Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 469 : ราชินีแวมไพร์
เหนือห้วงมิติสายหมอกเทา ท่ามกลางวังโบราณลักษณะคล้ายถิ่นพำนักของคนยักษ์
เดอะมูน เอ็มลิน เค้นสมองนึกอยู่เป็นเวลานาน ว่าตนควรนำประวัติศาสตร์ของผีดูดเลือดในช่วงใดมาเล่าให้เดอะฟูลฟัง
ท่านและท่านบรรพชนเป็นสหายเก่าแก่…หมายความว่า ท่านย่อมทราบเหตุการณ์ก่อนยุคสมัยมหาภัยพิบัติ เราไม่จำเป็นต้องเล่าซ้ำ…
ระหว่างยุคสมัยที่สี่และห้าถึงแม้ความยิ่งใหญ่ของผีดูดเลือดจะยังไม่เลือนหายไปไหน และมีหลายสิ่งให้พูดถึง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าเหตุการณ์นั้นแล้ว…
เอ็มลินตัดสินใจได้
จากมุมมองของมัน เดอะฟูลคงเป็นเทพบรรพกาลสักตน ผู้ดำรงชีวิตมาตั้งแต่ก่อนยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ ด้วยเหตุผลบางประการ ท่านสามารถรอดพ้นจากการร่วงหล่น และคอยหลบซ่อนในเงามืดมาตลอด
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมประวัติศาสตร์อันซับซ้อนและยาวนานของตระกูลผีดูดเลือดจึงไม่มีการบันทึกรายละเอียดของเดอะฟูลไว้เลย เพิ่งจะมาได้ยิน ‘นามเต็ม’ อันสูงส่งของท่านเอาเมื่อไม่นานมานี้
หลังจากเรียบเรียงคำพูด เอ็มลินนั่งตัวตรง
“เมื่อถึงคราวสิ้นสุดยุคสมัยมหาภัยพิบัติ เผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดตัดสินใจหลบออกจากฉากหน้าของประวัติศาสตร์ทวีปเหนือ และแฝงตัวปะปนกับมนุษย์เพื่อกลายเป็นขุนนางใหญ่ในหลายตระกูล บางรายสามารถเป็นผู้ครองเมืองหรือปราสาทใหญ่ในสมรภูมิสำคัญ เป็นเช่นนั้นจนกระทั่งราชินีจันทราเลือด ออร์นิญ่า ผู้เคยนำพาพวกเราทุกคนหลุดพ้นจากยุคสมัยอันดำมืด ได้กลายเป็นภรรยาของจักรพรรดิรัตติกาลแห่งจักรวรรดิทรันซอสต์ เธอรวมผีดูดเลือดให้กลับมาเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง พวกเรากลายเป็นกำลังรบสำคัญให้กับราชวงศ์ทรันซอสต์ โดย ณ เวลานั้น ออกัสตัสแห่งโลเอ็น และไอน์ฮอร์นแห่งฟุซัค ก็ยังเรียกขานราชินีของพวกเราว่า ‘ฝ่าบาท’ ในช่วงเวลาดังกล่าว ราชินีออร์นิญ่าคือสัญลักษณ์ของความเลอโฉม หากตอนนั้นมีกระจกวิเศษและถามว่า ‘ผู้ใดงามเลิศในปฐพี’ คำตอบจะต้องออกมาเป็นท่านอย่างไม่มีข้อกังขา…”
ยิ่งเอ็มลินเล่า สีหน้าแววตายิ่งเผยความตื่นเต้นยินดี อากัปกิริยาเปลี่ยนจากกังวลและเคร่งขรึม กลายเป็นผ่อนคลายและพูดคล่อง
กระจกวิเศษซึ่งสามารถตอบได้ทุกคำถาม?
