Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1339 : หลังประตู
แม้ว่าเสียงจากสำนักงานโทรเลขจะฟังดูปรกติ เป็นน้ำเสียงอันราบเรียบซึ่งมีการขึ้นลงเล็กน้อยตามธรรมชาติ ตามปรกติแล้วจะไม่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวเมื่อได้ยิน แต่หัวใจเวอร์ดูกลับเต้นระรัวในพริบตา
ราวกับกระสุนเพลิงที่ยิ่งเข้าไปในคลังแสง เมื่อดินปืนติดไฟ ทุกสิ่งก็ลุกลามเป็นวงกว้าง เฉกเช่นหัวใจอันตื่นตระหนกของเวอร์ดู
ความหวาดผวาที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างเวอร์ดู เป็นราวกับฝ่ามือที่จับคว้าหัวใจเอาไว้แนบแน่นจนสมองขาวโพลน มันคิดสิ่งใดไม่ออกนอกจากหันหลังวิ่ง ย่ำเท้าสุดกำลังไปยังท่าเรือที่มีเรือโจรสลัดจอดเทียบ
ระหว่างนั้น เวอร์ดูหลงลืมโดยสมบูรณ์ว่าตนกำลังสวมชุดคลุมโบราณที่มีพลังเทเลพอร์ต เพียงวิ่งกึ่งสะดุดไปตามแนวซากปรักหักพัง บ้างก็ล้มหัวคะมำ บ้างก็ถูกเสื้อผ้ารัดแน่นจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีม่วง ต้องหยุดกิจกรรมและยืนสูดลมหายใจเข้าลึก
แต่เมื่อกลับมาผ่อนคลายเล็กน้อย เวอร์ดูจะออกวิ่งอีกครั้งโดยไม่คิดชีวิตทันที ราวกับคนบ้าที่สูญเสียเหตุและผลไปโดยสมบูรณ์
ประตูไม้ย่อมมิอาจรักษาสมดุลเมื่อไม่มีคนจับ มันเลื่อนลงไปตามแนวกำแพงและนอนลงบนพื้นอิฐ
หมอกสีเทาและอาคารบ้านเรือนภายในพลันสลายไป
ห้าหกนาทีถัดมา เวอร์ดูวิ่งกลับมาถึงท่าเรือท่ามกลางท้องฟ้าที่กำลังจะก่อตัวเป็นพายุ
ดวงตาของมันกำลังเบิกกว้าง เปี่ยมไปด้วยความตื่นตระหนกและสับสน มิได้สนใจชายหนุ่มมาดเย็นชาซึ่งกำลังมองลงมาจากดาดฟ้าเรือโจรสลัดอย่างเงียบงัน
นี่คือชายหนุ่มผู้สวมหมวกทรงกึ่งสูงและชุดคลุมยาวสีดำ เจ้าของใบหน้าเคร่งขรึม
เวอร์ดูรีบใช้บันไดเรือเดินกลับขึ้นมาโดยไม่คิดสิ่งอื่น จากนั้นก็วิ่งแจ้นกลับเข้าเขตห้องโดยสาร ขึ้นบันไดไปยังชั้นสองและกลับเข้าห้องตัวเอง
โครม!
