Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1366 : เตรียมตัว
ถอนสายตากลับ ไคลน์มุ่งความสนใจไปยังตะกอนพลังที่ก่อตัวขึ้นจากศพของเพาลี·เดอราล
มันประกอบกันจากหมอจางๆ ดูคล้ายสมองที่ทำจากเมฆความฝันสีเทาอ่อน
มันเชื่อว่าสวนแห่งเอเดนคือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด จึงนำร่างต้นของตัวเองไว้ที่นี่ ส่วนกิจกรรมบนโลกภายนอกเกิดจากการบงการตัวตนจำนวนมากในระยะไกล? ใครจะไปคิดว่าเฮอร์มิส ผู้ที่น่าจะเป็นหนึ่งในปราการอันแข็งแกร่ง กลับหันหลังให้สวนเอเดนเสียเอง หากมีเทวทูตตัวจริงคอยเฝ้าจับตามองสวนเอเดนและฉกฉวยประโยชน์จากธรรมชาติของเมืองแห่งจิตอย่างเต็มที่ เกรงว่าแม้แต่เราก็อาจจะ ‘หลอกลวง’ กฎเกณฑ์และแทรกซึมเข้ามาได้ไม่ง่าย… ขณะไคลน์พึมพำกับตัวเอง มันส่งความปรารถนาที่ต้องการให้ตะกอนพลังควบแน่นเร็วขึ้น
เป๊าะ ชายหนุ่มดีดนิ้วเพื่อให้พรเป็นจริง
จากนั้น มันหยิบตะกอนพลังนักสานฝันและสิ่งที่อาจใช้เป็นวัตถุดิบเสริม ถอดหน้ากากทระนงและออกจากสวนเอเดน
เมื่อชายหนุ่มจากไป เศษซากที่หลงเหลือของเมืองเกิดการพังพลาย หลอมรวมเข้ากับทะเลจิตใต้สำนึกรวมอันไร้ขอบเขต
นับแต่นี้เป็นต้นไป ตำนานของสวนเอเดนจะไปปรากฏอยู่ในความฝันของใครหลายคน ถูกวาดโดยจิตรกรบางส่วน เกิดเป็นเรื่องราวที่แพร่กระจายแบบปากต่อปาก
และจุดจบของตำนานทั้งหมดจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือความพินาศของสวนเอเดน
เมื่อกลับถึงระเบียบของคฤหาสน์ตระกูลฮอลล์ ไคลน์จ้องหน้ามิสจัสติสซึ่งปรับสภาพจิตใจจนเป็นปรกติ ก่อนจะโยนตะกอนพลังนักสานฝัน วัตถุดิบเสริม และสูตรโอสถซึ่งเห็นจากศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองให้อีกฝ่าย
ก่อนที่ออเดรย์จะได้กล่าวคำใด ชายหนุ่มเปล่งเสียงแผ่ว
“จะเลื่อนลำดับหรือไม่ ตัดสินใจเอาเอง”
ออเดรย์รับของขวัญจากมิสเตอร์เวิร์ลพลางพยักหน้าเงียบงัน บ่งบอกเป็นนัยว่าจะคิดให้ถี่ถ้วน
แต่งกายด้วยหมวกฟางหรูหรา หญิงสาวเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์หันหลังกลับและเดินไปยังขอบระเบียบ ก่อนจะค่อยๆ เลือนหายไป
…
หลังจากกำจัดร่องรอยและปกปิดเบาะแส ไคลน์ใช้พลัง ‘ปลูกถ่าย’ พร้อมกับอาศัยความพิเศษของปราสาทต้นกำเนิดอย่างชำนาญ เดินทางกลับไปยังกรุงเบ็คลันด์และปรากฏตัวต่อหน้า ‘จัดจ์เมนต์’ ซิลที่กำลังหยุดพักผ่อน
พันเอกแห่ง MI9 ผู้กำลังกัดแอปเปิล รีบวางผลไม้ในมือลง เช็ดปากด้วยทิชชูและยืนขึ้น
“ม…มีอะไรหรือ”
เธอไม่ประมาท มิได้เรียกอีกฝ่ายว่ามิสเตอร์เวิร์ลหรือเกอร์มัน·สแปร์โรว์
