Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1391 : เผชิญหน้า
ใจกลางคลื่นทะเลสีครามอันเกรี้ยวกราดซึ่งดูราวกับไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง อนาคตกาลเปรียบดังใบไม้ บางเวลายกตัวสูง บางเวลายุบตัวลงต่ำ
ในน่านน้ำละแวกนี้ยังคงมีเรือโจรสลัดแล่นอยู่ เป็นเหตุการณ์ที่พบเห็นได้ทั่วไปประหนึ่งดวงอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า
หลังจากกลับมายังโลกความจริง พลเรือเอกดวงดาวแคทลียาครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะคลี่กระดาษออกมาเขียนจดหมาย
เธอต้องการซักถามราชินีเงื่อนงำเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิด
อันที่จริง ก่อนมิสเตอร์ฟูลประกาศว่าพระองค์กำลังจะหลับใหล แคทลียาได้กลิ่นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ประตูและหน้าต่างปิดลงกะทันหัน หรือเหตุการณ์อุกกาบาตปกคลุมท้องฟ้าจนสว่างไสวไปทั่วโลก ในฐานะผู้หยั่งรู้ หญิงสาวย่อมเกิดแรงบันดาลใจบางอย่างและมองเห็นนิมิตอย่างเลือนราง
แน่นอน เนื่องด้วยข้อจำกัดด้านระดับตัวตนและสถานะ แคทลียาจึงไม่ทราบรายละเอียดในเชิงลึก อีกทั้งยังมิอาจคาดเดาได้ว่าสิ่งใดเป็นต้นเหตุทำให้มิสเตอร์ฟูลเลือกที่จะหลับใหล เธอจึงต้องถามไถ่จากราชินีเงื่อนงำแบร์นาแดต ผู้กลายเป็นเทวทูตได้สักระยะและยังเป็นผู้นำองค์กรลับที่ถือครองสมบัติปิดผนึกจำนวนมาก
ขณะแคทลียาอัญเชิญผู้ส่งสารและยื่นจดหมายที่เขียนเสร็จแล้วให้อีกฝ่าย หญิงสาวเกิดชะงักกะทันหัน
ในวินาทีนี้ สีม่วงในดวงตาเธอทวีความเข้มข้น จากนั้นก็ค่อยๆ ไหลเวียนประหนึ่งกระแสน้ำ
แคทลียาสัมผัสได้ว่ามิสเตอร์ฟูลเข้าสู่การหลับใหลเรียบร้อยแล้ว
ความลังเล สับสน และโศกเศร้าเล็กๆ ที่ยากจะควบคุม เอ่อล้นภายในหัวใจพลเรือเอกดวงดาว
ด้วยเหตุผลบางประการ ร่างกายของเธอสั่นเทาอย่างไรเหตุผล น้ำตาสองหยดไหลออกจากดวงตาโดยมิอาจควบคุม
แคทลียาคล้ายกับเข้าใจบางสิ่ง แต่ก็ไม่เข้าใจอะไรเลย เรื่องเดียวที่ทราบก็คือ ตนไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไรมิสเตอร์ฟูลจึงจะตื่นจากบรรทม
ถอดแว่นตาเลนส์หนาออกจากดั้งจมูก แคทลียาปาดมุมดวงตาและพยายามปรับอารมณ์ให้กลับเป็นปรกติ
จากนั้น หญิงสาวเดินไปทางหน้าต่างและมองดาดฟ้าเรือ
แฟรงค์·ลีกำลังคะยั้นคะยอให้ลูกเรือลิ้มรส ‘เบียร์’ สูตรใหม่ แต่ก็ไม่มีโจรสลัดคนใดกล้าลอง