มันปิดประตู ขดตัวบนเตียงเล็ก ห่มผ้าคลุมโปงในสภาพตัวสั่น
เมื่อมีซี่โครงร้าวเพิ่ม ความเจ็บปวดแสนสาหัสแทรกซึมเข้ามาในจิตใจเวอร์ดูอย่างท่วมท้น มันพบว่าตัวเองรู้สึกเจ็บไปทุกส่วน ร่างกายร้อนผ่าว ทุกลมหายใจเปรียบดังเสียงฟ้าร้อง
มันดิ้นรนจนกระทั่งถอดชุดคลุมโบราณออกสำเร็จ ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงด้วยความรู้สึกวิงเวียน คลื่นไส้ และขาดอากาศ
ด้านนอกเขตห้องโดยสาร ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าเย็นชายกมือขึ้น หยิบถุงมือหนังมนุษย์จากอากาศมาสวมในมือซ้าย
ทันใดนั้น ชายคนดังกล่าวหายตัวไปและโผล่ขึ้นอีกครั้งที่มุมหนึ่งของซากปรักหักพัง ใกล้กับประตูไม้ซึ่งดูธรรมดา
มันโน้มตัวลง ยกประตูไม้ขึ้นมาพิงซากกำแพง
ทันทีหลังจากนั้น ชายในชุดคลุมสีดำเลียนแบบการเคลื่อนไหวของเวอร์ดู เลื่อนมือไปจับด้านจับและบิดลง
ถัดมา ชายหนุ่มผลักประตูไม้ไปข้างหน้าในสภาพเอนพิงซากกำแพง
แทบจะในเวลาเดียวกัน มันเห็นสายหมอกสีเทา เห็นถนนและบ้านเรือท่ามกลางหมอกจางๆ
จากบรรดาอาคารบ้านเรือน โดดเด่นที่สุดคงหนีไม่พ้นสำนักงานโทรเลขท่าเรือแบนชี ส่วนบ้านหลังอื่นค่อนข้างพร่ามัว
ทันใดนั้น เสียงอ่อนโยนภายในห้องโทรเลขถามผ่านบานประตู
“คุณ… เป็นใคร”
“ผมคือ… เกอร์มัน… สแปร์โรว์” ชายหนุ่มผู้แต่งกายด้วยหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง ตอบด้วยน้ำเสียงสูงสลับต่ำแบบเดียวกับอีกฝ่าย
บรรยากาศภายในสำนักงานโทรเลขท่าเรือแบนชีเงียบลงกะทันหัน คล้ายกับมีคนกำลังเดินแผ่วเบามาทางประตู
ในเวลาเดียวกัน เกอร์มัน·สแปร์โรว์หันหน้าไปมองอีกด้านหนึ่ง
ณ ส่วนลึกของถนนเส้นยาวอันมืดมิด ร่างหนึ่งเดินเข้ามา แต่งกายด้วยหมวกฟางและพันผ้าขนหนูรอบคอ มันโน้มตัวลงมาด้านหน้าเล็กน้อยคล้ายกับกำลังลากบางสิ่ง
เมื่อร่างดังกล่าวขยับเข้าใกล้ เค้าโครงของสิ่งที่มันกำลังลากก็ปรากฏให้เห็น
เป็นยานพาหนะสีดำสองล้อ มีหลังคาสำหรับบังแดดและฝน
บนรถเข็นมีสตรีคนหนึ่งถือพัดลายดอกไม้และนก แต่งกายด้วยเดรสกระโปรงยาวและสายคาดเอว
ทั้งเธอและคนลากรถถูกหมอกหนาบดบังจนมองไม่เห็นใบหน้า
จนกระทั่งพวกมันเคลื่อนที่ผ่านเกอร์มัน·สแปร์โรว์ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เริ่มปรากฏขึ้นท่ามกลางสายหมอก
ใบหน้าของผู้ชายที่กำลังลากรถในท่าโน้มตัว เน่าเปื่อยจนมองเห็นไปถึงกระดูกด้านใน หนองสีเหลืองไหลเวียนแจ่มชัด สำหรับฝ่ายหญิง ในจุดที่มิได้ถูกพัดและเสื้อผ้าบดบัง ผิวหนังของเธอบวมพองหลายจุด ลักษณะเป็นตุ้มเนื้อสีน้ำเงินเข้มเต่งใส
ทันใดนั้น เสียงระฆังดังขึ้น รถไฟสีน้ำเงินซึ่งมีตู้โดยสารเพียงสอง แล่นตรงมายังเกอร์มัน·สแปร์โรว์
จนถึงตอนนี้ เกอร์มัน·สแปร์โรว์เพิ่งตระหนักได้เมื่อสายว่า บนพื้นถนนมีรางเหล็กสีดำพาดผ่าน และบนอากาศเหนือรางมีสายของบางสิ่งทอดตรงเป็นทางยาว
บริเวณหัวรถไฟมีโครงโลหะยื่นออกมาเพื่อจับกับสายดังกล่าว
