Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1376 : ครึ่งวันวาน
ภายในโลกดาราซึ่งดูนามธรรมยิ่งกว่าโลกวิญญาณ คล้ายกับที่นี่คือศูนย์รวมของอำนาจและสัญลักษณ์ภายในจักรวาลทั้งหมด และแสงที่กระจายออกไปก็มิได้สว่างอย่างสม่ำเสมอ ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่เพียงไม่กี่แห่ง ซ้อนทับและถักสานกันจนดูคล้ายปริซึมเส้นหนา
สถานะดังกล่าวเกิดขึ้นสามจุดใหญ่ๆ หน้าที่ของมันคือการผนึกอาณาจักรมายาที่แตกต่างกัน
บางอาณาจักรเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีสัน ท้องฟ้าแจ่มใสตลอดเวลา บางอาณาจักรคล้ายกับประกอบกันจากหนังสือที่กางอยู่หรือปิดสนิท มีร่างของบางสิ่งเคลื่อนที่ไปมาระหว่างหนังสือเหล่านั้นและเพลิดเพลินไปกับการอ่าน บางอาณาจักรถูกปกคลุมด้วยพายุอันเกรี้ยวกราด สายฟ้าและฟ้าร้องปกคลุมทะเลอันไร้ขอบเขต
วินาทีถัดมา การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นภายในทั้งสามอาณาจักรโดยพร้อมเพรียง
ภายในดินแดนที่ท้องฟ้าแจ่มใสตลอดเวลา ดอกไม้ทุกดวงพลันส่องสว่างราวกับพวกมันกลายเป็นดวงอาทิตย์ขนาดย่อส่วน
ดวงอาทิตย์ขนาดย่อส่วนจำนวนมากเหล่านี้ถักสานเข้าด้วยกัน ก่อนจะถ่ายทอดแสงสว่างเข้าไปยังส่วนลึกของอาณาจักร พรั่งพรูเข้าไปในดวงอาทิตย์สีทองอันเจิดจ้าซึ่งลอยสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แสงสว่างของพระอาทิตย์ดวงดังกล่าวกำลังแผดเผาร้อนแรง ราวกับสามารถส่องสว่างไปทั่วโลกและทั่วระบบสุริยะ
แต่ไม่ว่าดวงอาทิตย์ซึ่งใกล้เคียงกับของจริงจะเปล่งพลังงานและเปลวไฟความร้อนสูงสักเพียงใด มันก็มิอาจทะลวงผ่านชั้นแสงปริศนาคล้ายเส้นปริซึมหนาได้
ทุกชั้นปริซึมที่ถูกทำลาย จะมีการสร้างใหม่ทดแทนด้วยความเร็วเท่าเทียมกัน
ณ จุดอื่นภายในโลกดารา บนผิวของอาณาจักรสุดอัศจรรย์ที่ประกอบกันจากหนังสือจำนวนมาก มีแสงสีทองเหลืองจางๆ พุ่งผ่านเส้นขอบฟ้าด้วยความเร็วสูงพร้อมกับสร้างสัญลักษณ์ลึกลับเป็นทางยาว ราวกับพยายามค้นหาจุดอ่อนหรือจุดสำคัญในโครงสร้างของสิ่งกีดขวาง เพื่อคิดหาวิธีทำลายอย่างประสิทธิภาพ
ระหว่างนั้น แสงระยิบระยับก่อตัวเป็นดวงตามายาซึ่งสามารถมองเห็นจุดอ่อนของทุกสิ่ง และจะทำการสร้างดวงตาขึ้นที่นั่น
ภายในจุดแสงของดวงตามายายังมีแสงระยิบระยับที่คล้ายคลึงกัน คอยบิดตัวเป็นเกลียวตลอดเวลา และจัดเรียงตัวเองใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อเปลี่ยนจุดสำคัญภายในโครงสร้าง
คล้ายกับทั้งสองสิ่งกำลังแข่งกันประมวลผล แต่ยังไม่ใกล้เคียงว่าจะมีใครได้รับชัยชนะ
