Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1368 : ตราประทับความตาย
เทพมรณาซาลินเจอร์ ผู้เตร็ดเตร่อยู่ในแม่น้ำอันธการนิรันดร์ด้วยสีหน้าล่องลอย หันมาจ้องไคลน์ซึ่งถูกห่อหุ้มด้วย ‘รังไหม’ สีเทาอ่อน
ดวงตาสีซีดที่ใกล้อับแสงของมัน กำลังสะท้อนภาพของเครื่องประดับทองคำรูปนกบนหน้าอกไคลน์
วินาทีถัดมา เสียงคำรามต่ำเล็ดลอดจากปากอันเน่าเปื่อยของซาลินเจอร์ ดังกังวานไปทั่วแม่น้ำ ส่งผลให้กัลเดรอนทั้งเมืองสั่นสะเทือนทันที
แม่น้ำสายย่อยที่บ้างก็ม้วนขึ้น บ้างยุบตัวลง บ้างมีสีซีด บ้างมีสีทึบ พลันพรั่งพรูเข้าใส่ไคลน์ด้วยความเกรี้ยวกราด
ระหว่างนั้น กระแสน้ำมายายิ่งผสานเป็นเนื้อเดียวกับสายหมอกสีเทาอ่อน เกิดเป็นสีสันที่คล้ายคลึงกัน
กระแสน้ำสีเทาอ่อนพุ่งปะทะร่างไคลน์หลายระลอก แต่กลับมิอาจทำลาย ‘รังไหม’ ที่ห่อหุ้มชายหนุ่มได้
เทพมรณาซาลินเจอร์ เจ้าของร่างอันเน่าเปื่อย ย่างกรายทีละก้าวจนมาถึงริมแคว แต่จนแล้วจนรอดก็มิอาจหลุดออกมา ทำได้เพียงยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับคำรามเหมือนคนบ้า
ไคลน์มองผ่านมันไป คอยเฝ้าสังเกตร่างอันพร่ามัวจำนวนมากซึ่งกำลังเตร็ดเตร่อยู่สองฝั่งของแคว
บางส่วนถูกกระแสน้ำพัดเข้ามายังกึ่งกลางแคว จนกระทั่งจมลงสู่ก้นสายน้ำโดยมิอาจขัดขืน จากนั้นก็ละลายไปหายไปประหนึ่งน้ำค้างแข็ง
ร่างอื่นๆ ที่ยังเหลือปราศจากความกลัวโดยสิ้นเชิง ยังคงอยู่ในอาการเหม่อลอย เดินวนเวียนไปมาไม่สิ้นสุด
เมื่อชำเลืองมอง ไคลน์เห็นร่างที่คุ้นเคยมากมาย
ทั้งหมดเป็นคนคนเดียวกัน สุภาพบุรุษผิวสีแทน บุคลิกอ่อนโยน อะซิก·อายเกส
‘กงสุลมรณะ’ รายนี้คล้ายกับถูกแบ่งเป็นหลายตัวตน แต่ละร่างเดินเตร็ดเตร่ท่ามกลางเสาหินสีซีดทั้งสองฝั่งของแม่น้ำอันธการนิรันดร์
นี่มัน… หัวใจไคลน์พลันดำดิ่ง ขาขวาเย็นเยียบทันใด
ชายหนุ่มก้มศีรษะลงตามสัญชาตญาณ และพบฝ่ามือสีซีด
ฝ่ามือทะลวงผ่าน ‘รังไหม’ สีเทาอ่อนขึ้นมาจับน่องไคลน์
เจ้าของฝ่ามือลอยตัวขึ้นสลับลงท่ามกลางกระแสน้ำ ดูคล้ายกับพรายน้ำที่พยายามดึงไคลน์ลงไปในน้ำลึก
การโจมตีของมันสามารถทะลวงผ่านออร่าของปราสาทต้นกำเนิดได้!
เมื่อตระหนักถึงการจ้องมองจากไคลน์ เจ้าของฝ่ามือสีซีดเงยศีรษะขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าอย่างชัดเจน
ผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล หน้าตาธรรมดา มีกลิ่นอายนักวิชาการผสมกับหนอนหนังสือ
ไคลน์·โมเร็ตติ!