ผ่านหน้าต่างกระจกรถไฟ เกอร์มัน·สแปร์โรว์มองเห็นผู้โดยสารด้านใน
พวกมันทั้งหมดหันหน้าเข้าหาถนน แต่อยู่ในสภาพเหลือเพียงศีรษะติดกับกระดูกสันหลังเปื้อนเลือด
รูม่านตาของเกอร์มัน·สแปร์โรว์เบิกกว้างเล็กน้อย เฝ้ามองฉากดังกล่าวโดยไม่ขยับตัวเป็นเวลานาน
ผ่านไปเกือบหนึ่งนาที มันก้าวเท้าไปด้านหน้า พยายามตรงเข้าไปในถนนพร่ามัวซึ่งปกคลุมด้วยหมอกสีเทา
ทว่า หมอกได้ปิดกั้นการผ่านเข้าออก ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่เป็นผล
สิบห้านาทีถัดมา เกอร์มัน·สแปร์โรว์เลิกพยายาม ทำเพียงปิดประตูไม้ สลายสายหมอกสีเทา ก่อนจะพาประตูไม้เทเลพอร์ตมายังเรือโจรสลัดโดยไม่กังวลว่าจะถูกคำสาปเล่นงาน
ชายหนุ่มวางประตูไม้ไว้บนดาดฟ้า เหยียดมือซ้ายไปจับบานประตู
ทันใดนั้น ลำคอของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ส่งเสียง ‘ปึด’ คล้ายกับศีรษะของมันถูกกระชากขึ้นด้านบนด้วยมือล่องหน ลากขึ้นไปพร้อมกับกระดูกสันหลังเปื้อนเลือด
เกอร์มัน·สแปร์โรว์ยังคงไม่เปลี่ยนสีหน้า เพียงยกมือขวาขึ้นอย่างเฉยเมยและกดศีรษะกลับเข้าไปยังตำแหน่งเดิม
ทันทีหลังจากนั้น มันบิดด้ามจับราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นำประตูไม้ไปพิงกับกราบเรือและผลักเข้าไป
แต่คราวนี้ปราศจากสายหมอกสีเทา ไม่มีคน ไม่มีถนน ไม่มีบ้านเรือน ไม่มีรถไฟ ไม่มีสิ่งใดผิดปรกติแม้แต่อย่างเดียว
วินาทีถัดมา ประตูไม้ผุพังอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเพียงแอ่งโคลน ประหนึ่งมันไม่อยากเผชิญชะตากรรมที่ต้องเป็นหนูทดลอง
เกอร์มัน·สแปร์โรว์มิได้ถอดใจ เพียงหยิบแหวนทองคำเลี่ยมทับทิมออกมาสวมนานเกือบสิบวินาที
หลังจากสลายแหวนทิ้ง เกอร์มัน·สแปร์โรว์ใช้มือขวาลากประตูไม้ธรรมดาออกจากความว่างเปล่า และเริ่มทดสอบในอีกหลายสิ่ง
หลังจากยืนยันว่าประตูไม้จะสูญเสียความพิเศษเมื่อออกจากแบนชี เกอร์มัน·สแปร์โรว์สลายมันทิ้งอย่างไม่แยแส
สองชั่วโมงถัดมา เมฆสูงบนท้องฟ้าค่อยๆ เลือนหาย พายุที่ก่อตัวอยู่นาน สุดท้ายก็มิได้สำแดงฤทธิ์เดช
เมื่อเรือโจรสลัดแล่นออกห่างจากท่าแบนชี เวอร์ดูซึ่งปฐมพยาบาลตัวเองเสร็จ ทำการดื่มยาขวดหนึ่งและทิ้งตัวลงนอนเพื่อปรับสภาพจิตใจ
ท่ามกลางโลกความฝันสีเทา มันกำลังวิ่งอยู่ในดินแดนอันรกร้าง มองหาบางสิ่งอย่างตั้งใจ แต่ก็ไม่พบอะไรเลย
ทันใดนั้นเอง เวอร์ดูได้ยินเสียงหนึ่งดังเป็นระยะมาจากส่วนลึกของดินแดนรกร้าง:
“มหาเทพแห่ง… สงคราม…”
“สัญลักษณ์แห่ง… เหล็กและเลือด…”
“เจ้าแห่ง… ความวุ่นวายและขัดแย้ง…”
ประโยคดังกล่าวดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่ได้ปลุกให้เวอร์ดูตื่นจากความฝัน
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ เวอร์ดูลืมตาตื่นขึ้นตามธรรมชาติ
ปัจจุบัน แสงยามเช้าจากนอกหน้าต่างกำลังสาดส่องเข้ามา
