Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1374 : ม้าไม้ชะตากรรม
เมื่อจ้องมอง ‘ฮาล์ฟฟูล’ บนเก้าอี้หินยักษ์ ฉากเพิ่งปรากฏขึ้นเมื่อครู่ รวมถึงฉากทั้งหมดเกี่ยวกับแคว้นรัตติกาลก่อนหน้า แล่นกลับเข้ามาในสมองไคลน์อีกครั้ง
ชายหนุ่มมิได้สนิทสนมกับอันทีโกนัส และเกือบคลุ้มคลั่งเพราะเสียงเพรียก ‘โฮนาซิส… เฟรเกีย…’ ของอีกฝ่ายอยู่หลายหน ดังนั้น ไคลน์จึงมิได้รู้สึกสงสารหรือเห็นใจแม้แต่น้อย อาจมีเพียงความรู้สึก ‘เข้าใจหัวอก’ อย่างเจือจาง
สิ่งที่ติดค้างอยู่ในความฝัน ย่อมต้องเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดในอดีตอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้จะเกิดมาเป็นผู้วิเศษ แต่ดูเหมือนอันทีโกนัสจะคิดถึงแคว้นปิดเล็กๆ อันเงียบสงบมากเป็นพิเศษ
ไคลน์ถอนหายใจเชื่องช้า ถอนสายตาจากบุรุษผู้มีปอยขนหมาป่าสีดำอยู่บนใบหน้า ลดศีรษะลงไปมองด้านข้างบัลลังก์ใหญ่
หนังสือที่ทำจากแผ่นทองเหลืองบาง วางอยู่ในตำแหน่งดังกล่าวอย่างเงียบงัน กฎสามข้อถูกเขียนใหม่ด้วยอักษรสีเงินปรอท ก่อนจะเลือนหายไปและกลับมาเขียนใหม่ วนซ้ำเช่นนี้ไม่รู้จบ
0-02 หนังสือทองเหลืองทรันซอสต์
ใช้พลังที่คล้ายกับการ ‘ปลูกถ่าย’ เพื่อผนึกหนังสือ? แต่ดูเหมือนว่าจะเหนือชั้นกว่านั้น ไม่เพียงจะนำจุดเริ่มต้นมาเชื่อมกับจุดจบ แต่ยัง ‘ปั่นหัว’ สติปัญญาของหนังสือทองเหลืองทรันซอสต์ให้เพิกเฉยต่อเนื้อหากึ่งกลาง โดยไม่พยายามเขียนกฎขึ้นมาแก้ไข ทำเพียงเขียนกฎใหม่และลบทิ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไร้สติ… ไคลน์จ้อง 0-02 พลางพึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ชายหนุ่มพอจะเดาได้ว่า เดอะฟูลตัวจริงนั้นมีพลังเช่นไร
โดยไม่มัวคิดให้ปวดหัว ไคลน์บังคับหุ่นเชิดบริวารเร้นลับใช้พลัง ‘ปลูกถ่าย’ เพื่อย่นระยะทางและหายตัวไปโผล่หน้าเก้าอี้หินยักษ์ จากนั้นก็หยิบหนังสือทองเหลืองทรันซอสต์ขึ้น
ในแง่หนึ่ง ชายหนุ่มหวังขจัดการรบกวนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และอีกแง่หนึ่ง มันต้องการทดสอบสถานะปัจจุบันของอันทีโกนัส
เมื่อเห็นว่าฮาล์ฟฟูลยังคงหลับใหลโดยไม่หลุดพ้นจากภาวะหลับลึกนิรันดร์ ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก สั่งให้หุ่นเชิดนำหนังสือทองเหลืองทรันซอสต์กลับออกไปยังทางเข้าตำหนักและรออยู่ที่นั่น
เหตุผลที่ไม่ใช้ร่างโคลนถือสมบัติปิดผนึกระดับ 0 โดยตรง เพราะมันเป็นกังวลว่า หนังสือทองเหลืองทรันซอสต์ซึ่งมีสายสัมพันธ์บางอย่างกับแก่นแท้แห่งต้นกำเนิด จะก่อความวุ่นวายในช่วงเวลาวิกฤติขณะไคลน์ปรองดองกับเอกลักษณ์เดอะฟูล ด้วยการแผ่อิทธิพลตามธรรมชาติเพื่อสร้างสถานการณ์ในแง่ลบ