‘พรายน้ำ’ คนดังกล่าวคือไคลน์·โมเร็ตติ!
วินาทีถัดมา ขาซ้าย ไหล่ขวา และแขนซ้ายของไคลน์ต่างถูกฝ่ามือสีซีดจับคว้าเอาไว้
ผลลัพธ์ทำให้ชายหนุ่มตัวเย็นชืด ร่างวิญญาณคล้ายกับถูกแช่แข็ง มิอาจใช้พลังพิเศษได้ทุกชนิด ยากที่จะต่อสู้ขัดขืน
ฝ่ามือสีซีดทั้งสาม เป็นของร่างมายาที่แตกต่างกันสามร่าง แต่ทุกร่างล้วนมีใบหน้าเหมือนกัน
ใบหน้าของไคลน์·โมเร็ตติ!
ภายใต้การกระชากของ ‘พรายน้ำ’ ทั้งสี่ ร่างของไคลน์ค่อยๆ หลุดออกจาก ‘รังไหม’ สีเทาอ่อน จมเข้าไปในกระแสน้ำ
ร่างกายชายหนุ่มเย็นลงทุกขณะ ความคิดค่อยๆ เฉื่อยชา ทัศนวิสัยเริ่มพร่ามัว จนกระทั่งมองเห็นเพียงแม่น้ำสีดำ
เหนือสายหมอกสีเทา ภายในวังโบราณ สติของไคลน์ถูกโอนถ่ายกลับมายังร่างต้น
วินาทีถัดมา ชายหนุ่มเหยียดแขนโดยปราศจากความลังเล ระดมพลังของปราสาทต้นกำเนิดเพื่อ ‘ขโมย’ วัตถุกลับมาจากภาพฉายทางประวัติศาสตร์ผ่านการเชื่อมโยงที่สร้างขึ้น
แสงสีทองส่องประกายแผ่วเบา เครื่องประดับทองคำรูปนกกลับมาอยู่ในมือไคลน์อีกครั้ง
ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มสลายภาพฉายทางประวัติศาสตร์
ร่างที่กำลัง ‘จมน้ำ’ ในแม่น้ำอันธการนิรันดร์จางหายไป
ถ้าสามารถทะลวงผ่านออร่าของปราสาทต้นกำเนิดได้ นั่นหมายความว่าทั้งสี่เป็นร่างของเราจริงๆ … แต่เราจะไปติดอยู่ในแควน้อยของแม่น้ำอันธการนิรันดร์ได้อย่างไร แถมยังเตร็ดเตร่อย่างล่องลอย? สี่ร่าง… สี่ร่าง… ไคลน์เคาะขอบโต๊ะทองแดงยาวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และได้รับแรงบันดาลใจบางอย่างจากเสียง ‘กึกกึก’
คำสำคัญคือ ‘สี่’ ‘วิญญาณ’ และ ‘ความตาย’ ซึ่งนั่นสอดคล้องกับความเป็นจริงที่ว่า ไคลน์ตายไปแล้วสี่ครั้ง และคืนชีพขึ้นมาสี่ครั้ง
แน่นอน หลังจากกลายเป็นบริวารเร้นลับ โควตาการคืนชีพสี่ครั้งย่อมถูกรีเซต
“ทุกครั้งที่เราตาย ไม่ว่าจะคืนชีพสำเร็จหรือไม่ แต่จะเป็นการทิ้งร่องรอยไว้ในแม่น้ำอันธการนิรันดร์เสมอ? เราตายสี่ครั้ง จึงมีสี่ร่างเตร็ดเตร่อยู่ในสองฝั่งแควน้อยของแม่น้ำอันธการนิรันดร์?” ไคลน์จับประเด็นสำคัญได้อย่างคร่าว ตามด้วยถอนหายใจยาว “สมแล้วที่เป็นหนึ่งในแก่นแท้แห่งต้นกำเนิด มันคือตัวแทนของความตาย การหลับใหลชั่วนิรันดร์ ปลายทาง จุดจบ และความมืด… นี่คืออันตรายที่เทพธิดาเคยเตือนเรา? อา เมื่อภาพฉายของเรา ‘จมน้ำตาย’ จิตของเราย่อมได้รับความเสียหาย และเมื่อสภาพจิตใจไม่มั่นคง การลงมือก็อาจเกิดข้อผิดพลาด
