Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 445 : ถ่ายทอดสด
สายฟ้าแลบเป็นเส้นยาวบนท้องฟ้า ช่วยมอบความสว่างปกคลุมกำแพงเมืองสีดำสนิทเบื้องล่าง
มือข้างหนึ่งถือถุงทำจากหนัง ส่วนอีกข้างกำลังถือขวานเฮอร์ริเคน เดอร์ริค·เบเกอร์หยุดยืนด้านหน้าทางเข้าขนาดใหญ่พร้อมกับเพื่อนร่วมทีมอีกเกือบสิบ
เมื่อแหงนหน้าขึ้นไป ระหว่างร่องของลวดลายหินบนกำแพง เดอร์ริคมองเห็นดินดำอุดตันในสภาพแห้งกรัง หญ้าสีดำงอกแซมออกมาหลายพุ่ม มอบความรู้สึกน่าขนลุกคล้ายกระจุกเส้นผมของมนุษย์
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังจากประตูทางเข้า เด็กหนุ่มกับพวกพ้องรีบหันไปมอง
ท่ามกลางฉากหลังสว่างสลับมืด ชายร่างใหญ่สะพายดาบสองเล่มไขว้กันด้านหลัง กำลังย่างกรายมาทางกลุ่มของเดอร์ริคอย่างไม่รีบร้อน
บุรุษคนดังกล่าวมีสีผมขาวซีดไม่เป็นทรง ดวงตาลุ่มลึกแฝงความกร้านโลก รอยแผลบนแก้มเป็นร่องลึกและไม่เรียบเนียน สวมเสื้อโค้ทสีน้ำตาลตัวเก่งและเชิ้ตป่านสีขาว
ชายผู้กำลังย่างกรายเข้าใกล้ไม่ใช่ใครนอกจากผู้นำสูงสุดคนปัจจุบันแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์ อาวุโสใหญ่ประจำสภาอาวุโส โคลิน·อีเลียด นักล่าปีศาจสุดทรงพลัง
หลังจากทักทายเสร็จ เดอร์ริคก้มมองเอวของท่านผู้นำ และพบกับเข็มขัดหนังซึ่งเต็มไปด้วยช่องสำหรับสอดขวดโลหะจำนวนมาก
สิ่งนี้คือเครื่องพิสูจน์ความแข็งแกร่งและประสบการณ์ของลำดับ 4 ‘นักล่าปีศาจ’
เดอร์ริคเคยได้ยินพ่อกับแม่เล่าให้ฟังว่า นักล่าปีศาจเชี่ยวชาญด้านการจับจุดอ่อนของสัตว์ประหลาดแทบทุกชนิด และอาศัยญาณพิเศษในการรับมือกับสัตว์ประหลาดเหล่านั้น แต่ถ้าพลังญาณพิเศษยังไม่เพียงพอ นักล่าปีศาจจะต้องพึ่งพายาวิเศษ ขี้ผึ้งศักดิ์สิทธิ์ น้ำมันสกัด หรือตราประทับ วิธีใช้งานมีหลากหลาย เช่นการดื่มเข้าปาก ทาลงบนดาบ หรือไม่ก็ราดลงบนดาบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นงานจุดอ่อนศัตรู
ความสามารถข้างต้นทำให้นักล่าปีศาจกลายเป็นของแสลงสำหรับสัตว์ประหลาดแทบทุกสายพันธุ์บนโลก และจำนวนขวดโลหะบนเข็มขัดก็หมายถึง ‘ประสบการณ์’ หรือความช่ำชองของแต่ละคน
แน่นอน รายละเอียดข้างตนเป็นเพียงเศษเสี้ยวพลังของนักล่าปีศาจ ไม่อย่างนั้นโอสถชนิดนี้คงไม่ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ครึ่งเทพ
โคลินมองไปรอบตัวเพื่อยืนยันว่าสมาชิกทุกคนอยู่กันครบ จึงค่อยออกคำสั่งด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“เริ่มจุดไฟ ถึงเวลาเดินทางแล้ว”
