Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 455 : ขอความช่วยเหลือ
ด้านในวิหารกึ่งซากปรักหักพังเต็มไปด้วยเสาหินซึ่งผุพังเกือบหมด เหลือเพียงไม่ถึงครึ่งสำหรับค้ำจุนโครงสร้างอาคารส่วนใหญ่
ด้านหน้าสุดของโถงหลักมีแท่นบูชาขนาดปานกลาง สภาพค่อนข้างเสื่อมโทรม ใจกลางแท่นบูชาคือไม้กางเขนใหญ่สีดำสนิท
กึ่งกลางไม้กางเขนมีรูปปั้นของชายเปลือยกายถูกแขวนในสภาพห้อยหัว บริเวณข้อเท้า ต้นขา และลำตัวมีบ่วงหนามโลหะ ทั้งขึ้นสนิมและแหลมคม กำลังรัดพันทิ่มแทง รอบบ่วงหนามมีคราบเลือดสีแดงแห้งกรัง
เดอร์ริคทราบทันทีว่านี่คือเทวรูปของพระผู้สร้างเสื่อมทราม แต่ก็ยังก้มลงไปมองใบหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น
บนใบหน้าของเทวรูป ส่วนของใบหู จมูก และริมฝีปากล้วนไม่คมชัด เหลือเพียงส่วนดวงตายังคงคมชัด
คล้ายกับพระผู้สร้างเสื่อมทรามกำลังหลับตาเพราะต้องทนรับความเจ็บปวดเหนือพรรณนาแทนมนุษย์ทุกคน
“ห้ามมองเทวรูปของเทพมาร!” นักล่าปีศาจ โคลิน รีบตักเตือนเสียงขรึม
“ขอรับ ท่านผู้นำ” สมาชิกทีมสำรวจรีบเบือนหน้าไปทางอื่น
จนถึงวันนี้ แม้ทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์จะรวบรวมข้อมูลได้เป็นจำนวนมาก จนถึงขั้นสามารถบ่งชี้ว่า มีเมืองหลายแห่งโดยรอบนับถือเทพมารชั่วร้าย แต่ชาวเมืองส่วนใหญ่กลับยังไม่เคยเห็นเทวรูปของเทพมารด้วยตาตัวเองเลยสักครั้ง
เป็นเพราะส่วนอื่นของวิหารมีขนาดไม่กว้างมาก ทีมสำรวจจึงจับกลุ่มสองถึงสามคน กระจายตัวเก็บรายละเอียดทุกซอกมุมจนเสร็จเรียบร้อยภายในเวลาไม่นาน และผลลัพธ์ก็คือ ไม่มีใครพบความผิดปรกติใดเลย
มาถึงตรงนี้ โคลิน·อีเลียด ผู้นำสูงสุดของเมืองและหัวหน้าสภาอาวุโส ก้มศีรษะตรึกตรองสักพักก่อนออกคำสั่ง
“สำรวจชั้นใต้ดิน”
ขณะกล่าว มันชักดาบออกจากหลังหนึ่งเล่มพร้อมกับทาขี้ผึ้งสีเงินฉาบผิวดาบ
ถัดมา โคลินหยิบขวดแก้วออกจากช่องเข็มขัด ดึงจุกฝา และกลืนของเหลวด้านในเข้าไปหนึ่งคำ
ทันใดนั้น เดอร์ริคพบว่าดวงตาของนักล่าปีศาจมากประสบการณ์ ได้เปลี่ยนจากสีฟ้าหม่นลุ่มลึก กลายเป็นสีฟ้าสว่างแวววาว
ขณะเดียวกัน สมาชิกคนอื่นต่างก็รีบเตรียมความพร้อมสำหรับต่อสู้ในแบบของตัวเอง
ภายใต้แสงตะเกียงหนังสัตว์จำนวนสี่ดวง ทีมสำรวจค่อยๆ ย่องลงบันไดหินซึ่งอยู่ฝั่งซ้ายมือของแท่นบูชา
เป็นเวรของเดอร์ริคต้องถือตะเกียงบ้าง เด็กหนุ่มจึงยืนนำหน้าสุดของแถว บรรจงขยับเท้าลงขั้นบันไดไปทีละหนึ่งอย่างใจเย็น
ท่ามกลางความมืดมิด มันกำลังได้ยินเสียงฝีก้าวตัวเอง ดังผสมผสานกับฝีก้าวของพวกพ้องด้านหลังจนคล้ายกับเสียงสะท้อน
