Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 468 : เดอะมูน
เอ็มลินตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ สมองกำลังขาวโพลนประหนึ่งรูปปั้นหินในท่านั่ง
ถัดมา มันได้ยินบุคคลเบื้องหลังม่านหมอกสีเทาซักถามด้วยเสียงเรียบ
“เจ้าวิงวอนถึงเราทำไม”
ในหัวเอ็มลินยังคงอื้ออึง จึงทำได้เพียงตอบกลับไปตามความจริง
“นี่เป็นวิวรณ์จากท่านบรรพชน ท่านบอกผ่านนิมิตความฝันว่า หายนะกำลังคืบคลานเข้าใกล้และพวกเราเหล่าผีดูดเลือดต้องเตรียมตัวรับมือล่วงหน้า ข้าคือกุญแจสำคัญในเหตุการณ์ดังกล่าว และภารกิจแรกคือการสวดวิงวอนถึงท่านเดอะฟูล!”
เมื่อได้ฟังเหตุผลอย่างละเอียด ไคลน์ซึ่งเกิดความสงสัยมานาน พลันหมดคำจะกล่าวไปพักใหญ่ แวมไพร์หนุ่มตรงหน้าได้อธิบายทุกความสงสัยของตนจนหมดในคราวเดียว
วิวรณ์จากบรรพชน… ไม่ใช่ว่าเทพธิดาบรรพกาลอย่างลิลิธ ร่วงหล่นไปแล้วตั้งแต่ยุคสมัยแห่งมหาภัยพิบัติหรอกหรือ และอำนาจในขอบเขตของเธอก็ถูกพระผู้สร้างต้นกำเนิดริบกลับคืนไปเช่นกัน… เรื่องนี้ไม่น่าจะผิดพลาด เพราะเมื่อแวมไพร์รุ่นหลังทดลองสวดวิงวอนถึงดวงจันทร์บรรพกาล ผลลัพธ์ส่วนมากมักเกิดความฉิบหายกับตัวเอง…
ยิ่งไปกว่านั้น มิสเตอร์ประตูยังระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ‘ไพ่เดอะมูน’ อันเป็นตัวแทนเส้นทางจันทรายังคงว่างอยู่… อาจเป็นไปได้ว่า ดวงจันทร์บรรพกาลกำลังถูกสวมรอยโดยเทพตนอื่น หรือไม่ก็ปีศาจชั่วร้ายบางตน แต่ไม่ว่าจะอย่างไหน เทพธิดาลิลิธได้สูญเสียตำแหน่งลำดับ 0 ไปแล้วอย่างแน่นอน โดยสิ่งนี้สามารถอนุมานได้ว่า ‘ตาย’ …
ไคลน์พยายามปะติดปะต่อเรื่องราว
เดิมที มันจินตนาการว่า ‘ลิลิธ’ ผู้ตอบสนองคำวิงวอนของเหล่าผีดูดเลือดในบางเรื่อง แท้จริงแล้วเป็น ‘มรดก’ จากเทพธิดาบรรพกาล อาจวัตถุจำพวกเป็น ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางจันทรา ฉะนั้น การตอบสนองต่อคำวิงวอนจึงควรมีลักษณะคล้ายกับข้อความอัตโนมัติ คลุมเครือ และอยู่ในขอบเขตจำกัด
แต่เอ็มลินกลับบอกว่า ผีดูดเลือดได้รับวิวรณ์ความฝันจากเทพธิดาลิลิธโดยตรง…
มีความเป็นไปได้สองทาง หนึ่ง ลิลิธถูกสวมรอยโดยเทพบางตนซึ่งถือครองวัตถุ ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางจันทรามาสักพัก ส่งผลให้เทวทูตบนเส้นทางจันทราหมดโอกาสก้าวขึ้นไปเป็นลำดับ 0 โดยปริยาย… ในกรณีนี้ เทพดังกล่าวคงไม่ได้สนใจความเป็นไปของเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดสักเท่าไร อาจเป็นเพียงการมอบวิวรณ์เพื่อทดสอบพลัง… ผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งคงหนีไม่พ้นเทพธิดารัตติกาล เพราะท่านถือครองสมญานาม ‘สตรีสีชาด’ …
แต่พระองค์คือลำดับ 0 บนเส้นทางของ ‘ไพ่เดอะสตาร์’ ไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดถึงปรารถนาอำนาจของ ‘ไพ่เดอะมูน’ ..