โชคดีที่เราส่งชาฟฟ์ไปอยู่กับราชินีล่วงหน้าแล้ว ปัจจุบันจึงเหลือแค่แฟรงค์ที่ต้องคอยดูแล… เมื่อไม่มีการเฝ้ามองจากมิสเตอร์ฟูล เราต้องยิ่งเพิ่มความระมัดระวังและห้ามประมาท… อา เราต้องหางานอื่นนอกจากการทดลองให้แฟรงค์ทำ เขาเป็นรองกัปตัน จะทำแต่งานนอกไม่ได้… แคทลียาครุ่นคิดด้วยหัวใจหนักอึ้ง
หลังจากไตร่ตรองถึงวิธีจับตามองแฟรงค์ รวมถึงข้ออ้างในการโยกย้ายโจรสลัดเส้นทางธรณีและจันทราซึ่งมีอยู่ไม่มากให้ไปประจำการบนเรือลำอื่น เพื่อที่คนเหล่านั้นจะได้ไม่มีโอกาสติดต่อกับแฟรงค์ แคทลียาหันเหความสนใจมายังประเด็นเกี่ยวกับปราชญ์เร้นลับ
แม้ว่าหญิงสาวจะกลายเป็นหนึ่งในสิบเสาหลักของนิกายมอสส์ แต่เธอไม่เคยได้รับความเชื่อใจจากประมุขและเบื้องบนคนอื่น เหตุผลสำคัญคือชาติกำเนิดและการไม่ได้รับความสนใจจากปราชญ์เร้นลับ แคทลียาจึงถูกกีดกันให้อยู่วงนอกและคอยดูแลกองกำลังส่วนตัว
ในแง่มุมดังกล่าว ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับนิกายมอสส์นั้นใกล้เคียงกับ ‘พันธมิตร’ มากกว่าสมาชิก ด้านหนึ่ง เธอต้องช่วยนิกายมอสส์แสดงแสนยานุภาพบนห้าห้วงสมุทร แต่ก็แลกมากับความรู้และวัสดุจากองค์กร
เพื่อที่จะเข้าถึงข้อมูลการคืนชีพอย่างกะทันหันของปราชญ์เร้นลับ รวมถึงการยืนยันสถานะในปัจจุบัน แคทลียาต้องไต่เต้าจนกลายเป็นสมาชิกแกนหลักของนิกายมอสส์ให้ได้
สำหรับเราในปัจจุบัน การเข้าไปมีส่วนร่วมตัดสินใจด้านกิจการภายในของนิกายมอสส์นั้นไม่เป็นปัญหา มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นจึงจะสามารถเข้าถึงข้อมูลในเชิงลึกและยกระดับสถานะของตัวเองได้… แต่การทำเช่นนั้นค่อนข้างเสี่ยง ต่อให้ปราชญ์เร้นลับอยู่ในสภาพไม่สู้ดีนัก ไม่สามารถแทรกแซงกิจการภายในของนิกายมอสส์ได้ แต่สมาชิกระดับเบื้องบนคนอื่นอาจเอะใจเกี่ยวกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของเราและแอบวางกับดัก… มีอย่างน้อยสองในสิบเสาหลักที่เรามิอาจมองทะลุเข้าไป ซึ่งนั่นทำให้สัญชาตญาณร้องเตือน…
การยืนยันสถานะในปัจจุบันของปราชญ์เร้นลับยิ่งอันตราย หากผิดพลาดเพียงเล็กน้อย เราจะถูกพระองค์กัดเซาะและกัดกร่อนทันที… พลเรือเอกดวงดาวแคทลียา พบว่าภารกิจที่มิสเตอร์ฟูลมอบหมายให้ตนนั้นเต็มไปด้วยขวากหนาม