หากต้องการหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงของสมบัติปิดผนึก หุ่นเชิดเป็นตัวตายตัวแทนที่ดีกว่าร่างโคลน
และยังเป็นเหตุผลที่ไคลน์ไม่พกไม้เท้าดวงดาวติดตัว มันไม่ต้องการพกระเบิดเวลาไว้ข้างกาย
ในยามปรกติ ไคลน์สามารถอาศัยระดับตัวตนและพลังเพื่อข่ม ‘ไม้เท้าดวงดาว’ ได้ก็จริง แต่ขณะปรองดองกับเอกลักษณ์เดอะฟูล ชายหนุ่มจะอ่อนแอเป็นอย่างมาก มิอาจถูกรบกวนจากสภาพแวดล้อมได้ด้วยประการทั้งปวง ไม่อย่างนั้นอาจคลุ้มคลั่งคาที่
และเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ปราสาทต้นกำเนิดอาจถูกผนึก จนตนไม่สามารถระดมพลังได้ ไคลน์จำเป็นต้องพกพาสมบัติปิดผนึกที่มีความสามารถด้านการ ‘เทเลพอร์ต’ ติดตัว เป็นเหตุผลให้ตัดสินใจเลือกใช้ยุบพองหิวโหย
ในวินาทีนี้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับราชาเทวทูตผู้สามารถควบคุมเอกลักษณ์ของเส้นทางได้โดยสมบูรณ์ ไคลน์สัมผัสได้ว่า ถุงมือหนังมนุษย์ในมือซ้ายกำลังสั่นเทาตามสัญชาตญาณ
ชายหนุ่มใช้มือขวาลูบยุบพองหิวโหยทันที ตามด้วยกระซิบหยอกเย้า
“ไม่ต้องกังวล เจ้าเป็นแค่ภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์”
หลังจากคลายความตึงเครียดของตัวเองด้วยวิธีดังกล่าว ไคลน์มองไปรอบตัว ยืนยันจนมั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดให้ต้องระวังอีก
ทันทีหลังจากนั้น ชายหนุ่มวางมือลงบนหน้าอก โค้งคำนับให้อันทีโกนัสด้วยท่าทีเคร่งขรึม
เมื่อเหยียดตัวตรงกลับขึ้นมา สัญลักษณ์อันซับซ้อน ลึกลับ และมายา พลันปรากฏบริเวณหว่างคิ้ว
สัญลักษณ์ดังกล่าวคล้ายประตูแห่งแสงพิสดารซึ่งฉาบด้วยสีน้ำเงินเข้ม แผ่หมอกสีเทาอ่อนจางๆ ออกตลอดเวลา
วินาทีถัดมา ไคลน์เหยียดมือขวาออกและกางนิ้ว ด้วยระยะทางไม่ใกล้ไม่ไกล ร่างของอันทีโกนัสถูกมือขวาบดบังจนมิด
ชายหนุ่มรีบกำมือพร้อมกับบิดข้อมือเพื่อทำการ ‘ขโมย’
แต่ก็ไม่ได้อะไรกลับมา
การขโมยล้มเหลว
ไคลน์มิได้เสียกำลังใจ เริ่มทำการขโมยตัวตน โชคชะตา และการตระหนักรู้จากอันทีโกนัสอีกครั้ง
แม้ในปัจจุบัน ไคลน์จะมีระดับทัดเทียมราชาแห่งราชาเทวทูต แต่พลังการ ‘ขโมย’ นั้นมาจากปราสาทต้นกำเนิด จึงมีฤทธิ์เพียงลำดับ 1 ทั่วไป และเป้าหมายในการขโมยยังเป็นถึงราชาเทวทูตผู้ควบคุมเอกลักษณ์ อันทีโกนัสผู้ถูกกัดกร่อนโดยราชันเร้นลับ ย่อมต้องมีความแตกต่างที่ชัดเจน
ดังนั้น แม้อันทีโกนัสจะเข้าสู่ภาวะหลับลึกนิรันดร์และมิอาจต่อต้านอำนาจการขโมย แต่ถึงอย่างนั้น ไคลน์ก็ยังประสบความล้มเหลวติดต่อกัน
ชายหนุ่มมิได้ลนลานหรือสิ้นหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะทั้งหมดยังอยู่ในขอบเขตที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนั้นยังไม่มีความจำเป็นต้องประหม่า เพราะตราบใดที่การ ‘ขโมย’ ยังไม่บรรลุผล เทพธิดารัตติกาลก็จะไม่คลายดินแดนซ่อนเร้นเพื่อปล่อยให้ชะตากรรมของที่นี่เชื่อมต่อกับโลกความจริง จะไม่มีการรบกวนจากภายนอกจนถึงตอนนั้น ไคลน์มีทั้งเวลาและสภาพแวดล้อมที่มั่นคงสำหรับการลงมือ