หมายถึงอาโรเดส? จริงสิ ชักน่าสนใจว่า ถ้าจิตแห่งจักรกลเกิดตั้งคำถาม : ‘กระจกวิเศษเอ๋ย ช่วยบอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี’ อาโรเดสจะมอบคำตอบเช่นไร…
ไคลน์นั่งในท่าเดิม สวมรอยยิ้ม และปล่อยให้ความคิดล่องลอย
หลังจากเล่ามานาน สีหน้าเอ็มลินเริ่มขึงขัง
“แต่ทั้งหมดก็พังครืนลงเมื่อสิ้นสุดสงครามสี่จักรพรรดิ จักรพรรดิรัตติกาลร่วงหล่นไปพร้อมกับราชินีออร์นิญ่า ตระกูลผีดูดเลือดได้รับความเสียหายใหญ่หลวง แต่ในทางกลับกัน ผู้กอบโกยผลประโยชน์สูงสุดในสงคราม ประกอบด้วยออกัสตัส ไอน์ฮอร์น เซารอน และกาสตีญ่า ได้แยกตัวออกจากจักรวรรดิทรันซอสต์พร้อมกับทำลายราชวงศ์ทรันซอสต์ซึ่งอ่อนแอลงมากหลังจากสูญเสียเหล่าเทวทูตไปมหาศาล เหล่าผีดูดเลือดจึงไม่มีทางเลือกนอกจากถอยเข้าไปหลบซ่อนตัวในภูเขาลึก เพื่อให้ตระกูลดำรงต่อไปได้”
ไม่ผิดคาด… ดูเหมือนเหล่าเทพจารีตกลายเป็นเทพมาตั้งแต่ยุคสมัยที่สี่แล้ว หรืออย่างน้อยก็ในสงครามสี่จักรพรรดิ…
ไคลน์หวนนึกถึงหกเทวรูปภายในซากปรักหักพังของราชวงศ์ทูดอร์
“โชคยังดี ความสัมพันธ์ระหว่างเทพจารีตไม่ราบรื่นนัก สี่อาณาจักรใหญ่บนทวีปเหนือจึงรบราฆ่าฟันกันบ่อยครั้ง ส่งผลให้ตระกูลผีดูดเลือดของพวกเราเอาตัวรอดมาได้”
ในวินาทีนี้ เอ็มลินกำลังแสงสีหน้าตื่นเต้นอันหาได้ยาก
มันจ้องไคลน์และกล่าว
“ท่านเดอะฟูลผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ทราบว่าท่านต้องการรับฟังเรื่องราวเกี่ยวกับคุณงามความดีของราชินีจันทราโลหิต หรือยุคสมัยอันรุ่งโรงของตระกูลผีดูดเลือดหรือไม่ขอรับ ข้าเคยอ่านพบในบันทึกประวัติศาสตร์เล่มหนา และสามารถจดจำมันทั้งหมดได้อย่างแม่นยำ”
หมอนี่คงนั่งเล่าได้ทั้งวัน… เราเคยคิดว่าเขาเป็นแวมไพร์บ้าฟิกเกอร์และไม่สนใจความเป็นไปของตระกูลเสียอีก ใครจะไปคิดว่า ความจริงแล้วกลับเพียบพร้อมไปด้วยข้อมูลเชิงลึกมากมาย… ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงทระนงตนมาตลอด ว่าผีดูดเลือดคือเผ่าพันธุ์อันสูงส่ง…
คงเป็นคนประเภทหมกตัวอยู่แต่ในบ้าน และดำดิ่งไปกับความสนใจของตนโดยไม่แยแสโลกภายนอก ไม่เพียงเท่านั้น แวมไพร์ยังมีอายุยืนยาวกว่ามนุษย์ปรกติ…
ไคลน์ออกท่าทางลังเล ภายในใจกำลังนึกคำปฏิเสธอย่างสุภาพ
แม้ว่ามันจะชื่นชอบประวัติศาสตร์ แต่ก็มิได้ต้องการรับฟังข้อมูลทั้งหมดในคราวเดียวทีละมากๆ
“พอแล้ว” ไคลน์ยิ้ม “เราชอบการแลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียม ดังนั้นในอนาคต เจ้าไม่ควรเล่าสิ่งใดส่งเดชโดยไม่มีผลตอบแทน
“ถ้าต้องการให้เราช่วยเหลือในสิ่งใด สามารถใช้ข้อมูลดังกล่าวมาแลกเปลี่ยนได้”
“…ขอรับ” เอ็มลินทำหน้าเสียดาย
สำหรับมัน นี่คือโอกาสแสนหายาก กับการได้เล่าประวัติศาสตร์อันยาวนานและมีเกียรติของผีดูดเลือดให้ใครสักคนฟัง!