หรือแค่ต้องการขัดขวางศัตรู…
อีกหนึ่งความเป็นไปได้คือ เทพธิดาบรรพกาล ลิลิธ ยังไม่ร่วงหล่นโดยสมบูรณ์ จนกว่าจะมีลำดับ 0 คนใหม่ของเส้นทางจันทราปรากฏตัว ท่านสามารถใช้เอกลักษณ์และวิธีการพิเศษในการประคองชีวิตให้อยู่รอด จากนั้นก็รอวันคืนชีพเมื่อโอกาสเหมาะสมมาถึง ประเด็นนี้สอดคล้องกับคำอธิบายของไพ่จักรพรรดิมืด…
บางที การช่วงชิงสมญานาม ‘สตรีสีชาด’ ของเทพธิดารัตติกาล ก็อาจทำไปเพื่อขัดขวางมิให้ลิลิธคืนชีพ…
เมื่อประเมินจากข้อมูลในมือ ลิลิธอาจจงใจเผยวิวรณ์วันสิ้นโลกเพราะวางแผนคืนชีพไว้แล้ว โดยกุญแจสำคัญของแผนดังกล่าวก็คือเดอะฟูล… ถ้านี่คือเรื่องจริง การวิงวอนของเอ็มลินจะมีค่าเท่ากับ ‘จดหมายเชิญพันธมิตร’ ทางอ้อม… แต่เราเป็นเพียงผู้วิเศษลำดับ 6 แล้วจะเอาอะไรไปช่วยเหลือเทพธิดาบรรพกาลหมื่นปีผู้ยังรอดชีวิตมาถึงทุกวันนี้…
ให้เอ็มลินเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์? ผีดูดเลือดคือเผ่าพันธุ์อายุยืนยาว มีตัวตนมาตั้งแต่ยุคสมัยที่สอง และยังทราบความลับน่าสนใจในหลายประเด็น… แต่ถ้าทำแบบนั้น เราก็ต้องแบกรับความเสี่ยงพอสมควร… อา… ทุกครั้งก่อนดึงเอ็มลินเข้าร่วมชุมนุม เราต้องทำนายยืนยันให้แน่ใจว่าปลอดภัย…
ถ้าจำไม่ผิด เราเคยได้ยินคำทำนายคล้ายคลึงกันมาแล้วในหนังสือ ‘ประสบการณ์โลกวิญญาณ’ จากมิสเมจิกเชี่ยน แสงเหลืองกล่าวไว้ว่า คำสาปของตระกูลอับราฮัมจะถูกลบล้างโดยผู้ฝึกหัดซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากบุคคลลึกลับ ฟังดูคล้ายคลึงกับสภาพแวดล้อมปัจจุบันของมิสเมจิกเชี่ยน… เธอคือผู้ฝึกหัด และเพิ่งได้รับความช่วยเหลือจากเรา เดอะฟูล…
ชักน่าสนใจว่า เหล่าตัวตนระดับสูงซึ่งสามารถตระหนักถึงสิ้นโลก จะเห็นเดอะฟูลเป็นทางออกของฝ่ายตนทุกคนเลยหรือไม่…
ไคลน์ครุ่นคิดหลายสิ่ง แต่สีหน้าแววตาภายนอกมิได้แปรเปลี่ยน
มันเอนกายพิงเก้าอี้อย่างสบายใจ มุมปากยกโค้งเผยรอยยิ้มอ่อนโยน
“บรรพชนของเจ้า บอกให้เจ้าสวดวิงวอนถึงเราด้วยเหตุผลอันใด”
น้ำเสียงสุขุมและใสกังวานได้ดึงเอ็มลินกลับจากภวังค์ตื่นกลัว แวมไพร์หนุ่มส่ายหน้าอย่างเชื่องช้าประหนังยังไม่ได้สติดี
“ไม่ทราบขอรับ…”
ขณะเดียวกัน ไคลน์สังเกตเห็นสัญลักษณ์รูปดาวหลังเก้าอี้เอ็มลินเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง กลายเป็นสัญลักษณ์ของจันทราสีเลือด
นึกแล้วเชียว ผู้วิเศษเส้นทางเดียวกับลิลิธ ย่อมมีพลังอยู่ในขอบเขต ‘จันทรา’ …
ไคลน์หัวเราะในลำคอ
“ในยุคสมัยอันเต็มไปด้วยเทพจารีตทั้งเจ็ด รวมถึงยังมีตัวตนลึกลับอีกมากมาย เหตุใดบรรพชนของเจ้าถึงมองว่าเราคือกุญแจสำคัญในการฝ่าฟันหายนะเล่า?”