ไคลน์พยักหน้ารับ
“มิสเตอร์ฟูลส่งผมมาถามคุณว่า อยากได้สูตรโอสถ ตะกอนพลัง และวัตถุดิบเสริมของลำดับ 4 ‘จอมเวทกฎหมาย’ หรือไม่”
ซิลขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่มิได้เผยความสุข เพียงถามเสียงขรึม
“ต้องแลกกับอะไร”
ไคลน์พยักหน้า
“วันสิ้นโลกกำลังจะมาถึง มีหลายสิ่งหลายอย่างกำลังจะเกิดขึ้น และมิสเตอร์ฟูลสามารถพยากรณ์ถึงบางเหตุการณ์… เมื่อถึงตอนนั้น มีโอกาสสูงที่พระองค์จะกลับไปหลับใหลอีกครั้ง ในฐานะข้ารับใช้และหัตถ์ซ้ายอย่างผม ชะตากรรมก็คงไม่ต่างกัน สิ่งที่คุณต้องจ่ายก็คือ เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น จงทำตามวิวรณ์ของมิสเตอร์ฟูล ปฏิบัติภารกิจที่อันตรายและไม่อันตรายให้ลุล่วง ไม่ว่าจะใช้เวลานานหรือสั้น พยายามปลุกมิสเตอร์ฟูลให้จงได้”
ในฐานะเทวทูตเส้นทางนักทำนาย และในฐานะเจ้าของปราสาทต้นกำเนิด ไคลน์สามารถเห็นคำพยากรณ์ได้ในระดับหนึ่ง ในพักหลัง มันได้เห็นฉากของบางเหตุการณ์อย่างคลุมเครือ จึงลงมือเตรียมตัวล่วงหน้าตั้งแต่เนิ่นๆ
เรามันนักต้มตุ๋นตัวจริง… ชายหนุ่มรำพันในใจ
โดยไม่รอให้จัดจ์เมนต์ซิลกล่าว ไคลน์เสริม
“จะปฏิเสธก็ได้ คุณไม่ใช่คนเดียวที่ถูกเลือก”
ซิลเชื่อว่ามิสเตอร์เวิร์ลคงไม่คิดล้อเล่นกับเรื่องแบบนี้ จึงยังไม่ตอบรับในทันที ขอคิดอย่างจริงจังก่อน
หากไม่มีวันสิ้นโลก เธอเชื่อว่าตนน่าจะตอบปฏิเสธ เพราะแม้ครึ่งเทพจะแข็งแกร่งและน่าสะพรึงกลัว สามารถกำหนดชะตากรรมสนามรบได้ด้วยตัวคนเดียว และยังเป็นตัวตนที่เปี่ยมไปด้วยออร่าเทพ แต่สำหรับหญิงสาว การก้าวไปเป็นลำดับ 4 ยังไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน
ในฐานะลำดับ 5 อัศวินวินัย ซิลเชื่อว่าพลังในปัจจุบันสามารถสะสางได้เกือบทุกภารกิจของพันเอกแห่ง MI9 เมื่อคำนึงถึงอัตราค่าจ้างในปัจจุบัน ผนวกกับรายได้เสริมต่างๆ นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะช่วยพยุงครอบครัวให้มีฐานะมั่นคงและชีวิตที่ดี
แม้อาจต้องเผชิญอันตราย แต่ซิลก็ยังได้รับความคุ้มครองจากหน่วยพิเศษของทางการ นอกจากนั้นยังสามารถเตรียม ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ล่วงหน้า อีกทั้งยังสามารถขอให้ฟอร์ส เพื่อนสนิทของตน ช่วยแอบปกป้องอย่างลับๆ
ต้องไม่ลืมว่า ความปรารถนาที่จะสืบสวนสาเหตุการตายของบิดา รวมถึงการกอบกู้ชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูล ซิลบรรลุเรียบร้อยหมดแล้ว