หลังจากล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วนจนเลิกนับ สัมผัสวิญญาณของไคลน์ถูกกระตุ้นกะทันหัน พร้อมกับมองเห็นนิมิตบางอย่าง
ชายหนุ่มเหยียดมือขวาออกและกางนิ้วอีกครั้ง ตามด้วยกำหมัดและบิดข้อมือด้วยความอ่อนโยน
ทันใดนั้นเอง ไคลน์ตระหนักว่ามีบางสิ่งที่มองไม่เห็น ถูกสกัดออกจากร่างอันทีโกนัสและลอยมาทางตน
ในเวลาเดียวกัน เส้นแสงซึ่งยากจะอธิบายเป็นคำพูด ดูคล้ายกับแม่น้ำสายยาวที่แตกหลายแขนง ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าชายหนุ่ม
แม่น้ำมายาไหลไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ไหลลงสู่แควเล็กแควน้อยและเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำสายหลัก
นี่คือสัญลักษณ์ของชะตากรรม อันที่จริงยังมีรูปลักษณ์อื่นอีกมาก เช่นกงล้อที่หมุนเชื่องช้า หรืองูยักษ์ที่กลืนหางตัวเอง ในปัจจุบัน เมื่อชะตากรรมของชายหนุ่มถูกสับเปลี่ยน ไคลน์จึงได้เห็นภาพแม่น้ำแห่งแสงสายยาว
วินาทีถัดมา เศษชิ้นส่วนของภาพและฉากทยอยปรากฏขึ้นในใจไคลน์:
หมาป่าอสูรแปดขาแรกเกิดกำลังนอนแผ่อยู่บนเนินเขา ระหว่างขนสั้นดกหนามีหนอนสีใสชอนไชออกมาตลอดเวลา มันเป็นบุตรชายคนสุดท้องของเทพบรรพกาลเฟรเกีย เป็นสัตว์ในตำนานโดยกำเนิด ปัจจุบัน หมาป่าอสูรตัวดังกล่าวกำลังเฝ้ามองพี่สาว พี่ชาย และคนในครอบครัวหยอกล้อกันท่ามกลางซากศพ มันดูแคลนวิธีการป่าเถื่อนที่อีกฝ่ายใช้จัดการเหยื่อ โดยเชื่อว่าเหยื่อควรค่อยๆ ถูกแขวนและบรรจงดื่มด่ำความสุขทีละนิด ให้สมกับฐานะของพวกตน
หมาป่าอสูรซึ่งถูกเรียกว่าเทพรับใช้ต่างหวาดกลัวบิดาของมัน ผู้เป็นเทพบรรพกาลอันแสนทรงพลัง น่าสะพรึง และบ้าคลั่ง แม้เฟรเกียจะให้กำเนิดทายาทเป็นจำนวนมากผ่านการผสมพันธุ์ตามสัญชาตญาณ จนตะกอนพลังในตัวเจือจางลงหลายส่วน แต่วิธีการดังกล่าวก็ไม่รับประกันความสำเร็จเสมอไป เฟรเกียจึงยังเสียสติ ดุร้าย กระหายเลือด และมีเพียงสัญชาตญาณการทำลายล้าง เคยฆ่ากระทั่งลูกหลานตัวเองไปไม่น้อย
หมาป่าอสูรที่สามารถสร้างปาฏิหาริย์และเติมเต็มความปรารถนาได้ทุกชนิด กำลังไล่ล่าเหยื่อด้วยการกัดหรือเข่นฆ่าอย่างสนุกสนาน เป็นความสุขอันเกิดจากก้นบึ้งของสัญชาตญาณ
มันไม่ชอบหน้าเทพรับใช้ของเฟรเกียสักเท่าไร โดยเฉพาะความเกลียดชังที่มีต่อ ‘เทพแห่งความปรารถนา’ โคทาร์แม้จะเป็นหมาป่าอสูรเหมือนกัน