สาเหตุที่หญิงสาวตีตัวออกหากจากนิกายมอสส์และโลดแล่นในฐานะโจรสลัด ส่วนหนึ่งเพราะเธอเป็นกังวลว่า หากเข้าไปพัวพันกับกิจการภายในขององค์กรมากเกินไป ข้อเท็จจริงที่ว่าเธอยังแอบติดต่อกับราชินีเงื่อนงำจะถูกเปิดเผย และกลัวว่าสักวันหนึ่ง เธอจะถูกเสาหลักคนอื่นรุมล้อมตราหน้าว่าเป็นสายลับ ชะตากรรมที่รออยู่คือการถูกกำจัดทิ้ง
ในวินาทีนี้ แคทลียานึกอยากละทิ้งภารกิจของมิสเตอร์ฟูล ละทิ้งตัวตนสิบเสาหลักของนิกายมอสส์ และกลับไปยังเรือ ‘รุ่งอรุณ’ เพื่ออยู่เคียงข้างราชินี
ด้วยวิธีดังกล่าว เธอจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้อีก – หากมีปัญหาใดเกิดขึ้น ราชินีสามารถยับยั้งได้สบาย
หลังลงจากรุ่งอรุณ พลเรือเอกดวงดาวแคทลียาต้องแบกรับทุกสิ่งไว้ตามลำพังเสมอ บ่าของเธอทั้งหนักอึ้งและเมื่อยล้า
อย่างไรก็ดี ความคิดดังกล่าวถูกแคทลียาปัดตกอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวถอนหายใจแผ่วเบา และทราบว่าตนไม่สามารถกลับไปเป็นเด็กสาวไร้ความกังวลได้เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
ไม่เพียงต้องแบกรับชีวิตของตัวเอง แต่ยังรวมไปถึงชะตากรรมของแฟรงค์ ฮีธ นีน่า และลูกเรือที่เหลือ
ยิ่งไปกว่านั้น แคทลียามองการณ์ไกลไปถึงวันสิ้นโลก โดยหวังว่าในช่วงเวลาดังกล่าว เธอจะกลายเป็นผู้ช่วยที่แข็งแกร่งที่สุดของราชินี คอยกระทำบางสิ่งเพื่อปกป้องโลกร่วมกับอีกฝ่าย
หญิงสาวหลับตาพลางพึมพำกับตัวเอง
“ต้องเผชิญหน้ากับมัน”
แทรกซึมนิกายมอสส์เต็มตัวและรวบรวมข้อมูลที่ต้องการ
หลังจากตัดสินใจหนักแน่น พลเรือเอกดวงดาวแคทลียาเลิกปกปิดพลังที่แท้จริง เธอยกแขนขึ้นพร้อมกับใช้เวทมนตร์นิทานปรัมปรา
ในสายตาของลูกเรือและโจรสลัดรอบข้าง อนาคตกาลและกองเรือพลันแปรเปลี่ยนเป็นภาพมายาโดยพร้อมเพรียง ก่อนจะกลายเป็นฟองอากาศจำนวนมาก
ฟองอากาศเหล่านี้สะท้อนสีสันชวนฝันท่ามกลางแสงสว่าง
ถัดมา พวกมันค่อยๆ ผสานเป็นเนื้อเดียวกับน้ำทะเล
อนาคตกาลและกองเรือเลือนอันตรธานหายไปจากสายตาทุกคนทั้งอย่างนั้น
โจรสลัดที่มีความรู้ต่างพากันผงะและเริ่มตัวสั่น จากนั้นก็ผุดความคิดหนึ่งพร้อมกัน:
ราชินีองค์ใหม่แห่งท้องทะเลถือกำเนิดแล้ว
ราชินีดวงดาว!
…
กรุงเบ็คลันด์ ภายในบ้านหลังหนึ่ง
ยังไม่ทันที่ซิลจะรวบรวมสติหลังกลับมาถึงโลกความจริง เธอเห็นร่างของฟอร์สถูกวาดขึ้นตรงหน้าพร้อมกับตะโกน:
“งานของเธออันตรายเกินไป!”
ซิลผงะเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถึงปัญหาของอีกฝ่ายตามความเคยชิน:
“เธอไม่ได้เคาะประตู”
นี่คือส่วนที่แย่ที่สุดเมื่อต้องใช้ชีวิตร่วมกับครึ่งเทพเส้นทางผู้ฝึกหัด
ฟอร์สนึกทบทวนตัวเองสักพัก ตามด้วยกล่าวอย่างมั่นใจ
“เธอไม่ได้ปิดประตู”
หญิงสาวชี้ไปทางประตูห้องนอนที่เปิดค้างไว้
เราไม่ได้ปิดประตู… ใช่แล้ว เพราะนี่คือชุมนุมกะทันหันซึ่งเราไม่ทันได้เตรียมตัว… ซิลอ้าปาก แต่ก็เถียงไม่ออก
ทั้งสองมองหน้ากันเงียบๆ เป็นเวลานาน ไม่มีใครคิดจะพูดขึ้นเป็นคนแรก
ในที่สุด ฟอร์สตัดสินใจลืมคำกล่าวหาของอีกฝ่าย และดึงความสนใจกลับมายังเนื้อหาภารกิจ
“ภารกิจที่เกี่ยวพันกับตะกอนพลังลำดับ 1 และเอกลักษณ์จะต้องอันตรายมากแน่”
กล่าวจบ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าซิลรับของขวัญล่วงหน้าจากมิสเตอร์ฟูลมาแล้ว ดวงตาของฟอร์สแดงก่ำอย่างมิอาจหักห้าม อดไม่ได้ที่จะรำพัน:
“อย่าลืมขอความช่วยเหลือจากฉัน อย่างน้อยฉันก็พาเธอหนีได้”
เท่าที่พวกเธอนึกออก ทั้งสองแทบไม่เคยเข้าไปพัวพันกับปัญหาในลำดับ 1 มาก่อน ยกเว้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมิสเตอร์ฟูลและเดอะเวิร์ล เกอร์มัน·สแปร์โรว์ รวมถึงเรื่องที่พวกตนอาจถูกเฝ้ามองโดยบุคคลที่มิอาจเอ่ยนาม
นอกเหนือจากนั้น พวกเธอมักคอยสนับสนุนอยู่วงนอกและไม่เคยต้องสู้กับศัตรูที่มีสรรพนามว่า ‘ท่าน’
ดังนั้น คงเป็นเรื่องยากที่ฟอร์สจะทำตัวปรกติเมื่อได้ยินว่าภารกิจของเพื่อนสนิทเกี่ยวข้องกับตะกอนพลังลำดับ 1 หรือแม้กระทั่งเอกลักษณ์และเทพแท้จริง
ซิลยิ้มพลางตอบ
“ฉันแค่คอยค้นหาเบาะ สืบสวนหาความจริง ไม่ใช่การเผชิญหน้าโดยตรง”
หญิงสาวเสริมหลังจากเว้นวรรค
“วันสิ้นโลกใกล้เข้ามาแล้ว พวกเราทุกคนต้องออกแรงคนละไม้คนละมือ… เธอเองก็เห็นไม่ใช่หรือ แม้แต่มิสเตอร์ฟูลก็ยังต้องหลับใหล เช่นนั้นแล้วมนุษย์ตัวเล็กๆ อย่างเราล่ะ? หากไม่รีบกลายเป็นครึ่งเทพโดยเร็ว บางทีอาจไม่มีพลังพอที่จะขับเคลื่อนสิ่งใดเลย อย่างน้อยในตอนนี้ก็ยังมีความหวัง อย่างน้อยก็ยังมีหนทางในการปลุกมิสเตอร์ฟูล”
ฟอร์สซึ่งผ่านอะไรมามาก ย่อมทราบถึงความจริงข้อนี้อยู่เต็มอก เมื่อครู่เป็นเพียงการระบายความคับคั่งใจ ปัจจุบันกลับมาใจเย็นได้อีกครั้ง
หญิงสาวไตร่ตรองสักพัก:
“คิดจะทำยังไงต่อ”
