Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1333 : อาบน้ำร้อนมาก่อน
ทันใดนั้น กล้ามเนื้อหลังของเวนเดลล์เกร็งขึ้นมาทันที คล้ายกับพร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อ
มันตกตะลึงปนสงสัย ภายในใจคาดเดาหลายสิ่ง
ชาวเมืองยูโทเปียเป็นสัตว์ประหลาดที่สวมหนังมนุษย์ ภายนอกอาจดูปรกติ แต่ถ้าเผชิญกับจุดบอดทางเหตุผล พวกเขาจะแสดงการตอบสนองที่แตกต่างจากมนุษย์ปรกติ?
หรือว่าเจ้าหน้าที่สถานีจะรู้อยู่แล้วว่าเราโกหก แต่แค่ไม่อยากยุ่ง จึงแสร้งทำเป็นไม่เอะใจและปล่อยเราไป? ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?
การแบกกระเป๋าเดินทางเข้าห้องน้ำสถานีคือสิ่งที่เข้าใจได้ เพราะบางคนอาจกลัวกระเป๋าหาย แต่ภายในชานชาลามีชายคาครอบคลุม จึงไม่มีความจำเป็นต้องพกร่ม แถมฝนก็หยุดตกแล้ว…
เวนเดลล์มองออกไปนอกหน้าต่างตามความเคยชิน พบว่าดวงอาทิตย์กำลังสาดแสงเข้ามาในชานชาลาปัจจุบัน ผู้โดยสารกำลังต่อแถวอย่างเป็นระเบียบ แตกต่างจากบรรยากาศหม่นหมองภายในยูโทเปียโดยสิ้นเชิง
ฟู่ว… มันหายใจออก ร่างกายคลายความเกร็งลง
ที่นี่ไม่ใช่ยูโทเปีย… เราออกมาได้แล้ว… เวนเดลล์พึมพำ ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อเย็นจากหน้าผาก
เมื่อตระหนักถึงสิ่งที่ตนเคยมองข้าม มันรู้สึกคล้ายกับกำลังจมอยู่ในฝันร้ายที่มิอาจลืมตาตื่น
ผ่านไปสักพัก เวนเดลล์ลุกขึ้นยืน ตัดสินใจเดินลงไปยังชานชาลาเพื่อสูบบุหรี่ให้สมองปลอดโปร่ง
ยาสูบคือสิ่งที่ปลอบโยนมันได้ดีเสมอ และช่วยให้มีเวลาขบคิดเกี่ยวกับประสบการณ์ซึ่งเคยเผชิญในยูโทเปีย
ระหว่างนั้น มันผุดข้อสันนิษฐาน
อาจเป็นเพราะเราช่วยเทรซี่ด้วยความจริงใจ เจ้าหน้าที่สถานีจึงยอมปล่อยผ่าน…
เวนเดลล์อยากเชื่อข้อสันนิษฐานนี้ มากกว่าทฤษฎีที่คาดเดาว่า ชาวยูโทเปียทั้งหมดคือสัตว์ประหลาดสวมหนังมนุษย์
ทันใดนั้น จากหางตา มันเห็นคนขับรถกำลังสนทนากับกลุ่มคนตรงมุมหนึ่ง
เวนเดลล์ค่อยๆ ขยับเข้าใกล้อย่างแนบเนียน แอบฟังบทสนทนาของอีกฝ่าย
อาศัยโสตประสาทที่ยอดเยี่ยมกว่าคนปรกติ มันได้ยินคำพูดอีกฝ่ายจากระยะห่างที่ไม่ก่อให้เกิดความสงสัย:
“สถานี… ยูโทเปีย… เมื่อคืนนี้…”
“ไม่มีอยู่ใน… อาณาจักร…”
“เก็บเรื่องนี้เป็นความลับด้วย…”
เวนเดลล์ขยับคิ้วเล็กน้อย เมื่อผนวกเข้ากับเนื้อหาบนเอกสารที่กำลังถูกซุกซ่อนภายในเสื้อ มันพอจะเข้าใจสิ่งที่คนกลุ่มนี้พูดกับคนขับรถ
อีกฝ่ายกำลังสื่อว่า อาณาจักรโลเอ็นไม่มีสถานีรถไฟที่ชื่อยูโทเปีย และเมื่อคืน สถานะของรถไฟถูกระบุว่า ‘หายไป’ !