ฝีเท้าทุกคนดังแจ่มชัด เป็นการเน้นหนักว่าบรรยากาศรอบตัวเงียบงันและปราศจากเสียงรบกวนอื่นโดยสิ้นเชิง ภายในใจทุกคนกำลังตึงเครียด เสียงกุกกักของขณะฝ่าเท้ากระทบพื้นหิน เป็นราวกับเสียงใครบางคนออกแรงเคาะประตูดังโครมคราม เมื่อคิดว่าพวกตนกำลังจะได้สำรวจอารยธรรมเก่าแก่ซึ่งเป็นปริศนามานานหลายปี หัวใจของแต่ละคนเริ่มบีบเกร็งในระดับผิดปรกติ
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ คล้ายกับกาลเวลารอบตัวไหลผ่านไม่เท่ากับด้านนอก เดอร์ริคเริ่มเห็นว่าพื้นหินตรงหน้ามีลักษณะเรียบตรง เป็นสัญญาณการเดินมาถึงสุดเขตขั้นบันไดยาว
เมื่อทุกคนลงมากันครบ แสงตะเกียงหนังในมือช่วยให้เดอร์ริคทราบว่า กำแพงรอบตัวล้วนเป็นจิตรกรรมฝาผนังซึ่ง ดาร์ก·รีเจนซ์ในสภาพถูกกัดกร่อนจิต เคยเล่าให้ฟัง
จิตรกรรมฝาผนังทอดยาวตลอดแนวผนังสองฝั่งของทางเดิน สีสันเรียบง่าย กลิ่นอายภาพหม่นหมองอึมครึม มอบความรู้สึกเก่าแก่คล้ายกับภาพวาดเหล่านี้เคยผ่านการเปลี่ยนผันของยุคสมัยมาแล้วนับไม่ถ้วน
เดอร์ริคชำเลืองผ่านจนกระทั่งสะดุดกับภาพหนึ่งเป็นพิเศษจนต้องหยุดมอง
บนกำแพงซ้ายมือ ภาพของไม้กางเขนยักษ์สีขาวตั้งเด่นตระหง่านอยู่กึ่งกลาง ล้อมรอบด้วยบางสิ่งคล้ายน้ำทะเลสีเข้มจนเกือบดำ ของเหลวสีดำกล่าวกำลังไหลท่วมมนุษย์จำนวนมากด้านล่างซึ่งพยายามตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด
ห้อยหัวลงจากกางเขนคือพระผู้สร้างเสื่อมทราม ตะปูและบ่วงหนามขึ้นสนิม คราบเลือดสีแดงแห้งกรัง ลักษณะยังคงเหมือนกับเทวรูปด้านนอกทุกประการ
แต่ในภาพนี้ กางเขนสีขาวโพลนบางส่วนถูกกัดกร่อนจนกลายเป็นสีดำสนิท
ด้านบนกางเขนกำลังค้ำจุนดินแดนมายาอันเลือนรางไว้ บนดินแดนเป็นภาพของมนุษย์กลุ่มใหญ่กำลังคุกเข่าสวดภาวนาถึงพระผู้สร้างเสื่อมทราม
ณ สุดของจิตรกรรมฝาผนัง ในจุดลึกสุดอันมืดสนิทซึ่งเป็นสัญลักษณ์ความชั่วร้าย ภาพของเทพมารจำนวนหกตนได้กระจัดกระจายไปตามแต่ละมุม
มุมซ้ายบนเป็นหญิงสาวสวมเสื้อคลุมยาวสีดำทรงโบราณ ลักษณะเรียบง่ายแต่ซับซ้อน ประกอบด้วยผ้าสีดำหลายชั้นแต่ไม่รุงรัง ลวดลายผ้าเป็นภาพของดวงดาวสุกสว่าง
ร่างกายของเธอโปร่งใสและไม่คมชัด ใบหน้าพร่ามัวคล้ายกับสวมหน้ากากสีเนื้อไร้ลวดลาย
ออร่าสีดำสนิทเข้มข้นกำลังพวยพุ่งออกมารอบตัวหญิงสาว บางส่วนก่อตัวเป็นรูปทรงของดวงตาประหลาดสีดำจำนวนมาก
ถัดลงมาเป็นชายสวมชุดคลุมยาวสีขาวสว่าง ใบหน้าถูกฉาบด้วยสีทองอร่าม ตามผิวหนังมีท่อแสงยืดยาวออกมาในลักษณะคล้ายกับหนวดของปีศาจ
มือข้างหนึ่งถือหนังสือสีเขียวน่าขยะแขยง ส่วนอีกข้างถือหอกแสงเจิดจรัส บริเวณหน้าอกและแผ่นหลังสลับด้านกัน
มุมขวาบนเป็นภาพของสัตว์ประหลาดหัวปลาหมึกยักษ์ ดวงตากลมโตผิดมนุษย์ มือข้างหนึ่งถือสามง่าม รอบร่างกายมีสายฟ้าน่าเกรงขามรายล้อม