ทันใดนั้น สมาชิกจำนวนสองคนทำการจุดเทียนไขภายในตะเกียงหนัง ตะเกียงชนิดนี้มีโครงเป็นโลหะ แต่ใช้แผ่นหนังบางเฉียบล้อมรอบสี่ทิศแทนกระจก
ในยามกลางวัน ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ไม่มีความจำเป็นต้องจุดเทียน เนื่องจากสายฟ้าจะมอบความสว่างในทุกสองถึงสามวินาที ไม่เพียงเท่านั้น หน่วยลาดตระเวนยังหมั่นกำจัดสัตว์ประหลาดรอบเมืองอย่างสม่ำเสมอ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกลอบโจมตี แต่เมื่อย่างเข้าสู่ยามกลางคืน เทียนไขคือสิ่งห้ามขาด เพราะถ้าปล่อยให้ความมืดสนิทปกคลุมนานเกินกว่าห้าวินาที จะมีโอกาสถูกสัตว์ประหลาดลอบทำร้ายในอัตราสูงมาก
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์น่ากลัวอันดับหนึ่งขณะถูกความมืดปกคลุมมิใช่การถูกสัตว์ประหลาดลอบทำร้าย
เดอร์ริคยังจำเรื่องเล่าสยองขวัญจากปากพ่อและแม่ได้อย่างแม่นยำ
ย้อนกลับไปสมัยพวกเขายังหนุ่มสาว ทั้งคู่อยู่ในทีมสำรวจ และได้รับภารกิจสำรวจลึกเข้าไปในดินแดนอันมืดมิด หลังจากผ่านการต่อสู้กับกองทัพซากศพอย่างยาวนาน ตะเกียงเทียนไขของหน่วยได้หมดลงและเปลี่ยนของใหม่เข้าไปไม่ทันเวลา ความมืดจึงเข้าปกคลุมนานถึงแปดวินาทีเต็ม เมื่อได้รับความสว่างกลับคืนมา สมาชิกของหน่วยได้เหลือเพียงห้า จากเดิมมีแปด และสามคนดังกล่าวมิได้ปรากฏตัวออกมาอีกเลยหลังจากนั้น
เดอร์ริคสูดลมหายใจยาวเข้าปอดพร้อมกับเดินรวมกลุ่มไปกับเพื่อนร่วมทีม ตามหลังผู้นำสูงสุดไปยังทิศทางตามคำสั่ง
เหนือท้องฟ้าด้านบน สายฟ้ากำลังผ่าแลบ มอบความสว่างฉาบทุ่งโล่งซึ่งมีต้นหญ้าสีดำมืดปกคลุม ฉากดังกล่าวงดงามราวกับภาพวาดสีน้ำมันของจิตรกรชื่อดัง
หน่วยสำรวจประกอบด้วยผู้วิเศษสิบชีวิตเดินเรียงกันไปตามทางเดินซึ่งโรยด้วยก้อนกรวด เป้าหมายของพวกมันคือการสำรวจลึกเข้าไปในความมืดมิดอันไร้ก้นบึ้ง
เมื่อสายฟ้าด้านบนหยุดลง บรรยากาศสีดำเข้มข้นได้เข้ามาปกคลุมเกือบทุกซอกมุมของโลกรอบตัว จุดกำเนิดแสงแหล่งสุดท้ายคือตะเกียงเทียนไขหนังสัตว์ประหลาดในมือ
แสงเทียนส่องผ่านแผ่นหนังบางเฉียบ เปลวเทียนกำลังไหววูบอย่างอ่อนโยน ช่วยรักษาชีวิตทุกคนในบริเวณใกล้เคียงเอาไว้
…
เขตตะวันออก ด้านในร้านกาแฟสภาพเก่าโทรมและมันเลื่อม
จากการนัดหมายในคราวก่อน ไคลน์เดินเข้ามาในร้านและพบกับเฒ่าโคห์เลอร์ผู้กำลังปาดเนยลงบนแผ่นขนมปังปิ้ง
ชายหนุ่มชำเลืองซากบุหรี่ยับยู่ยี่บนโต๊ะพลางซักถามด้วยรอยยิ้ม
“เพิ่งซื้อมาหรือ?”