เวอร์ดูบรรจงพยุงตัวนั่ง และพบว่าตนไม่จำเป็นต้องใช้พลังของโหราจารย์ ก็สามารถจดจำนามเต็มทั้งสามวรรคได้
อาศัยความรู้เชิงศาสตร์เร้นลับที่ค่อนข้างเข้มข้น เวอร์ดูทราบทันทีว่านั่นคือนามเต็มของบุคคลระดับทวยเทพ
เป็นความฝันที่เกิดจากลวดลายและอักขระข้างแท่นบูชา หรือมาจากถนนที่เราเห็นในหมอกสีเทา? เวอร์ดูขมวดคิ้วครุ่นคิด
มันไม่คิดจะท่องนามเต็มส่งเดช เพราะทราบดีว่านั่นจะทำให้เผชิญกับชะตากรรมที่น่าสมเพชได้ง่าย
มหาเทพแห่ง… สงคราม… เวอร์ดูจำได้เลือนรางว่าตนเคยเห็นชื่อนี้จากบันทึกของตระกูล จึงตัดสินใจกลับไปศึกษาเพิ่มเติมก่อน ค่อยพิจารณาว่าจะทำอย่างไรในภายหลัง
…
ท่าเรือแบนชี บนซากภูเขาริมทะเล
เปลวไฟสีกึ่งแดง กึ่งขาว กึ่งส้ม โผล่ออกจากกลุ่มก้อนกรวดและก่อตัวเป็นรูปร่าง
ร่างดังกล่าวสวมชุดเกราะสีดำเปื้อนเลือด ผมสีแดงเพลิง ใบหน้าอ่อนเยาว์และหล่อเหลา
หว่างคิ้วมีสัญลักษณ์สีแดงเลือดคล้ายธง ไม่ใช่ใครนอกจากวิญญาณมารเทวทูตสีชาด เซารอน·ไอน์ฮอร์น·เมดีซี
“ถ้าไม่ใช่เพราะ ‘ท่าน’ เป็นผู้ครอบครองปราสาทต้นกำเนิดและมีตะกอนพลังของบริวารเร้นลับอยู่ในมือ จนสามารถบงการหุ่นเชิดได้โดยไม่จำกัดระยะทาง ข้าคงไม่ต้องเสียเวลาอ้อมค้อมขนาดนี้” วิญญาณมารเทวทูตสีชาดบ่นหัวเสีย ไม่มีใครทราบว่ากำลังคุยกับใคร
กลางอากาศ อีกาตัวหนึ่งบินลงมาเกาะบนหินใหญ่
ตาข้างขวามีวงกลมสีขาว มันเปล่งเสียงมนุษย์จากปาก
“ถึงกับเรียกว่า ‘ท่าน’ แทน ‘เขา’ … ไม่ใช่นิสัยของเจ้าเลยนะ”
วิญญาณมารเทวทูตสีชาดหัวเราะในลำคอ
“เพราะทางนั้นต้องการให้คนอื่นเรียกว่า ‘เขา’ ไม่ใช่ ‘ท่าน’”
ขณะกล่าว เซารอน·ไอน์ฮอร์น·เมดีซีชำเลืองอีกา
“ร่างนี้น่ารักน่าตัวจริงเยอะเลย ว่าไหม อีกาน้อย?”
อีกาตาขาวตอบโดยปราศจากความขุ่นเคือง
“รูปแบบการเย้ยหยันของเจ้าไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ยังคงโบราณเสมอต้นเสมอปลาย”
วิญญาณมารเทวทูตสีชาดยิ้ม
“ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างราบรื่น ท่านมิได้เอะใจเลยว่าสักนิดความจริงกำลังถูกปกปิด แต่ถึงท่านจะทราบ ก็คงแสร้งทำเป็นไม่เห็นกระมัง เพราะถ้าทางนั้นต้องการเป็นวันวาน ก็ต้องให้ ‘ประตู’ กลับมาอยู่ดี… แต่ด้วยนิสัย ท่านคงลังเลอยู่ไม่น้อย เพราะการกลับมาของประตูย่อมหมายถึงหายนะครั้งใหญ่… ฮะฮะ! ข้าชอบหายนะ… อีกาน้อย แล้วเจ้าจะตอบแทนข้าตอนไหน? ข้าเองก็ลงทุนไปมากกว่าจะโน้มน้าวอับราฮัมไร้สมองคนนั้นได้”
“เมื่อเขาสวดวิงวอนถึงเจ้า” อีกาตาขาวกล่าว “ถ้าเจ้ากังวลเกี่ยวกับการคงสภาพปัจจุบันเอาไว้ ข้าสามารถส่งหนอนกาลเวลาไปเป็นปรสิตในร่างกายเพื่อยืดเวลาออกไปได้… เรื่องแค่นี้ไม่ต้องขอบใจกัน”
ขณะกล่าว อีกาสยายปีกพร้อมกับหายตัวไปท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน
วิญญาณมารเทวทูตสีชาดเบือนศีรษะ อาศัยประโยชน์จากภูมิประเทศ มันก้มมองซากปรักหักพังของแบนชีด้วยใบหน้าเคร่งขรึม