“การสืบสวนด้วยตัวเองคงยากเกินไป จำเป็นต้องพึ่งพาเครือข่ายข้อมูลของ MI9 และเพื่อการนั้นก็ต้องหาโอกาสเหมาะในการแจ้งให้พวกเขาทราบว่า ตอนนี้ฉันเป็นครึ่งเทพลำดับ 4 เรียบร้อยแล้ว สำหรับวิธีที่จะเลี่ยงมิให้ถูกสงสัย อาจจำเป็นต้องพึ่งพาคำแนะนำของมิสจัสติส รวมถึงการเตรียมตัวบางอย่าง”
สมองฟอร์สประมวลผลอย่างหนัก
“ฉันจะเขียนบทให้เธอเอง… เอ่อ ฉันจะเล่นบทวายร้าย แสร้งทำเป็นคนเสียสติที่พยายามเลื่อนเป็นลำดับ 4 และถูกเธอจัดการ…”
ขณะกล่าว เรื่องราวเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง หญิงสาวรีบนั่งลงบนโต๊ะอ่านหนังสือของซิล หยิบปากกากับกระดาษและเริ่มเขียน
“หลังจากเรื่องราวถูกแต่งเสร็จ ฉันจะให้มิสจัสติสช่วยตรวจสอบและดัดแปลงให้สมเหตุสมผลมากขึ้น” ฟอร์สกล่าวขณะเขียน
ในฐานะจอมเวทลึกลับ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เธอมีพลังในการรักษาความลับของบทสนทนา
ซิลครุ่นคิด
“ไม่ใช่ว่างานหลักของเธอตอนนี้คือการเขียนชีวประวัติกับเรื่องราวหรอกหรือ?”
“ฮะฮะ! ของแบบนั้นง่ายจะตายไป ฉันคิดโครงเรื่องเผื่อไว้นับไม่ถ้วนในหัว มีวัตถุดิบให้ใช้สอยเหลือเฟือ… ขาดแค่การเรียบเรียง…” ฟอร์สพึมพำสักพักพลางอุทิศตัวเองให้กับการเขียนบทสำหรับตบตา MI9 ให้ซิล
เมื่อเห็นเพื่อนสนิททุ่มเทให้กับงานของตน รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าซิล
หญิงสาวรีบหันไปมองทางประตูที่เปิดอ้า และได้ยินเสียงน้องชาย ลัวร์·เดียร์ชาคล้ายกับกำลังพูดภาษาคนยักษ์โบราณ ซึ่งถือเป็นพื้นฐานสำหรับการเรียนกฎหมายและการสอบนักกฎหมาย
มารดาของเธอกำลังเตือนคนรับใช้สองคนว่าอย่าลืมทำความสะอาดห้องนั่งเล่น
เสียงของคนเหล่านั้นดังเข้ามาในโสตประสาทซิล เปลี่ยนให้สีหน้าของเธอค่อยๆ หนักแน่น
แม้ไม่ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเบื้องบนของ MI9 และไม่ทราบว่าอันตรายจากภารกิจของมิสเตอร์ฟูลจะร้ายแรงขนาดไหน รวมถึงไม่ทราบว่าวันสิ้นโลกจะมาในรูปแบบใด แต่ซิลทราบดี หากเธอไม่ทำอะไรเลย ไม่กล้าออกไปเสี่ยงและมัวแต่ดื่มด่ำความสุขความชื่นมื่นของครอบครัว ในท้ายที่สุด เธอจะถูกถาโถมจนจมท่วมเหมือนกับคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้เตรียมตัวรับมืออุทกภัยล่วงหน้า
และในปัจจุบัน แม้ถนนตรงหน้าตนจะเต็มไปด้วยขวากหนาม แต่ก็พอจะมองเห็นแสงสว่างส่องรำไร
สิ่งนี้มีแต่ต้องคว้าไว้ด้วยจิตใจอันกล้าหาญที่ยอมเสียสละตัวเอง
……………………………………………………..