“เปล่า ผมพกติดตัวมานานแล้ว นับตั้งแต่เลิกสูบถาวร เพียงหยิบออกมาดมบ้างเป็นบางคราวเพื่อสูดกลิ่น ฮะฮะ! เวลาดมแล้วทำให้นึกถึงชีวิตอันน่าสมเพชในอดีต ย้อนกลับไปตอนนั้น ผมต้องใช้ชีวิตอยู่บนความหวาดระแวงโดยไม่รู้ว่าจะตายตอนไหน” น้ำเสียงของโคห์เลอร์เจือความกลัวเล็กน้อย
ไคลน์นำเศษเหรียญจำนวนยี่สิบซูลซึ่งแลกเตรียมไว้ออกมาวางกองบนโต๊ะ จากนั้นก็ผลักไปหาอีกฝ่ายขณะทิ้งตัวนั่งลง
“ผมพอใจกับข้อมูลคราวก่อนมาก”
โดยไม่รอให้เฒ่าโคห์เลอร์ถ่อมตัว ชายหนุ่มหันไปทางเคาน์เตอร์และตะโกน
“เจ้าของร้าน ขอขนมปังข้าวโอ๊ตหนึ่งแถว ขนมปังปิ้งสองชิ้น เนยหนึ่งก้อน สเต๊กเนื้อมันฝรั่งหนึ่งจาน และชาเพนนีหนึ่งถ้วย”
ชาเพนนีคือชาราคาหนึ่งเพนนี
“มิสเตอร์โมเรียตี้ เมื่อคืนคุณไม่ได้กินข้าวมาหรือ?” โคห์เลอร์ทำหน้าประหลาดใจพลางใช้มือโกยเหรียญ
ไคลน์ส่ายหัวและยิ้ม
“หลังจากช่วงสายของวันนี้ ผมคงงานยุ่งยาวไปจนถึงช่วงเย็น ไม่น่าจะมีเวลาแวะกินอาหารกลางวัน”
มันจำเป็นต้องแสร้งขยันสืบข่าวการตายของทาลิม เพราะไม่ว่าอย่างไรก็รับเงินจากองค์ชายเอ็ดซัคมาแล้วหนึ่งร้อยปอนด์
เฒ่าโคห์เลอร์ไม่สานต่อบทสนทนา เพียงตั้งใจเก็บเหรียญเข้ากระเป๋าเสื้ออย่างเป็นระเบียบ พลางขยับปากแจกแจงสถานการณ์ในรอบสัปดาห์หลัง
“มีความคืบหน้าเล็กน้อยเกี่ยวกับเงินค่าหัวของอะซิก·อายเกส ได้ยินว่าหัวหน้าแก๊งอันธพาลและพ่อค้าข่าวบางรายเป็นคนตั้งรางวัลนำจับ แต่ผมไม่ทราบลึกไปกว่านี้ ยังหาโอกาสติดต่อคนเหล่านั้นไม่ได้”
MI9… ไคลน์พยักหน้า
“พอแล้ว ไม่ต้องสืบลึกกว่านี้ มันอันตรายเกินไปสำหรับคุณ”
โคห์เลอร์ถอนหายใจผ่อนคลาย
“สองวันก่อนบนถนนผ้าคลุมทอง ใครบางคนพบเบาะแสของอะซิก·อายเกสในโรงแรมราคาถูกแห่งหนึ่ง ข่าวลือระบุว่าอีกฝ่ายมีใบหน้าตรงตามใบค่าหัวทุกประการ”
“…”
หัวใจไคลน์พลันเต้นระรัว แต่ภายนอกเผยเพียงรอยยิ้ม มิใช่อาการตื่นตระหนก
“แล้วหลังจากนั้น? อย่าบอกนะว่าพอผมคิดจะร่วมวงค้นหา ภารกิจก็ถูกปิดทันที?”