จากการอนุมานข้างต้น ไคลน์ได้รับความรู้ใหม่เกี่ยวกับร่างจำนวนมากของอะซิก และเทพมรณาซาลินเจอร์ที่กำลังหลงทาง
พวกมันคือตราประทับแห่งความตายของแต่ละคน
“ขณะตามหาความทรงจำในภายหลัง มิสเตอร์อะซิกเสียชีวิตไปหลายครั้ง แต่ด้วยพลังของ ‘อมรณา’ ทุกครั้งจะคืนชีพได้เสมอ… จากสิ่งที่เราได้เห็นเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าพลังอมตะของ ‘อมรณา’ นั้นนำมาซึ่งอันตรายใหญ่หลวง หากเสียชีวิตจนถึงจำนวนหนึ่ง ร่างหลักมีโอกาสถูกดึงดูดไปยังแม่น้ำอันธการนิรันดร์ และกลายเป็นหนึ่งในร่างพร่ามัวที่เตร็ดเตร่… ซาลินเจอร์มีเพียงร่างเดียว… แสดงว่าหลังจากปรองดองกับเอกลักษณ์ ตราประทับความตายของเขาได้กลายเป็นสิ่งพิเศษไปด้วย” ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์เริ่มกังวลเกี่ยวกับอนาคตของมิสเตอร์อะซิก
หากต้องการแก้ไขปัญหา มีทางเลือกอยู่สองวิธี หนึ่งคือการเติมเต็มดวงวิญญาณของอะซิกเพื่อหยุดการเวียนว่ายตายเกิด และสองคือการช่วยให้เทพธิดากลายเป็น ‘วันวาน’ และเข้าควบคุมแม่น้ำอันธการนิรันดร์โดยสมบูรณ์
“หึหึ… บางทีทางเลือกสองทาง แท้จริงแล้วอาจมีเพียงหนึ่ง: เมื่อเทพธิดากลายเป็นวันวาน พระองค์ก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ดวงวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งของมิสเตอร์อะซิกแล้ว” ไคลน์สลัดความคิดฟุ้งซ่าน หันมาจดจ่อกับเป้าหมายปัจจุบัน
การลงไปสำรวจส่วนลึกของกัลเดรอนคราวนี้ เป้าหมายของไคลน์มิใช่ทำลายตราประทับความตายของ ‘มรณา’ ซาลินเจอร์ เพื่อตัดตอนมิให้อีกฝ่ายคืนชีพได้อีก แต่เป็นการนำน้ำจากแม่น้ำอันธการนิรันดร์กลับมาให้เทพธิดา
“ค่อนข้างชัดเจนว่า กระแสน้ำมายาที่พรั่งพรูออกมานั้นใช้การไม่ได้ เพราะแฝงไว้เพียงออร่าเจือจาง ไม่ใช่แม่น้ำสายหลัก นอกจากนั้น น้ำที่ผสมกับหมอกสีเทาก็ใช้การไม่ได้เช่นกัน เนื่องจากขาดความบริสุทธิ์ มีโอกาสที่จะไม่บรรลุผลลัพธ์ที่พระองค์ต้องการ ดูเหมือนว่า น้ำเดียวที่ใช้ได้คือน้ำในแควน้อยที่กลับไปเป็นสีดำ อา… แม่น้ำสายหลักไม่มีทางเข้าไปได้อยู่แล้ว ม่านหมอกนั่นคือบาเรียที่แข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย” ไคลน์เริ่มวิเคราะห์ ก่อนจะร่างแผนอย่างรวดเร็ว
นั่นคือการไม่เข้าใกล้แม่น้ำอันธการนิรันดร์ และไม่ดึงดูดความสนใจจาก ‘มรณา’ ซาลินเจอร์ รอจนกว่าแม่น้ำแควน้อยจะยุบตัวลงและกลายเป็นสีดำมืด จึงค่อยใช้ ‘ภาพฉาย’ แหวกเข้าไปดึงดูดความสนใจจาก ‘พรายน้ำไคลน์’ ทั้งสี่ เพื่อให้พวกมันลากลงไปยังก้นแม่น้ำ
