกือบสองวัน พวกมันเผชิญพายุกลางทะเลคลั่ง
ขณะเรือโคลงเคลงอย่างหนัก ลูกเรือบนดาดฟ้าอาศัยกล้องส่องทางไกล ช่วยให้มองเห็นแสงสว่างจุดหนึ่ง
แสงจากประภาคาร
…………………………………