ในส่วนลึกของทะเลไร้ขอบเขตซึ่งปกคลุมด้วยสายฟ้า สายลม และสายฝน แสงดวงเล็กสว่างขึ้นในจุดหนึ่ง
แสงดังกล่าวนำมาซึ่งมวลสารที่เคลื่อนตัวด้วยเร็วมหาศาล เกิดเป็น ‘คลื่น’ อันเกรี้ยวกราดที่สามารถทำลายดาวได้ทั้งดวง
‘คลื่น’ และแสงดวงเล็กนั่น กระหน่ำปะทะใส่บาเรียปริซึมและทำลายพวกมันไปทีละชั้น เกิดเป็นเศษประกายแสงมากมาย
ผ่านไปสักพัก ทะเลมายาที่ดูคล้ายกับประกอบกันจากทุกสีสัน ก่อตัวขึ้นภายในจุดแสงดวงเล็กที่กำลังพยายามทำลายบาเรีย บรรยากาศโดยรอบคล้ายกับถูกแช่แข็งในพริบตา ส่งผลให้จุดแสงซึ่งหอบพายุและคลื่นให้ลอยสูง เคลื่อนไหวเชื่องช้าลงจากเดิมหลายส่วน จากนั้นก็กลับมาเร่งความเร็วอีกครั้ง และกลับไปช้าลงเช่นเดิม วนซ้ำเช่นนี้อยู่หลายตลบ แต่ดูเหมือนว่าจุดแสงจะไม่ยอมเลิกราโดยง่าย
อาศัยทะเลแห่งความโกลาหลเป็นแหล่งกำเนิดพลัง อาดัมใช้ตัวเองและพระผู้สร้างแท้จริงเป็นแกนหลัก จากนั้นก็ ‘จินตนาการ’ เอกลักษณ์ของสามเส้นทางที่เหลือและปรองดองกันภายในระบบที่สร้างขึ้น จนดูเหมือนก้าวข้ามขีดจำกัดและกลายเป็น ‘ครึ่งวันวาน’ ได้ชั่วคราว ส่งผลให้แข็งแกร่งพอที่จะฝืนผนึกสามเทพลำดับ 0 อย่างวายุสลาตัน สุริยันเจิดจรัส และปัญญาความรู้ไว้ในอาณาจักรส่วนตัวได้ตามลำพัง!
ในวินาทีนี้ ราวกับมันกลับคืนจุดสูงสุดของตัวเอง กลับไปเป็นเทพสุริยันบรรพกาลผู้เคยสังหารเทพลำดับ 0 ตนแล้วตนเล่า
เหตุผลสำคัญที่มันเลือกสองเส้นทางอย่าง ‘นักสร้างฝัน’ และ ‘แฮงแมน’ เป็นรากฐานในการถือกำเนิดใหม่ นอกเหนือจากคุณสมบัติในการคืนชีพแล้ว อ้างอิงจากผลการทดลองในอดีต มันสามารถยืนยันได้ว่าตัวเลือกเช่นนี้ มีโอกาสทำให้ตนก้าวไปถึงตำแหน่ง ‘พระเจ้า’ ได้มากที่สุด
เมื่อกลายเป็นเทพแท้จริงผ่านหนึ่งในสองเส้นทางอย่าง ‘นักสร้างฝัน’ หรือไม่ก็ ‘แฮงแมน’ และเข้าควบคุมทะเลแห่งความโกลาหลในระดับผิวเผิน การทวงคืนเอกลักษณ์และตะกอนพลังลำดับ 1 ของอีกสามเส้นทางก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นี่คือเส้นทางที่ง่ายที่สุดในการก้าวไปเป็น ‘เจ้าแห่งโลกดารา’
และในแง่ดังกล่าว ‘นักสร้างฝัน’ จะพิเศษกว่า ‘แฮงแมน’ อยู่เล็กน้อย
หลังจาก ‘นักสร้างฝัน’ เข้าควบคุมทะเลแห่งความโกลาหลสำเร็จ และปรองดองกับเอกลักษณ์ก้อนที่สองรวมถึงตะกอนพลังลำดับ 1 ที่สอดคล้องกับเอกลักษณ์ มันสามารถอาศัยพลัง ‘จินตนาการ’ เพื่อสร้างสัญลักษณ์และอำนาจปลอมในสามเส้นทางที่เหลือ เพื่อให้ตัวเองได้รับพลังซึ่งก้าวข้ามขีดจำกัดเป็นระยะเวลาหนึ่ง ถือครองความแข็งแกร่งที่เทียบเท่าครึ่งวันวาน