ด้านหลังเป็นผ้าคลุมอันเกิดจากการเรียงต่อกันของขนนกจำนวนมาก ใต้ฝ่าเท้ามีเกลียวคลื่นความมืดสีดำคอยค้ำจุนการทรงตัว
มุมขวากลางเป็นภาพของหญิงสาวใบหน้าเลอโฉมและอ่อนละมุน หน้าอกใหญ่เป็นพิเศษ ในอ้อมแขนมีซากทารกเน่าเปื่อย ใต้ฝ่าเท้าประกอบด้วยทุ่งข้าวสาลีสีดำเข้ม น้ำพุผุดเศษเนื้อน่ารังเกียจ สมุนไพรท่ามกลางบ่อน้ำเสีย และสัตว์ป่ากำลังผสมพันธุ์อย่างบ้าคลั่ง
มุมขวาล่างเป็นภาพของชายชราสวมเสื้อคลุมยาวแบบมีผ้าคลุมหัว เผยให้เป็นเพียงใบหน้าบางส่วนและริมฝีปาก ใต้ดวงตามีริ้วรอยเหี่ยวย่น และหนวดเคราขาวโพลนอันเกิดจากความชรา
ชายแก่กำลังถือหนังสือในสภาพกางออก เหนือหนังสือมีดวงตาทรงปัญญาลอยอยู่
หากมองผิวเผิน ชายชราจะดูธรรมดากว่าใครทั้งหมด แต่มุมปากกลับเผยรอยยิ้มชั่วร้ายกว่าใครทั้งหมดเช่นกัน
มุมซ้ายล่างเป็นภาพของนักรบคนยักษ์สวมชุดเกราะชำรุดทรุดโทรม สองมือถือดาบยาวใหญ่ กำลังนั่งบนบัลลังก์โดยมีฉากหลังเป็นยามตะวันตกดิน
ความหมายของจิตรกรรมฝาผนังชิ้นนี้คือ เมื่อมหาภัยพิบัติถือกำเนิด เทพมารชั่วร้ายหกตนได้ผุดขึ้นจากนรกเพื่อทำลายโลก ในการจะช่วยให้มวลมนุษย์รอดพ้น พระผู้สร้างเสื่อมทรามจำเป็นแบกรับบาปและความเจ็บปวดเอาไว้ตามลำพัง และผลลัพธ์ก็ทำให้พระองค์ถูกกัดกร่อนจนมีรูปลักษณ์เปลี่ยนไปจากเดิม…
ใครจะไปคิดว่า ‘พระองค์’ ต่างหากคือผู้ชั่วร้ายยิ่งกว่าใครทั้งหมด…
ขณะถือตะเกียงหนังสัตว์ เดอร์ริคเดินไปข้างหน้าพลางสำรวจภาพวาดอย่างใจเย็น เด็กหนุ่มพบว่าเนื้อหาของจิตรกรรมฝาผนังค่อนข้างตรงตามคำบอกเล่าของดาร์ก·รีเจนซ์ แก่นสำคัญของความหมายในภาพคือ ดินแดนแห่งนี้มิได้ถูกเทพทอดทิ้ง กลับกัน พระองค์ต้องต่อสู้ตามลำพังเพื่อปกป้องมนุษย์ทุกคน
ผู้ยังเหลือรอดท่ามกลางความมืดมิดคือ ‘สาวก’ ซึ่งได้รับการอวยพรจากพระองค์เป็นพิเศษ มีภารกิจต้องดำรงไว้ซึ่งอารยธรรมของมนุษย์และฝ่าฟันผ่านหายนะไปให้ได้
แต่ดาร์ก·รีเจนซ์เล่าเพียงผิวเผิน มิได้ละเอียดเท่ากับการมาเห็นด้วยภาพจริง
ระหว่างทาง เดอร์ริคมิได้ลดการป้องกันลง เตรียมตัวรับมือการจู่โจมไม่คาดฝันอยู่เสมอ
ภายใต้ความช่วยเหลือจากแสงจางของเทียนไข ทีมสำรวจเดินผ่านทางเดิน โถง และห้องอีกเป็นจำนวนมาก พวกมันสำรวจลึกเข้าไปในชั้นใต้ดินอันมืดมิดของวิหารโดยไม่หยุดพักเหนื่อย
จนกระทั่งพบกับบานประตูสีเทา ลักษณะกำลังเปิดค้างไว้บางส่วน
หน้าประตูมีวัตถุคล้ายเห็ดงอกอยู่บนพื้นหนึ่งกลุ่มใหญ่ ขนาดของเห็ดเท่าฝ่ามือ ก้านสีขาวนมสด หมวกเห็ดสีแดงสด และมีประกายสีทองเข้มระยิบระยับ
เมื่อได้เห็น ‘เห็ด’ เต็มสองตา สมาชิกทุกคนต่างเกิดความหิวกระหายเหนือพรรณนา พวกมันอยากปรี่เข้าไปเด็ดเห็ดเหล่านี้มายัดใส่ปากจนกว่าจะอิ่มหนำ
อึก.