นอกจากนั้น มันยังไม่ชอบ ‘เทพแห่งความตาย’ ซาลินเจอร์ โดยรู้สึกว่าอีกฝ่ายมืดมน โดดเดี่ยว และแผ่ออร่าน่าขยะแขยงตลอดเวลา แต่ในทางกลับกัน ‘เทพธิดาแห่งเคราะห์กรรม’ อมานีซิสนั้นมีความงามสอดคล้องกับรสนิยมของทั้งหมาป่าอสูรและมนุษย์ มีนิสัยอ่อนโยนและจิตใจงดงาม เธอไม่ทำตัวน่ารำคาญเหมือนคนอื่น อย่างไรก็ดี น่าเสียดายที่สตรีผู้นี้ปรากฏตัวไม่บ่อยนัก เป็นราวกับเงาที่ซ่อนตัวในจุดซึ่งยากจะหาพบ แต่แน่นอน หมาป่าอสูรตัวนี้จำได้ว่า พี่น้องหลายคนของตนรังเกียจอมานีซิส และหวังจะแทนที่ตำแหน่งของเธอ
มันเห็นการร่วงหล่นของบิดาผู้เป็นเทพบรรพกาลสุดแสนทรงพลังเต็มสองตา และเห็นเลือดของบิดาสาดกระเซ็นไปทั่วร่าง ‘เทพธิดาแห่งเคราะห์กรรม’ อมานีซิส ท่ามกลางความวุ่นวายดังกล่าว เอกลักษณ์และตะกอนพลังลำดับ 1 ได้ถูกดึงเข้าไปในมือของเธอ
มันและพี่สาวคนหนึ่งหลบหนีออกจากอาณาจักรที่หมาป่าอสูรอาศัย และซ่อนตัวอย่างเอาเป็นเอาตายนับแต่นั้น
เมื่อไม่มีความคุ้มครองจากบิดา หมาป่าอสูรตัวดังกล่าวและพี่สาวของมันเริ่มตระหนักได้ว่า ชีวิตอันแสนสุขสบายของพวกตนในอดีตมิใช่ครรลองของธรรมชาติ ความเจ็บปวดและอันตรายสามารถแฝงตัวอยู่ในทุกสิ่ง จนกระทั่งพวกมันข้ามทะเลมาถึงทวีปเหนือ และก่อตั้งอาณาจักรซ่อนเร้นบนเทือกเขาโฮนาซิส
มันและพี่สาวไม่กล้าเผยตัว จึงทำได้เพียงรวบรวมผู้ศรัทธาอันน้อยนิดและค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้นเองเมื่อเวลาผ่านไป ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว มันสร้างเมืองคนตายไว้ข้างดินแดนคนเป็น และเปลี่ยนให้สาวกที่เสียชีวิตกลายเป็นหุ่นเชิด เพื่อบรรลุพิธีกรรมเลื่อนลำดับ
แม้ช่วงเวลาดังกล่าวจะเต็มไปด้วยความหวาดระแวง แต่ก็ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในความทรงจำของหมาป่าอสูรตัวดังกล่าว เมื่อได้เห็นสาวกของพี่สาวเพิ่มจำนวนอย่างต่อเนื่อง และเห็นเมืองหุ่นเชิดของตนใกล้เสร็จสมบูรณ์ คล้ายกับมันลืมเลือนปัญหาและอันตรายจากโลกภายนอกไปหมดสิ้น ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขโดยแท้จริงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดมา
ท่ามกลางอิทธิพลจากความตระหนักรู้ของสาวก มันและพี่สาวเริ่มมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น
หลังจากเหตุการณ์มหาภัยพิบัติสิ้นสุดลง ในที่สุดมันประสบความสำเร็จในการเลื่อนลำดับเป็นบริวารเร้นลับ เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นมนุษย์โดยใช้ชื่อสกุลว่า ‘อันทีโกนัส’ และลงจากเทือกเขาโฮนาซิส กลับเข้าสู่โลกความจริงภายนอกอาณาจักรซ่อนเร้น
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ความทรงจำและความการรับรู้ของอันทีโกนัสเริ่มกระจัดกระจายและแตกสลาย มีหลายครั้งที่มันพบว่าตัวเองเปลี่ยนไป
หลังจากปรองดองกับเอกลักษณ์ของเดอะฟูล สถานการณ์ก็ยิ่งแย่ลง
ท่ามกลางฉากที่สว่างวาบ ไคลน์ตระหนักได้ในทันที
เราคืออันทีโกนัส เราคือฮาล์ฟฟูล!