อย่างไรก็ดี ในช่วงปลายยุคสมัยที่สาม แผนการที่แท้จริงของเทพสุริยันบรรพกาลเป็นดังนี้: หลังจากถูก ‘ลอบสังหาร’ มันจะคืนชีพทันทีในร่างซาสเรียซึ่งบรรทมอยู่ในวังราชาคนยักษ์ และทวงคืนเอกลักษณ์กับตะกอนพลังลำดับ 1 สามก้อนของเส้นทางแฮงแมนกลับมาเป็นอันดับแรก กลายเป็นเทพแท้จริงลำดับ 0 อีกครั้ง จากนั้นก็ใช้ศิลาเย้ยเทพแผ่นที่หนึ่งซึ่งวางอยู่ข้างๆ ในการเข้าควบคุมทะเลแห่งความโกลาหลเบื้องต้น หลังจากจัดการเสร็จ มันจะออกคำสั่งให้ ‘เทวทูตจินตภาพ’ อาดัมกลับมารวมกับร่างหลักเพื่อเสริมพลัง
หลังจากระบบดังกล่าวถูกสร้างขึ้น เทพสุริยันบรรพกาลจะใช้พลังในการ ‘ต้อนแกะ’ ของแฮงแมน รวมถึงพลังในการแยกบุคลิกเสมือนของนักสร้างฝัน เพื่อควบคุมเอกลักษณ์และตะกอนพลังลำดับ 1 ของทั้งสามเส้นทางสุริยัน นักอ่าน และลูกเรือ ยกระดับตัวเองให้ใกล้เคียงกับวันวานทั้งในแง่ตัวตนและพลัง ขณะเดียวกันก็ยังรักษาเสถียรภาพไว้ได้อย่างเปราะบาง
มันไม่มีแผนปรองดองกับทะเลแห่งความโกลาหล เอกลักษณ์ และตะกอนพลังลำดับ 1 ของอีกสามเส้นทาง เนื่องจากไม่ต้องการเลื่อนลำดับเป็นวันวานและกลายเป็นเสาหลักในช่วงเวลานั้น เพราะนั่นจะทำให้ ‘พระเจ้าโบราณ’ คืนชีพในร่างตนอย่างมิอาจเลี่ยง
ความตั้งใจของมันคือการ ‘ควบคุม’ สถานการณ์และวัตถุดิบที่เกี่ยวข้องไว้ในกำมือ รอจนกระทั่งวันสิ้นโลกมาถึง จึงค่อยลงมือในขั้นตอนสุดท้ายและกลายเป็น ‘เสาหลัก’ ที่ยังคงตระหนักรู้ในตัวเอง
ในขณะนั้น มันไม่คิดจะใช้ ‘นักสร้างฝัน’ เป็นเสาหลัก เนื่องจากยังไม่ได้ครอบครอง ‘ปากกาอัลเซอร์ฟอร์ด’ ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลัก แต่เมื่อถูกเหล่าราชาเทวทูตทรยศในภายหลัง จนแผนการคืนชีพต้องล้มเหลวอย่างน่าสังเวช มันตัดสินใจเปลี่ยนไปคืนชีพในร่างอาดัม ฉกฉวยโอกาสในวิกฤติเพื่อกลับไปเดินบนเส้นทางที่ดีที่สุดในอุดมคติของตัวเอง
ณ ปัจจุบัน อาดัมซึ่งอยู่ในร่างเงายักษ์ กำลังยืนอยู่บนผิวของเหลวสีดำที่ดูโกลาหล กระจกตายังคงสะท้อนภาพโลกดาราเบื้องบน คอยคงสภาพผนึกเพื่อมิให้เทพแท้จริงทั้งสามทำลายออกมาได้
รอบตัวอาดัม จุดแสงจำนวนมากค่อยๆ ตกลงจากท้องฟ้าพร้อมกับลากเส้นเป็นทางยาว มอบความสว่างไสวไปทั่วดินแดนเทพทอดทิ้ง และเปลี่ยนให้ทวีปเหนือใต้เผชิญยามเที่ยงวันกันพร้อมหน้า
ณ หอระฆังในเมืองบายัม อามุนด์ซึ่งยังคงนั่งบนราวกั้น ขยับกรอบแว่นตาผลึกข้างขวา ก่อนจะยกมือขึ้นและกระโจนเข้าสู่โลกดาราในพริบตา
ระหว่างนั้น ในมือซ้ายปรากฏศิลาโบราณตั้งแต่ตอนไหนก็มิอาจทราบได้
ศิลาเย้ยเทพแผ่นที่หนึ่ง!