ในจังหวะดังกล่าว ภาพฉายของไคลน์จะฉวยโอกาสบรรจุน้ำด้วยเครื่องประดับทองคำรูปนก จากนั้น ไคลน์จะรีบย้ายจิตใต้สำนึกหลักกลับมายังปราสาทต้นกำเนิด และใช้พลัง ‘ขโมย’ เพื่อช่วงชิงเครื่องประดับทองคำรูปนกมาจากภาพฉายผ่านการเชื่อมโยง
หลังจากปรับแต่งรายละเอียด ไคลน์กลับไปยังกัลเดรอนอีกครั้ง ก่อนจะอัญเชิญภาพฉายของตัวเอง
ชายหนุ่มทำซ้ำขั้นตอนเดิม เพียงไม่นานก็มาถึงแผ่นหินซึ่งมีรูปปั้นทองแดงนกยักษ์ และเดินลงบันไดหินสีซีดไปทีละขั้น
ออร่าของปราสาทต้นกำเนิดรอบตัวทวีความแข็งแกร่ง ก่อตัวกลายเป็นรังไหมแผ่นบาง
เพียงไม่นาน ไคลน์มาถึงปลายบันไดอีกครั้ง และเห็นแม่น้ำอันธการนิรันดร์กำลังไหลเอื่อยท่ามกลางความว่างเปล่า เห็นเสาต้นยักษ์สีซีดสองฝั่ง และร่างคลุมเครือจำนวนมากกำลังเตร็ดเตร่บริเวณขอบแควน้อย
ในคราวนี้ ชายหนุ่มไม่รีบร้อนพรวดพราดเข้าไป เพียงลงจากบันได รอคอยอย่างอดทนจนกระทั่งกระแสน้ำของแควน้อยยุบตัวลง และเปลี่ยนจากสีเทาซีดกลายเป็นสีดำมืด
จังหวะนี้แหละ! ร่างของไคลน์ส่องสว่าง เป็นการขโมยระยะทางเพื่อไปโผล่ในมุมอับสายตาของมรณาซาลินเจอร์
ไม่ผิดจากที่คาด เมื่อร่างกายแช่อยู่ในแม่น้ำอันธการนิรันดร์ ฝ่ามือสีซีดได้แทรกตัวผ่านออร่าปราสาทต้นกำเนิดเข้ามาทันที จับคว้าแขนขาชายหนุ่มไว้แนบแน่น
ตราประทับแห่งความตายทั้งสี่ของไคลน์ปรากฏขึ้นรอบตัว ลากภาพฉายลงสู่ก้นแม่น้ำ!
ท่ามกลางสายน้ำอันมืดมิดที่จมท่วมศีรษะ ร่างของไคลน์เย็นลง ความคิดเริ่มหยุดนิ่ง
ก่อนจะหมดสติโดยสิ้นเชิง หนอนโปร่งใส่ทยอยชอนไชออกจากลำคอของไคลน์ พวกมันคลานไปหาเครื่องประดับทองคำรูปนกและห้อมล้อมไว้ทุกทิศ จากนั้นก็ยกขึ้นเพื่อเตรียมตักน้ำจากแควน้อยของแม่น้ำอันธการนิรันดร์
ทันใดนั้นเอง เงาดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นท่ามกลางแม่น้ำมายาตรงหน้าชายหนุ่ม
เป็นนกยักษ์ที่กำลังลอยอยู่ในน้ำ ร่างกายทุกส่วนจมอยู่ใต้ผิวน้ำแควน้อยของแม่น้ำอันธการนิรันดร์
นักยักษ์ตัวดังกล่าวถูกปกคลุมด้วยเปลวไฟสีซีด ขนสลักลวดลายลึกลับ แต่ในท้ายที่สุด ขนเหล่านั้นกลับถูกแม่น้ำอันธการนิรันดร์ ‘ละลาย’ จนเผยให้เห็นเนื้อหนังที่เน่าเปื่อยและมีหนองสีเหลือง
ดวงตาของนักยักษ์มีสีทองแดง ภายในอัดแน่นไปด้วยประตูมายา
ต้นตระกูลฟีนิกซ์ เกรจารี!
เทพมรณาโบราณผู้บุกเบิกโลกแห่งความตาย!