ในวินาทีนี้ เวนเดลล์หวาดผวาจากก้นบึ้งอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็รู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ตนรอดชีวิตมาจากยูโทเปียสำเร็จ
…
จากท่าเรืออิสเคอร์เซ่น อัลเฟรดใช้เวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์เพื่อกลับไปยังกรุงเบ็คลันด์
นั่นเพราะมันต้องตระเวนเยี่ยมญาติของพวกพ้องที่ล่วงลับในสงคราม อดีตเพื่อร่วมงาน ผู้หลักผู้ใหญ่ที่กลับมาพักผ่อนในดินแดนศักดินา และครอบครัวของคู่ค้าทางธุรกิจตลอดทาง
“เหนื่อยยิ่งกว่าการออกรบเสียอีก” อัลเฟรดบ่นกับบิดาของตน เอิร์ลฮอลล์
เอิร์ลฮอลล์ยิ้มและชี้ไปทางบันได
“กลับไปพักที่ห้องก่อน ค่อยมาคุยกันในห้องหนังสือ”
มันค่อนข้างพึงพอใจในสภาพจิตใจและความก้าวหน้าของลูกชายคนรอง
อัลเฟรดมองไปรอบตัว ถามด้วยรอยยิ้ม
“อัญมณีที่เปล่งประกายที่สุดในเบ็คลันด์ไปไหน?”
มันเว้นวรรค ก่อนจะเสริม
“แล้วฮิบเบิร์ตล่ะ?”
เอิร์ลฮอลล์ยิ้ม
“ออเดรย์อยู่ที่มูลนิธิของเธอ มีกำหนดจะกลับในช่วงบ่าย เธอเอาแต่บ่นว่าเจ้าไม่ยอมบอกกำหนดการที่แน่นอนเสียที จึงจัดตารางเวลาของตัวเองไม่ถูก… ตอนนี้ฮิบเบิร์ตเป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแล้ว งานยุ่งมาก”
อัลเฟรดพยักหน้าโดยมิได้กล่าวคำใด เพียงเดินกลับห้องเพื่ออาบน้ำ สวมเสื้อเชิ้ต เสื้อกั๊ก และสูทสุภาพ
“ผมชอบความผ่อนคลายของไบลัมตะวันออกมากกว่า” มันมองเข้าไปในกระจก พลางกล่าวกับคนสนิทด้วยรอยยิ้ม
“แต่งตัวแบบนี้แล้วดูเหมือนขุนนางมากกว่า” คนสนิทของมันยื่นเอกสารในมือ “ท่านนายพล ทาง MI9 ส่งเอกสารฉบับนี้มาถึงคุณ”
“MI9?” อัลเฟรดแกะซองเอกสารด้วยสีหน้าครุ่นคิด “ผลการสืบสวนเกี่ยวกับยูโทเปียออกมาแล้วหรือ?”
ยังไม่ทันกล่าวจบ มันอ่านเอกสารอย่างตั้งใจ
ระหว่างนั้น อัลเฟรดพลิกหน้ากระดาษช้าลง จนกระทั่งพลิกกลับไปอ่านหน้าแรกใหม่
เนื้อหาหลักของรายงานแบ่งออกเป็นสองส่วน
หนึ่งคือ สมาชิกของ MI9 ผู้รับหน้าที่ลำเอียงรายงานของอัลเฟรดไปส่งที่ศูนย์บัญชาการ เกิดหลงเข้าไปในเมืองยูโทเปียและได้เป็นพยานในคดีฆาตกรรม จากนั้นก็ตัดสินใจหลบหนีกลับมายังรถไฟกลางดึก ส่วนที่สอง ในอาณาจักรไม่มีสถานีรถไฟชื่อยูโทเปีย และบนทะเลคลั่งก็ไม่มีท่าเรือชื่อยูโทเปียเช่นกัน นอกเหนือจากข้อมูลข้างต้น เจ้าหน้าที่ไม่พบเบาะแสอื่น
สองประเด็นดังกล่าวมิได้ทำให้อัลเฟรดประหลาดใจมากนัก สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของมันมากที่สุดคือคดีฆาตกรรม:
คนร้ายชื่อเทรซี่ เป็นเจ้าของโรงแรม เคยผ่านการศึกษาระดับมัธยม เพิ่งกลายเป็นเมียน้อยของนักธุรกิจ และพยายามจะสลัดให้หลุดจากสถานะดังกล่าว
ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับเทรซี่ เจ้าของโรงแรมริมท่าเรือที่อัลเฟรดเคยพบ เรียกได้ว่าข้อมูลตรงกันทั้งหมด
อัลเฟรดจึงมั่นใจว่าคนร้ายในคดีคือคนเดียวกับเทรซี่ หญิงงามที่มีการศึกษาและบรรเลงเพลงเศร้าในตอนกลางคืน
“นี่น่ะหรือ ภูมิหลังของเธอ…” อัลเฟรดพึมพำเสียงแผ่ว
มันตระหนักว่าชาวเมืองยูโทเปียมีความสมจริงมาก ไม่ได้เป็นเพียงภาพลวงตาอย่างที่เคยเข้าใจ
กล่าวคือ ในยามที่คนนอกจากไป ชาวยูโทเปียยังคงใช้ชีวิต มีความรัก ความเกลียดชัง เจ็บปวด และโศกเศร้า
หากไม่นับเรื่องที่ยูโทเปียไม่น่าจะมีอยู่จริง ทุกสิ่งฟังดูคล้ายกับเมืองทั่วๆ ไปในโลเอ็น
บางที ยูโทเปียอาจมีอยู่จริง และทุกคนเป็นคนจริง แต่การจะเข้าไปที่นั่น ต้องอยู่ให้ถูกที่ถูกเวลา… อัลเฟรดพยักหน้าแผ่วเบา ผ่อนคลายอารมณ์ตัวเองสักพักก่อนจะวางเอกสารจาก MI9 ลง
มันสลัดความคาใจทิ้งไป ไม่คิดจะลงมือสืบสวนในเชิงลึก
ต้องไม่ลืมว่า ในทวีปใต้เต็มไปด้วยเหตุการณ์ประหลาดมากมาย ความอยากรู้อยากเห็นที่มากเกินไปจะนำมาซึ่งอันตรายเหนือจินตนาการ
หลังจากจัดระเบียบเครื่องแต่งกายและอารมณ์ อัลเฟรดเดินมายังห้องหนังสือของบิดาและเคาะประตู
“เข้ามาได้” เสียงของเอิร์ลฮอลล์ดังจากด้านใน
อัลเฟรดสางผมสีทอง ผลักประตูเข้าไป หาที่นั่งให้ตัวเอง
เอิร์ลฮอลล์ยิ้ม
“โตเป็นชายเต็มตัวแล้วสินะ”
“ไม่มีใครพูดแบบนี้กับคนที่โตเป็นชายเต็มตัว” อัลเฟรดตอบโต้ทันควัน
“ในใจพ่อ เจ้ายังเป็นแค่เด็กหัวดื้อ” เอิร์ลฮอลล์ยิ้มก่อนจะกล่าว “เป็นผู้วิเศษลำดับ 5 แล้วหรือ?”
อัลเฟรดตอบสำบัดสำนวน:
“ใช่ ผมกลายเป็นอัศวินเต็มตัวแล้ว”
เอิร์ลฮอลล์ผงกศีรษะพลางถอนหายใจ
“เจ้าคงเผชิญความยากลำบากมาไม่น้อย… เท่าที่พ่อทราบ ไม่ว่าจะสงครามหรือโอสถ ทั้งสองสิ่งต่างเป็นอันตรายต่อผู้คน ทั้งทางร่างกายและจิตใจ”
“ทุกคนต้องเผชิญความเจ็บปวดในชีวิต” อัลเฟรดถอนหายใจ
มันกล่าวโดยนัยแบบที่สุภาพบุรุษชาวโลเอ็นชอบทำ
เว้นวรรคสักพัก มันเสริม
“เมื่อเทียบกับตอนที่เพิ่งออกจากเบ็คลันด์ ตอนนี้ผมดีขึ้นมากแล้ว ตราบใดที่จับหลักการได้ ในระดับของผม ยังไม่มีความจำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับอิทธิพลจากความบ้าคลั่งมากนัก”
เอิร์ลฮอลล์มิได้สานต่อบทสนทนา เพียงกล่าวว่า
“น้องสาวของเจ้าก็เป็นผู้วิเศษ”
“หือ…?” อัลเฟรดผงะในตอนต้น แต่จากนั้นก็ฉุกคิดบางสิ่ง จึงกล่าวด้วยท่าทีขุ่นเคือง “นึกว่าเธอเปลี่ยนงานอดิเรกแล้วจริงๆ”
“ดูเหมือนว่า เจ้าจะมีส่วนในการผจญภัยของออเดรย์สินะ” เอิร์ลฮอลล์กล่าวต่อ “พ่ออยากให้เจ้าไปตักเตือนเธอถึงอันตรายจากโอสถ ชี้ให้เห็นว่ามันเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและเจ็บปวดเพียงใด โน้มน้าวให้เธอไม่พัฒนาไปจากลำดับปัจจุบัน”