ท่าทีของอ่อนโยนของเดอะฟูลทำให้เอ็มลินเริ่มใจเย็นลง หลังจากมันเคยกระวนกระวายจนทำตัวไม่ถูก เมื่อตระหนักว่าจิตของตน ถูกบุคคลทรงพลังดึงเข้ามาในห้วงมิติเหนือสายหมอกลึกลับตามใจชอบ
ท่านคือเดอะฟูล… ท่านไม่เกรี้ยวกราด…
เพราะเราคือตัวแทนของท่านบรรพชน?
คิดไว้ไม่มีผิด ตัวข้า เอ็มลิน·ไวท์ คือบุคคลพิเศษของโลก! ท่านบรรพชนเจาะจงให้เรารับการตอบสนองของเดอะฟูล!
ด้วยความคิดเช่นนี้ เอ็มลินตัดสินใจเล่าทุกสิ่งออกไปอย่างเถรตรง
“ท่านเดอะฟูลผู้ยิ่งใหญ่ วิวรณ์ของท่านบรรพชนระบุว่า ตัวข้า เอ็มลิน·ไวท์ คือกุญแจสำคัญในการนำพาเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือด ฝ่าฟันอุปสรรคและหายนะร้ายแรงในอนาคต และจุดเริ่มต้นคือการสวดวิงวอนถึงท่าน”
ความนัยไว้แฝงไว้ก็คือ : กุญแจสำคัญของเรื่องราวคือตัวข้า มิใช่ท่าน!
หมอนี่คงป่วยเป็นโรคม.2 อ่อนๆ …
ก็ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไร อุปนิสัยส่วนตัวก็เป็นพวกโอหังและคิดว่าตัวเองคือศูนย์กลางของโลกมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว…
ไคลน์เหน็บแนมติดตลกพลางทอดแทรกวลีดังจากโลกเก่า
ชายหนุ่มยังคงพูดคุยอย่างอารมณ์ดี
“คำถามเดิม ทำไมถึงเป็นเรา มิใช่หนึ่งในเจ็ดเทพจารีตหรือตัวตนลึกลับอื่นๆ”
“…ข้าไม่ทราบขอรับ” เอ็มลินส่ายหน้าหนักแน่น
ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก
“ว่ากันตามตรง เราพอจะเข้าใจเจตนาของบรรพชนเจ้าอยู่บ้าง เธอหวังให้เราช่วยพัฒนาเจ้าจนแข็งแกร่ง กลายเป็นกำลังสำคัญและช่วยเหลือผีดูดเลือดให้รอดพ้นจากหายนะเลวร้ายในอนาคต”
“พัฒนา…?” เอ็มลินทำหน้างุนงง “ท่านคงทราบดีอยู่แล้ว เผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดของพวกเราไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้ ความแข็งแกร่งจะเพิ่มขึ้นได้จากพิธีกรรมพิเศษ หรือไม่ก็มรดกจากเหล่าอาวุโสเท่านั้น”
นั่นสินะ เพื่อให้เป็นไปตามกฎความถาวรของพลังพิเศษ แม้แต่แวมไพร์เองก็ต้องดื่มโอสถเพื่อเลื่อนลำดับ… หรือก็คือ อาจมีข้อยกเว้นในกรณี ขอเพียงไม่ขัดต่อสามกฎหลักแห่งโลกผู้วิเศษก็พอ… ไคลน์ยิ้ม
“ความรู้ของเจ้า คือโซ่ตรวนพันธนาการเจ้ามิให้ออกไปเห็นโลกกว้าง แน่นอน ผลลัพธ์มิได้ขึ้นอยู่กับเรา แต่เป็นตัวเจ้าของ เราช่วยได้เพียงสนับสนุน”
ชายหนุ่มจงใจเว้นวรรค
“เจ้าจะคว้าโอกาสนี้ไว้หรือไม่”
เอ็มลินลุกยืนและคำนับโดยไม่ลังเล
“ข้าปรารถนาสิ่งนี้มาตลอดขอรับ!”