ดังนั้น ไม่ว่าจะมองมุมใด ซิลก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องเสียสละมากมายเพื่อแลกกับการเป็นผู้วิเศษลำดับ 4 นอกจากนั้น เธอยังมีโอกาสเลื่อนลำดับตามธรรมชาติด้วยความช่วยเหลือจาก MI9
แต่แน่นอน ซิลยังไม่แน่ใจว่าโอกาสดังกล่าวจะมาถึงตอนไหน
ไม่ว่าจะเป็นคำพยากรณ์ของมิสเตอร์ฟูล หรือคำทำนายต่างๆ ที่รวบรวมมาได้จากตำแหน่ง ทุกสิ่งบ่งชี้ตรงกันว่าโลกกำลังจะถึงจุดจบ… เหลืออีกเพียงสิบหกปีเท่านั้น… ซิลแหงนมองชั้นสองของอาคารโดยไม่รู้ตัว
ด้วยสภาพความเป็นอยู่ในปัจจุบัน แม่จะมีชีวิตอยู่ได้อีกอย่างน้อยสิบหกปี เมื่อถึงตอนนั้น ท่านก็ยังไม่ชรามากนัก แถมยังมียาวิเศษจากมิสเตอร์มูนที่ช่วยชะลอความแก่และบำรุงสุขภาพ… สิบหกปีข้างหน้า ลัวร์จะโตเป็นหนุ่ม ร่างกายแข็งแรงถึงขีดสุด กำลังก้าวหน้าในสายอาชีพ… ฟอร์สคงกลายเป็นลำดับ 3 แล้ว และคอยทำทุกวิถีทางเพื่อรับมือกับวันสิ้นโลก โดยที่เราช่วยอะไรแทบไม่ได้… ซิลก้มหน้ากับตัวเอง เงียบไปครู่หนึ่ง
จากนั้น หญิงสาวจ้องหน้าเดอะเวิร์ล เกอร์มัน·สแปร์โรว์ ตามด้วยผงกศีรษะเคร่งขรึม
“ตกลง”
“พร้อมเมื่อไรก็ประกอบพิธีกรรมขอพรถึงมิสเตอร์ฟูล พระองค์จะคอยอำนวยพรให้” ไคลน์เล่ากระชับโดยไม่ยืดเยื้อ
ทั้งตะกอนพลังและสูตรโอสถของ ‘จอมเวทกฎหมาย’ ที่ไคลน์มี ล้วนมาจากการเซ่นสังเวยของเมืองจันทราใหม่ แต่แน่นอน ไคลน์เองก็ตอบแทนสาวกเหล่านั้นด้วยสมบัติปิดผนึกอย่าง ‘แม่ทัพไร้รูม่านตา’
หลังจากตัดสินใจหนักแน่น ซิลเลิกกังวลเกี่ยวกับเรื่องเมื่อครู่ และถามในสิ่งอื่น
“ดูเหมือนว่าเวนเดลล์จะได้กลับไปที่ยูโทเปียอีกครั้ง แต่น่าประหลาด เขาถูกส่งกลับมาในคืนเดียวกันโดยที่ยังไม่ได้เป็นพยานในชั้นศาล… เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เขาสับสนและเป็นกังวลไม่น้อย”
“บอกกับเขาไปว่า ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก ชาวยูโทเปียทุกคนถูกฝังท่ามกลางภัยธรรมชาติแล้ว” กล่าวจบ ไคลน์หันหลังและเดินเข้าโลกวิญญาณ
…
ชานเมืองฝั่งตะวันออกของกรุงเบ็คลันด์ ในสุสานแห่งหนึ่ง
ไคลน์จ้องตู้เก็บเถ้ากระดูกอย่างเงียบงัน ไม่ละสายตาเป็นเวลานาน
ผ่านไปสักพัก มันย่างกรายไปตามแนวร่มไม้ซึ่งปลอดคน หยิบภาพฉายฮาร์โมนิก้าออกมาเป่า
เจ้าของผมสีทองแปดตาแดง แต่งกายในเดรสยาวซับซ้อนสีเข้ม ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์เดินออกจากความว่างเปล่าทันที
โดยไม่รอให้มิสผู้ส่งสารพูด ไคลน์เป็นฝ่ายเริ่ม
“บรรดาโบสถ์หลักกำลังเตรียมล้อมโจมตีโรงเรียนกุหลาบ พวกเขาต้องการร่วมมือกับเจ้า อยากให้ข้าช่วยอะไรไหม?”