หลายคนเริ่มกลืนน้ำลายเสียงดัง
แต่สมาชิกทีมสำรวจส่วนใหญ่ล้วนถูกคัดกรองมาเป็นอย่างดี ประสบการณ์และลำดับของพวกมันจึงค่อนข้างสูง ผนวกกับมีบทเรียนมาจากทีมสำรวจชุดแรก ความระวังตัวย่อมอยู่ในระดับมืออาชีพ
ใครบางคนโพล่งขึ้นด้วยเสียงต่ำ
“พวกมันคือเนื้อเน่ากับหนังศีรษะมนุษย์!”
เดอร์ริคทราบชื่อของสมาชิกคนดังกล่าว มันมีนามว่าโจชัว เมื่อไม่นานมานี้ โจชัวเพิ่งนำคะแนนผลงานของตนไปแลกสมบัติวิเศษจากภารกิจสำรวจ
โจชัวยกแขนซ้ายซึ่งสวมถุงมือสีแดงสดขึ้น พลางเล็งไปทางประตูสีเทาตรงหน้าเดอร์ริค
บรรยากาศโดยรอบพลันสว่างวาบ ลูกบอลเพลิงพุ่งออกจากถุงมือและกระแทกใส่ ‘เห็ด’ สุดน่ารับประทานอย่างแม่นยำ
บึ้ม!
พื้นหินสะเทือนแผ่วเบา ทะเลเพลิงปกคลุมรอบเห็ดปริศนาภายในรัศมีสองเมตร
เมื่อทะเลเพลิงดับลง เห็ดน่ารับประทานได้อันตรธานหาย เหลือไว้เพียงเศษเนื้อน่าขยะแขยงเกลื่อนกลาด ส่งผลให้เหล่าผู้วิเศษซึ่งเกิดความอยากอาหารเมื่อครู่ ต่างพากันคลื่นไส้อาเจียนเป็นพัลวัน
นักล่าปีศาจโคลินไม่สอดมือเข้าไปยุ่ง ปล่อยให้เหล่าสมาชิกหนุ่มจัดการปัญหาเล็กน้อยกันเอาเอง ทำเพียงเฝ้ามองอย่างเงียบงัน
“ทำไมถึงมีเห็ดก้อนเนื้อและเส้นผมของมนุษย์งอกอยู่? แล้วก้อนเนื้อมาจากไหนกัน?” โจชัวลดแขนซ้ายลงพลางพึมพำด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
สมาชิกคนอื่นลองคาดเดา
“อดีตชาวเมือง?”
เป็นไปได้… บางที ความตายอาจทำให้ศพพวกเขาเปลี่ยนสภาพ กลายเป็นเนื้อเน่าและเส้นผมน่าขยะแขยง… เดอร์ริคเห็นพ้อง
หลังจากปรึกษาหารือสักพัก ทีมสำรวจตัดสินใจแบ่งกลุ่มสำรวจห้องโถงหน้าประตูสีเทาให้ทั่วทุกซอกมุม
เมื่อจัดการเสร็จ แต่ละคนกลับมารวมตัวหน้าบานประตูสีเทาอีกครั้ง และค่อยๆ ย่างกรายเข้าไปข้างในอย่างระมัดระวัง สติเตรียมพร้อมรับมือการจู่โจมทุกรูปแบบ
ด้านหลังประตูคืออีกหนึ่งแท่นบูชา แต่ความมืดภายในห้องกลับเข้มข้นผิดไปจากทุกที ลำพังตะเกียงเทียนไขเจือจางมิอาจขับไล่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กึ่งกลางแท่นบูชายังคงเป็นกางเขนใหญ่สีดำสนิทเหมือนวิหารด้านบน รวมถึงเทวรูปห้อยหัวของพระผู้สร้างเสื่อมทราม
ในฐานะผู้ถือตะเกียง เดอร์ริคเดินเข้าไปใกล้กว่าใครพลางสอดส่องสายตาสำรวจ
ทันใดนั้น ร่างกายเด็กหนุ่มพลันแข็งทื่อ เนื่องจากมันพบจุดแตกต่างระหว่างเทวรูปด้านในและด้านนอกวิหารเข้า
ดวงตากำลังเปิดอยู่!