สหาย ความโอหังและหยิ่งทระนงในสายเลือดแวมไพร์อันสูงส่งไปไหนเสียหมด ทำไมถึงได้นอบน้อมกับนักสืบเชอร์ล็อกคนนี้นัก?
ไคลน์จิกกัด พลางใช้มือเคาะโต๊ะทองแดงและกล่าวต่อ
“แต่เจ้าต้องรักษากฎ”
“เชิญรับสั่งขอรับ” เอ็มลินพยายามอดกลั้นความตื่นเต้น
ไคลน์ยิ้ม
“ห้ามแพร่งพรายข้อมูลและเบาแสทุกชนิดเกี่ยวกับเราจนกว่าจะได้รับอนุญาต ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครก็ตาม”
“แน่นอน รวมไปถึงผีดูดเลือดอาวุโสผู้ช่วยเจ้าประกอบพิธีกรรมด้วย”
“แต่ว่า…” เอ็มลินออกท่าทางลังเล คล้ายกับไม่เต็มใจจะรับปาก
ไคลน์กล่าวต่อไปอย่างอ่อนโยนแต่เด็ดขาด
“ลิลิธมิได้บอกให้เจ้าต้องรายงานความคืบหน้ากลับไปไม่ใช่หรือ”
ชายหนุ่มมั่นใจ เนื้อหาของวิวรณ์ต้องไม่มีการระบุให้รายงานกลับไปแน่!
ลิ…? เดอะฟูลเรียกท่านบรรพบุรุษด้วยชื่อห้วนๆ เลยหรือ… ราวกับเป็นสหายเก่าแก่…
หัวใจเอ็มลินกำลังสั่นระริก มันก้มศีรษะต่ำพลางมอบคำตอบอย่างนอบน้อม
“ไม่ขอรับ”
ไคลน์เผยรอยยิ้มไม่แปรเปลี่ยน
“การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ถือเป็นความลับ เราจึงเลือกตอบสนองหลังเจ้าเป็นอิสระจากการเฝ้าจับตามอง ฉันใดก็ฉันนั้น เจ้าไม่ควรรายงานให้ลิลิธทราบ เพราะข้อมูลอาจรั่วไหลระหว่างทาง”
เมื่อเห็นเอ็มลินออกอาการลังเล ไคลน์เสริม
“หากเจ้าต้องการเป็นกุญแจสำคัญในการกอบกู้เผ่าพันธุ์แวมไพร์ หลักพื้นฐานคือความอดทน ต้องเก็บงำความเจ็บปวดไว้เพียงลำพัง คนรอบตัวจะไม่เข้าใจเจ้า หนีไม่พ้นการถูกนินทาลับหลัง และถูกดูหมิ่นเหยียดหยามต่างๆ นานา แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าก็ต้องซุ่มพัฒนาตัวเองอย่างเงียบงันในเงามืด ไปพร้อมกับการแบกรับภารกิจอันใหญ่หลวงไว้บนบ่า”
คำพูดของไคลน์มีจุดประสงค์เพื่อให้เอ็มลินจินตนาการจนเกิดความคล้อยตาม
เอ็มลิน·ไวท์ ผู้มักถูกพี่น้องมองเป็นตัวตลกเนื่องจากรสนิยมในการสะสมตุ๊กตา รวมถึงเหตุการณ์พลัดหลงเข้าไปในวิหารฤดูเก็บเกี่ยวจนถูกฝังการชี้นำทางจิต ต้องเผชิญความอับอายเหนือพรรณนาและไม่เคยอยู่ในสายตาของเหล่าอาวุโส แต่ในความเป็นจริง ชายคนนี้คือผู้กอบกู้เผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดจากในเงามืด คอยปกป้องทุกคนโดยไม่มีใครรับรู้!