ตามปรกติแล้ว เพื่อปกปิดตัวตน เอ็มลินไม่มีทางนำเรื่องนี้ไปอวดโอ่กับมนุษย์ และผีดูดเลือดด้วยกันก็คงไม่อยากฟัง เพราะทุกตนล้วนทราบประวัติศาสตร์พื้นฐานของตระกูลเป็นอย่างดี โอกาสเดียวคือการเล่าให้ผีดูดเลือดรุ่นใหม่ แต่เอ็มลินก็มิได้ถูกมอบหมายให้ดูแลเด็กใหม่อยู่ดี
ไคลน์ไม่สานต่อประเด็นเดิม เพียงกล่าวกลับไปเสียงขรึม
“วันนี้เจ้ากลับไปก่อน”
เมื่อสิ้นเสียง แสงสีแดงเข้มพลันสว่างวาบพร้อมกับโอบกอดร่างจิตของเอ็มลิน
หลังจากผ่านช่วงเวลามึนงง แวมไพร์หนุ่มพบว่าจิตของตนถูกส่งกลับมายังรถม้าอีกครั้ง
แต่ในความทรงจำกลับ ‘มองเห็น’ แผ่นกระดาษหนังมายา เขียนถึงขั้นตอนการประกอบพิธีกรรมพันธสัญญาลับถึงเดอะฟูล
ไว้มีเวลาว่างในช่วงบ่าย เราค่อยประกอบพิธีกรรมถึงมิสเตอร์ฟูล เพื่อให้ท่านช่วยขจัดการชี้นำทางใจ…
เอ็มลินออกอาการตื่นเต้น
ต้องรอให้รถม้าเคลื่อนตัวไปถึงวิหารฤดูเก็บเกี่ยว จิตใจแวมไพร์หนุ่มจึงเริ่มจะกลับมาเป็นปรกติ
หลังจากย่างกรายเข้าไปในวิหาร มันรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นหลวงพ่อยูทรอฟสกี้กำลังนั่งสวดมนต์พร้อมกับสาวกอีกสามคน
ปัจจุบัน เอ็มลินมิได้เกิดอาการหวั่นวิตกเหมือนกับทุกทีอีกแล้ว เพียงกำลังครุ่นคิดบางสิ่งภายในใจ
เหตุใดหลวงพ่อยูทรอฟสกี้ถึงไม่เคยขัดขวางเมื่อเราพยายามขจัดการชี้นำทางใจ…
เขากำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่…
…
เขตตะวันออก ร้านกาแฟเรียบง่าย
ไคลน์ ผู้มาถึงตรงตามเวลานัดหมาย กำลังลิ้มรสขนมปังข้าวโอ๊ตพร้อมกับสตูแกะใส่ถั่วพลางรับฟังรายงานจากเฒ่าโคห์เลอร์
ค่อนข้างน่าเสียดาย สัปดาห์นี้ไม่มีข้อมูลใหม่น่าสนใจ
เมื่อโคห์เลอร์เล่าจบ ชายหนุ่มทำหน้านึกสักพัก ก่อนจะหยิบธนบัตรมูลค่ารวมสองปอนด์ออกมาวางบนโต๊ะ และเลื่อนไปหาเฒ่าโคห์เลอร์อีกฝ่าย
“ด…เดี๋ยวก่อน! คุณเพิ่งให้เงินผมมาเองไม่ใช่หรือ!” โคห์เลอร์ทำหน้าประหลาดใจพลางโบกไม้โบกมือปฏิเสธ
ไคลน์ยิ้ม
“สัปดาห์นี้ผมจะลงใต้เพื่อลาพักร้อน คงถึงเวลาผ่อนคลายตัวเองหลังจากตรากตรำทำงานหนักมาตลอดทั้งปี ผมคงไปสักสองสามสัปดาห์กว่าจะกลับ เงินก้อนนี้คือค่าจ้างล่วงหน้า หึหึ… อย่าลืมทำงานให้ผมด้วยล่ะ”
“ต…ตกลงครับ!” เฒ่าโคห์เลอร์รับธนบัตรมาด้วยความรู้สึกยินดีเจือซาบซึ้ง
มันเริ่มวางแผนฉลองปีใหม่ทันที
โคห์เลอร์คิดจะซื้อแฮมหมักคุณภาพสูงมากินกับขนมปัง มันปรารถนาจะลิ้มรสอาหารประเภทนี้มานานแต่ยังไม่มีความกล้ามากพอ
อดใจไม่ไหวแล้ว…!