ทันใดนั้น ร่างกายชายหนุ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง บ้างมีผมสีดำและดวงตาสีน้ำตาล บรรยากาศนักวิชาการ คล้ายกับเป็นรูปลักษณ์ผสมผสานระหว่างไคลน์·โมเร็ตติกับโจวหมิงรุ่ย บ้างก็เป็นอันทีโกนัสเจ้าของผมสีขาวครึ่งหนึ่ง มีปอยขนหมาป่าสีดำบนใบหน้า บ้างก็สวมชุดคลุมสีเข้ม มองเห็นใบหน้าได้ไม่ชัดเจน มีหนวดรยางค์ลื่นๆ ยื่นออกจากใต้ชุดคลุม
ในวินาทีนี้ ความคิดไคลน์กำลังสับสนวุ่นวายสุดขีด สภาพจิตใจขาดสมดุลโดยสิ้นเชิง
ทำได้เพียงรักษาความตระหนักรู้ในตัวเองอย่างเลือนราง พลางถูกโหมกระหน่ำจากพายุจิตอันเกรี้ยวกราดสองลูกตลอดเวลา
ในเวลาเดียวกัน มันแบกรับชะตากรรมเสียสติและคลุ้มคลั่งของอันทีโกนัส ร่างกายใกล้แตกสลายเต็มที
ทันใดนั้น เสียงวิงวอนและคำสรรเสริญมากมายดังแว่วอยู่ข้างหู ซ้อนทับกลายเป็นภาพมายาและเข้าร่วมในสนามรบอันแสนโกลาหล
…
หมู่เกาะรอสต์ บายัม บนหอระฆังของวิหารเดอะฟูล
ชายหนุ่มซึ่งแต่งกายด้วยหมวกปลายแหลมและแว่นตาขาเดียวปรากฏตัวขึ้น ยืนอยู่หลังราวกั้น มองลงไปยังเมืองด้านล่าง
มิสเตอร์ข้อผิดพลาด อามุนด์!
วินาทีถัดมา มันเห็นเมืองบายัมหายไปพร้อมกับเมืองเงินพิสุทธิ์และจันทราใหม่ ราวกับมีใครบางใช้ยางลบลบออกจากแผนที่
“น่าเบื่อจัง” ได้เห็นฉากตรงหน้า อามุนด์ส่ายศีรษะพลางยิ้ม มิได้เผยความผิดหวัง
มันแค่ต้องการตรวจสอบว่า ไม่ไคลน์ก็รัตติกาล ลงมือแก้ไข ‘ข้อบกพร่อง’ ของที่นี่ไปแล้วหรือยัง:
หลังจากตีระฆังในวันนั้น อามุนด์ย่อมถูกจำแนกให้เป็นเทวทูตกาลเวลาของมิสเตอร์ฟูลในระดับหนึ่ง ย่อมสามารถใช้ช่องโหว่ดังกล่าวเพื่อขโมยหลักยึดเหนี่ยวจากอีกฝ่ายโดยตรง
พฤติกรรมลักเล็กขโมยน้อยเช่นนี้อาจไม่มีค่าอันใดในยามปรกติ แต่จะมีประโยชน์อย่างมากในช่วงเวลาวิกฤติของพิธีกรรม
การสูญเสียหลักยึดเหนี่ยวอย่างกะทันหัน จะทำให้สมดุลทางจิตใจถูกทำลายลง และมีโอกาสทำให้ไคลน์คลุ้มคลั่งคาที่!
อามุนด์ถอนสายตากลับ ยกมือขึ้นจับกรอบแว่นตาข้างขวา
บนผิวแว่นตาที่ทำจากคริสตัล คล้ายกับมีแสงพร่างพราวจากดวงดาวท้องฟ้าสว่างขึ้นกะทันหัน
……………………………