ในดวงตาเกรจารี แสงสีทองแดงระเบิดออก ส่องสว่างปกคลุมเครื่องประดับทองคำรูปนกและภาพฉายของไคลน์ไปพร้อมกัน
หลังจากชั่งน้ำหนักสถานการณ์ ไคลน์ตัดสินใจล้มเลิกความพยายามที่จะบรรจุน้ำลงในเครื่องประดับ
สติชายหนุ่มถูกส่งกลับมายังปราสาทต้นกำเนิดทันที จากนั้นก็ขโมยเครื่องประดับทองคำรูปนกกลับ
ภาพฉายในอดีตเลือนหายไปอีกครั้ง
ในน้ำก็มีอันตรายเหมือนกัน… เทพบรรพกาลเกรจารี ต้นตระกูลฟีนิกซ์ ได้จมลงไปในแม่น้ำอันธการนิรันดร์โดยสมบูรณ์… หากเทพธิดาปรองดองกับเอกลักษณ์ของเส้นทางมรณาได้เมื่อไร และถ้าซาลินเจอร์ฉวยโอกาสคืนชีพไม่ทัน ร่างของเขาก็จะจมลงไปในแม่น้ำเหมือนกับเกรจารี… ตราประทับความตายของเกรจารีก็จะละลายหายไป… ไคลน์ถอนหายใจแผ่ว ปรับแต่งแผนการของตนอีกครั้ง
ถัดมา มันทำเหมือนเดิม อัญเชิญภาพฉายและเดินมายังสุดปลายบันได
หลังจากอดทนรอสักพัก จนกระทั่งมรณาซาลินเจอร์หันหลังกลับและเดินไปทางแม่น้ำ ไคลน์ฉวยโอกาสขโมยระยะทางไปโผล่ข้างหน้าอีกฝ่าย
วินาทีถัดมา ซาลินเจอร์คำรามต่ำ ส่งผลให้ผิวน้ำของแควน้อยเพิ่มสูงขึ้นในพริบตา
ขณะเดียวกัน ไคลน์ถูกตราประทับความตายทั้งสี่รุมล้อมและลากลงไปยังก้นแม่น้ำ เป็นอีกครั้งที่มันสัมผัสถึงต้นตระกูลฟีนิกซ์เกรจารี
เฉกเช่นคราวก่อน ดวงตาสีทองแดงของเกรจารีระเบิดแสง
ทว่า คราวนี้สิ่งที่แสงสีทองแดงฉาบลงไปไม่ใช่ไคลน์กับเครื่องประดับรูปนก หากแต่เป็นร่างของมรณาซาลินเจอร์
พลังปลูกถ่าย!
ฉวยโอกาสอันแสนมีค่า หนอนวิญญาณที่ชอนไชออกจากภาพฉายของไคลน์ ทำการยกเครื่องประดับทองคำรูปนกขึ้น
ดวงตาสีทองแดงของเครื่องประดับทำการส่องแสง ดูดซับน้ำในแม่น้ำเข้ามาจำนวนหนึ่ง
วินาทีถัดมา ไคลน์โอนถ่ายจิตใต้สำนึกกลับไปยังปราสาทต้นกำเนิด ตามด้วยการยกมือขึ้นเพื่อขโมยเครื่องประดับกลับคืน
ฟู่ว… สำเร็จสักที… จ้องมองเครื่องประดับทองคำรูปนกในมือ ชายหนุ่มหายใจเข้าออกเชื่องช้า
สำหรับเจ้าของปราสาทต้นกำเนิด ภารกิจนี้ไม่ยากสักเท่าไร ขอเพียงไม่ติดประมาท ไม่ใช้ร่างหลักเข้าไป ก็สามารถปรับเปลี่ยนแผนการได้เรื่อยๆ โดยอาศัยล้มเหลวครั้งก่อนหน้ามาเป็นบทเรียน จนกระทั่งประสบความสำเร็จในท้ายที่สุด
และหากไม่ใช่เพราะในแควน้อยของแม่น้ำอันธการนิรันดร์มี ‘เทพมรณา’ อยู่ถึงสองตน คนหนึ่งหลงทาง คนหนึ่งจม ไคลน์คงไม่เผชิญความล้มเหลวมากถึงสองครั้ง
………………………………