ครั้งหนึ่ง อามุนด์เคยใช้มันอุดช่องว่างที่เกิดจากพิธีกรรมการกลับมาของมิสเตอร์ประตู เพื่อป้องกันการรุกล้ำจากมารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทราม
เมื่อพิธีกรรมสิ้นสุดลง ประตูเลือดเนื้อได้พังทลายโดยสมบูรณ์ ส่งผลให้ช่องทางรุกรานโลกของเทพภายนอกถูกตัดขาด อามุนด์จึงนำศิลาเย้ยเทพกลับคืนมา
ทันใดนั้นเอง อามุนด์ทำการโยนวัตถุในมือซ้ายทิ้งอย่างไม่แยแส ปล่อยแผ่นศิลาโบราณซึ่งมีร่องรอยเก่าแก่ให้ร่วงหล่นจากโลกดารา ตกลงมายังที่ใดสักแห่งในทะเลหมอก
เป็นภูเขาซึ่งปลายยอดผงาดขึ้นท่ามกลางหมอกสีดำไร้รอบเขต
ก้นบึ้งดูไร้สิ้นสุด สภาพแวดล้อมมีลักษณะคล้ายกับผืนทวีป
ศิลาเย้ยเทพแผ่นที่หนึ่งปักลงบนยอดเขาอย่างแม่นยำราวกับจับวาง เกิดเป็นทะเลมายาหลากสีสัน
ขณะเดียวกัน อามุนด์ที่เข้าสู่โลกดารา มองเห็นยอดเขาหลักของเทือกเขาโฮนาซิสซึ่งถูก ‘ปลูกถ่าย’ มาไว้ที่นี่ และเห็นวังโบราณสภาพทรุดโทรมตั้งอยู่บนยอดเขา
แต่งกายด้วยหมวกปลายแหลมและชุดคลุมสีดำทรงโบราณ ร่างอามุนด์พองตัวอย่างรวดเร็ว มีขนาดทัดเทียมภูเขาในพริบตา
มันอ้าปากกว้าง ราวกับจะกลืนวังโบราณอันงดงามแต่ทรุดโทรมของอันทีโกนัสเข้าไป
ทันใดนั้น มันเห็นร่างมายาอันพร่ามัว
ร่างดังกล่าวสวมเดรสยาวสีดำหลายชั้น แต่ไม่ซับซ้อน ลวดลายเดรสประดับประดาด้วยดวงดาวนับไม่ถ้วน
ขนาดร่างกายใหญ่โตเท่าอามุนด์ในปัจจุบัน แขนท่อนใหญ่โผล่ออกจากตำแหน่งระหว่างซี่โครงและสะโพกฝั่งละสองข้าง ใบหน้าอันงดงามและอ่อนโยนถูกปกคลุมด้วยตาข่ายบางสีดำ
ดวงตาของเธอดูคล้ายกับผืนนภายามราตรี มอบความรู้สึกสงบสุขแก่ผู้พบเห็น แต่ขณะเดียวกันก็สร้างความหวาดหวั่นอาจมิอาจควบคุม
มือหลักทั้งสองลากเคียวยักษ์เล่มยาว มืออีกคู่หนึ่งถือเครื่องประดับทองคำรูปนก ส่วนอีกคู่หนึ่งว่างเปล่า แต่คล้ายกับกำลังถือบางสิ่งที่มองไม่เห็น
เทพธิดารัตติกาล!