“หลังจากนั้น นักล่าค่าหัวทั่วเขตตะวันออกต่างวนเวียนไปยังโรงแรมดังกล่าว แต่ก็ไม่มีใครพบเบาะแสใด จริงสิ ได้ยินว่าภายในห้องมีสัญญาณการต่อสู้” เฒ่าโคห์เลอร์พยายามนึกเค้นความทรงจำ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เบาะแสคงถูกส่งไปหา MI9 เป็นอันดับแรก… มิสเตอร์อะซิกกำลังบาดหมางกับกองทัพจริงหรือ? แล้วผลลัพธ์การต่อสู้ออกมาเป็นเช่นไร…
ไคลน์ชำเลืองไปทางเจ้าของร้านผู้กำลังยกอาหารใส่ถาดมาเสิร์ฟ ก่อนจะกระซิบกับโคห์เลอร์โดยจงใจให้คนนอกได้ยิน
“ช่วยพาผมไปยังโรงแรมบนถนนผ้าคลุมทองด้วย บางทีอาจพบร่องรอยเพิ่มเติม”
เนื่องจากล่วงเลยเวลาอาหารเช้าของชาวตะวันออกมาแล้ว ลูกค้าภายในร้านกาแฟราคาถูกจึงบางตาจนน่าใจหาย
“ตกลง” โคห์เลอร์ตอบรับโดยไม่ลังเล
“สิบหกเพนนีครึ่งครับ” เจ้าของร้านกล่าวพลางวางอาหารของไคลน์ลงบนโต๊ะ
สเต๊กเนื้อมันฝรั่งมีปริมาณไม่มาก และสตูก็ถูกต้มจนสุกเกินพอดี คล้ายกับนำมาอุ่นจากหม้อใหญ่ซึ่งทำเตรียมไว้ล่วงหน้าในปริมาณมาก แต่กลิ่นหอมฟุ้งของอาหารทำให้เฒ่าโคห์เลอร์กลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
หลังจากจ่ายค่าอาหาร ไคลน์หยิบช้อนส้อมพร้อมกับส่งสัญญาณบอกสายข่าว
“เชิญเล่าต่อ”
“ไม่มีใครตามหาสาวกของเดอะฟูลแล้ว นอกจากกลุ่มนักล่าค่าหัวหัวรั้นบางคน… สาวโรงงานทอผ้าซึ่งตกงานจำนวนมากจากเหตุการณ์ก่อนหน้า รวมถึงคนงานชายอีกจำนวนหนึ่ง ได้อพยพออกจากเขตตะวันออกอย่างเป็นปริศนา…” เฒ่าโคห์เลอร์ก้มหน้านึก
“อะไรนะ…” ไคลน์กลืนเนื้อชิ้นใหญ่ลงคอและเงยหน้าขึ้น “ออกจากเขตตะวันออก?”
“พวกเขาคงหางานใหม่ได้แล้วกระมัง ในส่วนของจุดหมายปลายทาง ผมเองก็ไม่ทราบเช่นกัน” โคห์เลอร์เล่าทุกสิ่งโดยไม่ปิดบัง
“แม้แต่ครอบครัวพวกเขาก็ไม่ทราบเลยหรือว่าอพยพไปไหน?” ไคลน์ถามจี้
“บางรายออกไปพร้อมสมาชิกครอบครัวซึ่งตกงานเหมือนกัน แต่บางรายก็ออกไปหางานทำตามลำพัง” โคห์เลอร์ลงลึกรายละเอียดเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนสืบหาข้อมูลมาพอสมควร
มีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล…
ไคลน์จดบันทึกในใจพลางปล่อยให้เฒ่าโคห์เลอร์เล่าความเป็นไปของเขตตะวันออกในรอบหนึ่งสัปดาห์ผ่านมา
หลังจากนัดแนะเวลานัดหมายของสัปดาห์หน้าเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มวางช้อนส้อมลงและกล่าวกับอีกฝ่าย
“ไปถนนผ้าคลุมทองกันเถอะ”
…
ภายในโรงแรมราคาถูกเพียงแห่งเดียวบนถนนผ้าคลุมทอง
หลังจากเจ้าของรับทิปจากไคลน์จำนวนสองเพนนี มันฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับเดินนำทั้งคู่ไปยังห้องซึ่งสงสัยว่าอะซิก·อายเกสเคยพักอาศัย
“มีนักล่าค่าหัวจำนวนมากแวะเวียนมาขอดูห้องนี้เป็นการเฉพาะ ฮะฮะ! ผมทำเงินจากมันได้ไม่น้อย จึงตัดสินใจไม่ให้ใครเข้าพัก และคงสภาพเดิมไว้อย่างสุดความสามารถ” เจ้าของโรงแรมเปิดประตูห้องพร้อมกับชี้นิ้วเข้าไปข้างใน
ภาพแรก ไคลน์มองเห็นโต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาด เศษผ้ากระจัดกระจายทั่วทุกมุม แต่ไม่ปรากฏสัญญาณการต่อสู้รุนแรง
ด้วยสัมผัสวิญญาณอันเฉียบแหลม ไคลน์หันขวับไปทางใต้เตียง
มันยืนจ้องราวสองวินาที จึงค่อยเดินเข้าไปใกล้และโน้มตัวลง ใช้ฝ่ามือตบลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา
ปุ!