ดวงตาสีแดงก่ำ เหลือแค่ตาดำยังเป็นสีดำสนิท กำลังจ้องมองผู้บุกรุกประหนึ่งมีชีวิตและความนึกคิดเป็นของตัวเอง
กึก กึก กึก
เดอร์ริคได้ยินเสียงฟันกระทบ
เดิมที มันคิดว่าเป็นเสียงของหนึ่งในสมาชิกร่วมทีมด้านหลัง แต่เพียงไม่นานก็ตระหนักว่า นี่เป็นเสียงฟันกระทบจากอาการสั่นกลัวของตัวมันเอง!
แม้จะไม่เคยทราบว่าเทพมารตนนี้อันตรายอย่างไร แต่ร่างกายกลับสั่นสะท้านจนฟันกระทบกันเองโดยมิอาจควบคุม
กึก. กึก. กึก.
คราวนี้เป็นเสียงฟันจากเพื่อนร่วมทีม
แต่เพียงไม่นาน ประกายระยิบระยับของผงปริศนาได้ฟุ้งกระจายเบื้องหน้าทุกคนพร้อมกับการกำหมัดแน่นของโคลิน·อีเลียด
บึ้ม!
เมื่อสิ้นเสียงระเบิด เดอร์ริคและคนอื่นถูกดึงกลับจากภวังค์ ‘ฝันร้าย’ เมื่อครู่ทันที
แต่ก่อนจะได้ลงมือสำรวจรอบห้อง เสียงสะอื้นของเด็กเล็กดังมาจากด้านหลังแท่นบูชา
“ฮึก ฮึก ฮือ…”
“ฮึก ฮึก ฮือ…”
ท่ามกลางอาการลนลานของทุกคน นักล่าปีศาจโคลินรีบออกคำสั่ง
“เดอร์ริคกับโจชัวเข้าไปตรวจสอบ”
แม้ร่างกายกำลังเย็นวาบ แต่เดอร์ริคก็ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างฉับไว มือซ้ายถือตะเกียงหนังสัตว์ มือขวาถือขวานเฮอร์ริเคน สองขาย่างกรายเข้าไปหาต้นเสียงโดยมีโจชัวตามมาจากด้านหลัง
เมื่อความมืดถูกขจัดด้วยแสงไฟ ทั้งสองเริ่มมองเห็นเงารางกำลังขดตัวด้านหลังแท่น
เดินอีกสองก้าว เดอร์ริคมองเห็นร่างของอีกฝ่ายเต็มสองตา
เด็กเล็กอายุราวเจ็ดแปดขวบ เส้นผมสีเหลืองอ่อน
เด็กเล็กยังคงหลับตาปี๋ ประหนึ่งสายตายังไม่เคยชินกับแสงสว่าง แต่ริมฝีปากรีบขยับอย่างตื่นเต้นดีใจ
“ช่วยด้วย…ช่วยด้วย…”
ตาดำเดอร์ริคพลันหดเกร็ง เมื่อมันมั่นใจว่าเคยได้ยินเสียงนี้จากเหตุการณ์ ‘วูบ’ หน้าทางเข้าวิหาร ขวานเฮอร์ริเคนในมือขวาพลันถูกยกขึ้นตามสัญชาตญาณ
ทันใดนั้น นักล่าปีศาจโคลินปรากฏตัวข้างเดอร์ริคพร้อมกับซักถามเสียงขรึม
“เจ้าเป็นใคร”
เด็กเล็กรีบหยุดร้อง ก่อนจะทำหน้านึกและเอ่ยชื่อของตนอย่างตะกุกตะกัก
“ผ…ผมชื่อ…จ…แจ็ค”
…
หลังเสร็จอาหารมื้อค่ำ ไคลน์สวมโค้ทและหมวกทรงกึ่งสูงเพื่อเตรียมตัวออกจากบ้าน
มันมีแผนไปหาชารอน เพื่อสะสางเรื่องการแอบขุดอุโมงค์ไปยังอาคารใต้ดินของบาโรเน็ตพาวน์ รวมถึงสอบถามเกี่ยวกับเบาะแสของนางเงือก ชายหนุ่มต้องการจัดการทุกสิ่งให้เรียบร้อย ก่อนจะสร้างสถานการณ์ว่านักสืบเชอร์ล็อก ‘ลาพักร้อน’ ไปทางใต้หลายวัน
……………………