นี่เป็นข้อมูลที่มันฟังมาจากเดอะสตาร์เลียวนาร์ด และเดอะมูนเอ็มลิน
สี่หัวทองของไรเน็ตต์กล่าวเรียงกัน
“ตอนนี้…” “ยัง…” “ไม่…” “มี…”
“จะบอก…” “หลังจาก…” “ระบุ…” “เป้าหมาย…”
กล่าวคือ ภายใต้พรคุ้มครองจากเทพภายนอกอย่างมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายและดวงจันทร์บรรพกาล รวมถึงราชาเทวทูตอย่างเทพผู้ถูกล่าม การทำนายถึงและพลังพยากรณ์ทุกชนิดล้วนแล้วแต่ถูกแทรกแซง ส่งผลให้เหล่าครึ่งเทพจากโรงเรียนกุหลาบถูกพบตัวได้ยาก จำเป็นต้องใช้เวลาเตรียมการและวางกลยุทธ์กันสักพัก? นั่นสินะ แม้แต่อาโรเดสก็ยังไม่กล้าแอบส่องพวกมันตรงๆ ไม่อย่างนั้นเราคงลองเรียกกระจกวิเศษออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์… ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก
“ถ้าใช้วัตถุที่เกี่ยวข้องกับพวกมันโดยตรงเป็นสื่อกลาง ข้าสามารถระบุตำแหน่งของเป้าหมายได้”
เมื่อเวลานั้นมาถึง ไคลน์สามารถใช้พลังของปราสาทต้นกำเนิดเพื่อทะลวงผ่านการแทรกแซง
“ตกลง!” ศีรษะทั้งสี่ของไรเน็ตต์ขยับขึ้นลงพร้อมกัน
เมื่อไคลน์หมดเรื่องจะคุย มันเตรียมส่งมิสผู้ส่งสารกลับ
ขณะกำลังจะกล่าวติดตลกว่า “ต้องจ่ายค่าเรียกออกมาคุยไหม” สัมผัสวิญญาณของชายหนุ่มพลันถูกกระตุ้นจนต้องปิดปากเงียบ
ไม่กี่วินาทีถัดมา มันยกมือขึ้น หยิบเหรียญทองออกจากปราสาทต้นกำเนิด
นี่คือหนึ่งในห้าเหรียญทองที่ปนเปื้อนออร่าของปราสาทต้นกำเนิด
“ค่าจ้างของคราวนี้” ไคลน์ยิ้มพลางยื่นเหรียญทอง
“ครั้งนี้…” “ไม่ต้อง…” มีเพียงสองเศียรของไรเน็ตต์ที่พูด อีกสองยังคงปิดปากเงียบ
เธอเองก็มีสัมผัสวิญญาณที่เฉียบแหลม คล้ายกับสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง
วินาทีถัดมา หนึ่งในสองหัวทองตาแดงที่ไม่ได้พูดเมื่อครู่ อ้าปากและงับเหรียญทองที่ปลายนิ้วไคลน์
“ตกลง” ไคลน์ดึงมือกลับ กล่าวด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นก็ถามอย่างเป็นกันเอง
“มิสชารอนกับมาริคยังอยู่ที่เบ็คลันด์ใช่ไหม”
“ใช่…” มิสผู้ส่งสารแจ้งที่อยู่ปัจจุบันของศิษย์ตนให้ไคลน์ทราบ
…
ภายในบ้านหลังหนึ่ง มาริคกำลังนั่งริมโต๊ะยาว เล่นไพ่กับซอมบี้ของตัวเองอย่างชำนาญ
ทันใดนั้น ร่างของเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ปรากฏขึ้นบนเก้าอี้ว่าง มันวางหมวกลง หยิบไพ่จากมือซอมบี้อย่างเป็นกันเอง
มาริคจ้องชายหนุ่ม ริมฝีปากขยับเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็มิได้กล่าวคำใด
มันบังคับให้ซอมบี้ที่เป็นคนแจกไพ่ ดำเนินการต่อไป
ไคลน์เข้าร่วมวงไพ่ในสภาพดังกล่าว เล่นด้วยกันสักพัก มีทั้งชนะและแพ้
ณ มุมห้องไม่ห่างออกไป ชารอนในเดรสสีดำหรูหราและหมวกอ่อนปรากฏตัวขึ้น ใช้มือข้างหนึ่งค้ำใบหน้า จ้องมองวงไพ่อย่างเงียบงัน
หลังจากเล่นไพ่ประมาณสองชั่วโมง ไคลน์ลุกขึ้นยืน โค้งคำนับให้ชารอนและมาริค
ชายหนุ่มยิ้ม สวมหมวกกลับ เดินไปที่ประตูและหายตัวไป
…
ในส่วนลึกของโลกวิญญาณ ด้านนอกสายหมอกเจือจางของเมืองกัลเดรอน ไคลน์ซึ่งผ่านการรักษามาแล้วสามครั้ง ปรากฏตัวขึ้น
…………………………