และมันก็ได้ผล
เอ็มลินมอบคำตอบด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม
“สุดแล้วแต่ท่านขอรับ”
ไคลน์เอนหลังพิงเก้าอี้พลางกล่าวเสียงผ่อนคลาย
“ทุกวันนี้ เราอนุญาตให้คนกลุ่มหนึ่งจัดการชุมนุมลับขึ้นรอบโต๊ะทองแดง เจ้าปรารถนาจะเข้าร่วมชุมนุมดังกล่าวเพื่อค้นหาวิธีพัฒนาตัวเอง และเป็นผีดูดเลือดทรงพลังหรือไม่”
“แน่นอนขอรับ!” เอ็มลินไม่ลังเล
ไคลน์พยักหน้าพึงพอใจ
“ยังมีคำขอร้องอื่นอีกไหม”
แวมไพร์หนุ่มพลันยินดีปรีดา มันรีบบอกความต้องการโดยเร็ว
“เรียนท่านเดอะฟูลผู้ยิ่งใหญ่ ข้าประสงค์จะให้ท่านช่วยขจัดการชี้นำทางใจภายในดวงวิญญาณ สิ่งนี้เกิดจากฝีมือของบิชอปจากโบสถ์พระแม่ธร—”
“เรารู้อยู่แล้ว” ไคลน์พูดแทรกเสียงเย็นชา
ท่านทราบ…? สมกับเป็นตัวตนลึกลับ…!
เอ็มลินก้มศีรษะต่ำ
ไคลน์ ‘หึ’ ในลำคอ
“เราช่วยเจ้าได้ แต่ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน”
เมื่ออยู่เหนือห้วงมิติสายหมอกเทา เนตรวิญญาณไคลน์จะถูกเสริมประสิทธิภาพขึ้นจากเดิมหลายเท่า ชายหนุ่มตรวจพบออร่าสีเข้มซึ่งน่าจะเป็นการชี้นำทางใจ แต่ออร่าดังกล่าวกำลังอ่อนแอและใกล้สลายตัวเต็มที
เดิมที ไคลน์มีแผนจะรักษาด้วยพิธีกรรมพิเศษตามหนังสือแห่งความลับ แต่เมื่อประเมินสถานการณ์อีกครั้ง มันเชื่อว่า ลำพังพิธีกรรมพันธสัญญาลับและเทวทูตไพ่จักรพรรดิมืดคงเพียงพอในการรักษาเอ็มลิน
แลกเปลี่ยน…?
หลังจากนั่งครุ่นคิดสักพัก เอ็มลินไม่พบว่าตนมีสิ่งใดจะไปแลกเปลี่ยนกับตัวตนทรงพลังอย่างเดอะฟูล
เห็นเช่นนั้น ไคลน์ฉวยโอกาส
“เราสนใจประวัติศาสตร์ผีดูดเลือดของพวกเจ้า จะใช้สิ่งนั้นแลกเปลี่ยนก็ไม่ขัดข้อง”
ประวัติศาสตร์ผีดูดเลือด…?
หลังจากไตร่ตรอง เอ็มลินยินยอม
“จงคิดเตรียมไว้ล่วงหน้า ว่าจะเล่าเรื่องใดให้เราฟังเป็นอันดับแรก… แต่ก่อนอื่น เจ้าต้องเลือกโค้ดเนมของตัวเองจากสิ่งนี้”
ไคลน์เสกไพ่ทาโรต์สำหรับใหญ่ซึ่งยังไม่ถูกสมาชิกคนอื่นเลือก ไว้บนผิวโต๊ะทองแดงยาว
เอ็มลินก้มหน้าตรวจสอบสักพัก
“เดอะมูน ข้าเลือกไพ่เดอะมูน!”
……………………