วินาทีถัดมา อามุนด์ซึ่งสวมแว่นตาขาเดียวฝั่งขวา ถูกลบหายไปอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งใช้ยางลบถูลงบนภาพวาดดินสอ
สองแขนที่ว่างเปล่าของเทพธิดารัตติกาลยกขึ้น อุ้มชูหมอกที่เจือจางจนเกือบมองไม่เห็น
บนผิวหมอก บานประตูจำนวนมากซึ่งมีรูปร่างต่างกัน ทยอยเปิดออกอย่างรวดเร็วในหลายจุด แต่ทั้งหมดก็ถูกปิดกลับไปในทันทีโดยไม่มีช่องโหว่เกิดขึ้น
เทพธิดารัตติกาลกำลังลอยอยู่เหนือยอดเขาหลักของเทือกเขาโฮนาซิสบนโลกดารา สมาธิจดจ่ออยู่กับการควบคุม ‘โลกแห่งหมอก’ ในมือเพื่อป้องกันมิให้ร่างจริงของอามุนด์หลบหนี
เมื่อบานประตูถูกเปิดออกพร้อมกันด้วยความเร็วที่สูงขึ้น เทพธิดาในสภาพปัจจุบันเริ่มมิอาจรับมือได้ทัน จำเป็นต้องนำมือสองข้างหลักที่กำลังถือเคียวยักษ์มาช่วย
เคียวยักษ์สีดำเริ่มพร่ามัว ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นโลงศพที่ประกอบจากหมอกสีดำหนาทึบ
โลกแห่งหมอกอันเจือจางถูกยัดเข้าไปในโลงศพดังกล่าวทันที การเคลื่อนไหวทุกชนิดหยุดลงในพริบตา ราวกับถูกความตายแผ่ปกคลุม
ทว่า ความเงียบสงบเกิดขึ้นเพียงหนึ่งวินาที บนผิวของหมอกสีดำที่ก่อตัวเป็นโลงศพ ‘ประตู’ บานแล้วบานเล่าปรากฏขึ้นและเปิดออก
ขณะเทพธิดารัตติกาลพยายามปิดกั้นประตูเหล่านี้ แขนสองข้างที่ถือเครื่องประดับทองคำรูปนกถูกยกขึ้น
แสงสนธยาสีส้มสว่างไสว ฉาบออร่าความเสื่อมโทรมและดับสูญลงบนโลงศพอันมืดมน
ความเร็วในการก่อตัวและการเปิดของ ‘ประตู’ เริ่มช้าลง ทั้งสองฝ่ายเข้าสู่สภาวะ ‘วัดพลัง’
ทันใดนั้นเอง ใต้ฝ่าเท้าของเทพธิดารัตติกาล ยอดเขาหลักของเทือกเขาโฮนาซิสถล่มลงกะทันหัน
ฉากดังกล่าวดูราวกับวันสิ้นโลกมาถึงก่อนกำหนด
ขณะเดียวกัน หนวดรยางค์ที่คล้ายกับงูสีดำ ทยอยยืดยาวมาจากที่ใดสักแห่งในโลกดารา
สุดปลายหนวดรยางค์มีดวงตาที่ทั้งลืมและหลับ ทุกสิ่งที่มันเห็นจะถูกเปลี่ยนให้เป็นหินสีเทาทันที และหากหนวดรยางค์สัมผัสเข้ากับสิ่งใด สิ่งนั้นจะบิดเบี้ยวและยืดออก งอกแขนขาและศีรษะ กลายเป็นสตรีหน้าตาดีหลากหลายขนาด
ท่ามกลางสีเทาอ่อนที่แพร่กระจายไปทุกทิศอย่างรวดเร็ว หนวดรยางค์ทั้งหมดต่างพุ่งไปทางวังโบราณที่มีสภาพทรุดโทรมด้วยความบ้าคลั่ง เป้าหมายคือไคลน์ผู้กำลังปรองดองกับเอกลักษณ์ของเดอะฟูล
แม่มดบรรพกาล ชีค!
……………………………………