อัลเฟรดตอบโดยไม่ลังเล
“ผมทำแน่”
ตกเย็น ภายในห้องหนังสือเล็กของออเดรย์
“อัลเฟรด มีอะไรหรือ” ออเดรย์ซึ่งเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้าน เดินนำซูซี่ไปเปิดประตูต้อนรับพี่ชาย
เธอรออีกฝ่ายอยู่ที่นี่หลายนาทีแล้ว
“พี่มีบางสิ่งจะมาเตือน” อัลเฟรดเดินเข้าไปในห้องหนังสือ ดึงเก้าอี้ออกมานั่ง
ออเดรย์ยิ้ม ชี้ไปทางสุนัขโกลเดนรีทรีเวอร์และกล่าว
“ให้ซูซี่ออกไปข้างนอกไหม”
เมื่อมองไปทางโกลเดนรีทรีเวอร์ตัวใหญ่ด้านข้าง อัลเฟรดอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นดวงตาเปี่ยมอารมณ์ของอีกฝ่าย
“ไม่จำเป็น มันคงไม่แอบฟังบทสนทนาของพวกเรา”
“เธอต่างหาก” ออเดรย์แก้ไขให้ถูกต้อง
หลังจากสตรีผู้สูงศักดิ์นั่งลงฝั่งตรงข้าม อัลเจอร์ถอนหายใจพลางรำพัน
ไม่ได้เจอกันหลายปี น้องสาวของเราบรรลุนิติภาวะแล้ว ไม่ว่าจะหน้าตาหรือนิสัย ทั้งสองสิ่งล้วนอยู่ในระดับที่น่าทึ่ง ไม่ใช่สาวน้อยคนเดิมอีกต่อไป…
อัลเฟรดจ้องหน้า ถามอย่างเป็นกันเอง
“ได้ยินว่าเธอเป็นผู้วิเศษ”
“ใช่” ออเดรย์พยักหน้าเงียบขรึม
เดิมที อัลเฟรดคิดจะถามลำดับ แต่หลังจากไตร่ตรองสักพัก มันรู้สึกว่าพฤติกรรมดังกล่าวโผงผางเกินไป อาจทำให้อีกฝ่ายรู้สึกต่อต้าน จึงเรียบเรียงคำพูดสักพักก่อนจะกล่าว
“คงเป็นเส้นทางผู้ชมสินะ? ซาลามันเดอร์สีรุ้งมีความสามารถทำนองนั้น”
ซาลามันเดอร์สีรุ้งคือของขวัญที่อัลเฟรดเคยมอบให้น้องสาว
หลังจากเห็นว่าออเดรย์ไม่ปฏิเสธ อัลเฟรดถามติดตลก
“เธอรักษาอาการทางจิตได้หรือยัง? ผู้วิเศษส่วนใหญ่ รวมถึงพี่ ล้วนต้องการความช่วยเหลือในด้านนี้ จริงสิ ลืมบอกไป ตอนนี้พี่เป็น ‘อัศวินวินัย’ ลำดับ 5 แห่งเส้นทางผู้ตัดสิน”
ออเดรย์เม้มริมฝีปาก จากนั้นก็ยิ้มและกล่าว
“ฉันเป็นนักจิตบำบัดที่ได้รับการฝึกฝนจากมืออาชีพ เรื่องนี้ท่านพ่อกับท่านแม่ยืนยันได้”
เธออยู่ลำดับ 7 แล้ว… สีหน้าอัลเฟรดเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“ออเดรย์ พี่อยากจะเตือนเอาไว้ว่า โอสถไม่ได้มอบเพียงพลัง”
กล่าวถึงตรงนี้ มันเว้นวรรคเพื่อสังเกตท่าทีของน้องสาว และพบว่าออเดรย์มิได้แสดงท่าทีต่อต้าน เพียงนั่งนิ่งตั้งใจฟัง
“ทุกโอสถจะมาพร้อมความบ้าคลั่งซึ่งสามารถนำไปสู่ภาวะคลุ้มคลั่ง… พี่เคยเห็นคนที่ลงเอยด้วยจุดจบดังกล่าวมาแล้ว… มากกว่าหนึ่งครั้ง… มันเกิดกับศัตรูของพี่ พวกพ้องของพี่ และไม่มีใครเลยที่รอด…” อัลเฟรดเล่าถึงอันตรายของโอสถโดยละเอียด เป็นการอ้างอิงจากประสบการณ์ส่วนตัวในไบลัมตะวันออก
ระหว่างนั้น มันพบว่าไม่ได้มีเพียงออเดรย์ที่ตั้งใจฟัง แม้แต่ซูซี่ โกลเดนรีทรีเวอร์ตัวใหญ่ก็ยังนอนหมอบอย่างสงบ
……………………………