ฝุ่นฟุ้งกระจายทันที พร้อมกันการวิ่งพรวดออกมาของหนูสีเทาตัวหนึ่ง
มองผิวเผินจะเหมือนกับหนูปรกติ แต่ในการมองเห็นของเนตรวิญญาณ สีออร่ากลับเป็นเขียวและดำ!
หนูตัวเดิมปีนขึ้นผนังห้องฝั่งติดกับไคลน์ เผยให้เห็นส่วนหนึ่งของช่วงท้อง
ปัจจุบัน ผิวหนังใกล้สะดือของหนูเทามีสีเขียวคล้ำ น้ำหนองน่าขยะแขยงไหลเยิ้ม หากตั้งใจมองจะเห็นอวัยวะภายในกำลังเน่าเปื่อย
ไคลน์รีบชำเลืองไปทางโคห์เลอร์ และพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจหนูตัวดังกล่าวเลย
“มีใครเบิกเงินค่าหัวของอะซิก·อายเกสไปหรือยัง?”
“ยัง” โคห์เลอร์ส่ายหัวหนักแน่น
ไคลน์สำรวจรอบห้องอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนจะเดินกลับออกมาด้วยสีหน้าผิดหวัง
“ไปกันเถอะ ในนี้ไม่มีเบาะแสสำคัญ”
…
15 ถนนมินส์
ไคลน์ซึ่ง ‘งานยุ่ง’ ตลอดทั้งวัน เอนกายลงบนเตียงและนอนหลับฝันหวาน
ฉากความฝันภาพแล้วภาพเล่าเรียงต่อกันอย่างไหลลื่น จนกระทั่งโลกทั้งใบกลายเป็นสีดำสนิทไปชั่วขณะ ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ไคลน์ ‘ลืมตา’ ตื่นขึ้นอีกครั้ง และตระหนักได้ว่าตนกำลังอยู่ในความฝัน!
โดนบุกรุกความฝันอีกแล้วหรือ…
ชายหนุ่มมองไปรอบตัวเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ปัจจุบัน
มันพบว่าตนกำลังอยู่ท่ามกลางทุ่งกว้างในย่านชนบทแห่งหนึ่ง
ไกลสุดสายตามีลำธารไหลผ่านในแนวนอน สายน้ำเส้นดังกล่าวหักโค้งอ้อมหน้าผาสูงชันเด่นตระหง่านตรงหน้า
ฝั่งหนึ่งของผามีหินสีข้าวโพลนก้อนใหญ่ หากมองจากระยะไกลจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์
ชายหญิงสิบกว่าคนสวมเสื้อโค้ทสีดำหรือแจ็คเก็ตสีดำ กำลังยืนรวมตัวหน้าทางเข้าลับริมลำธาร หนึ่งในนั้นคือคนรู้จักของไคลน์
ไอคานส์·เบอร์นาร์ด
เมืองผาขาว…แม่น้ำสตาร์ฟอร์ด…
จิตแห่งจักรกล…? พวกเขากำลังจะสำรวจสุสานตระกูลอามุนด์? แล้วเราทำไมเราถึงฝันเห็นฉากเช่นนี้?
ไคลน์ขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ
ทันใดนั้น ชายหนุ่มเหลือบเห็นผิวแม่น้ำกำลังกระเพื่อมในลักษณะผิดธรรมชาติ ตามด้วยตัวอักษรสีขาวเด่นชัดใจความว่า :
“ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์และถ่อมตนของท่าน อาโรเดส จะเริ่มรายงานผลการขุดค้นสุสานให้ท่านได้รับชม ณ บัดนี้”
ไคลน์พลันอ้าปากค้าง มันหมดคำจะกล่าวเป็นเวลานาน จนกระทั่งความคิดหนึ่งผุดขึ้นในสมอง :
เอ็งเพิ่งแนะนำตัวว่าเป็นข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ แต่กลับกำลังทรยศจิตแห่งจักรกลเนี่ยนะ!
……………………