ขอบคุณมาก! นักสืบเชอร์ล็อก!
โคห์เลอร์กลืนน้ำลายอึกใหญ่โดยไม่รู้ตัว
ไคลน์หยิบหมวกขึ้นมาสวม สีหน้าเผยความลังเลเล็กน้อยก่อนจะกล่าวกับอีกฝ่าย
“คุณคงสังเกตเห็นแล้วว่า เขตตะวันออกเต็มไปด้วยความวุ่นวายในช่วงหลัง อย่านำพาชีวิตตัวเองเข้าไปเสี่ยงเพียงเพราะอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมเด็ดขาด หากตระหนักถึงความผิดปรกติ ให้รีบซ่อนตัวและหลีกเลี่ยงการเข้าไปพัวพัน”
ไคลน์ค่อนข้างกังวลว่าหายนะจากองค์ชายเอ็ดซัคจะลามมาถึงเขตตะวันออก จึงออกปากตักเตือนด้วยความเป็นห่วง
“เข้าใจแล้ว” โคห์เลอร์ลูบท้อง “ผมเป็นคนขี้กลัวมาก ไม่มีทางนำตัวเองเข้าไปเสี่ยงแน่นอน”
“ดีแล้ว” ไคลน์ชม
ทันใดนั้น ชายหนุ่มพลันนึกถึงสาวซักผ้า ไลฟ์ และบุตรสาวอีกสองคน เฟร์ย่าผู้เสียสละ และเดซีผู้รักการอ่าน พลางหันไปกล่าวกับโคห์เลอร์
“คอยจับตามองครอบครัวไลฟ์ไว้ด้วย อย่าปล่อยให้พวกเขาถูกรังแก หากเกิดความโกลาหลขึ้นในเขตตะวันออก ให้รีบพาพวกเขาไปหลบยังจุดปลอดภัยทันที”
“โกลาหล… คุณหมายถึงการประท้วงของกลุ่มคนงาน?” โคห์เลอร์ถามด้วยสีหน้างุนงง
“ทำนองนั้น” ไคลน์ตอบคลุมเครือ
มันเปิดเผยได้แค่นี้ เพราะมิฉะนั้น ตนอาจถูกจับตามอง หรือไม่ก็ถูกดึงเข้าไปพัวพันกับสมบัติปิดผนึกอันตรายสักชิ้น
…
ภายในห้องซึ่งเต็มไปด้วยฟิกเกอร์เล็กใหญ่มากมาย เอ็มลิน·ไวท์ ผู้รีบกลับถึงบ้านตอนเที่ยงตรง กำลังนั่งบนเก้าอี้พลางดื่มด่ำไปกับบรรยากาศอึมครึมอันเกิดจากผ้าม่านหนาทึบ
มันสำรวจรอบตัวหนึ่งครั้งและกำหมัดแน่น
“เพื่ออนาคตอันสดใสของเรา!”
เมื่อสิ้นเสียง แวมไพร์หนุ่มดำเนินขั้นตอนประกอบพิธีกรรมด้วยน้ำมันสกัดและผงสมุนไพร เขียนนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของเดอะฟูล สัญลักษณ์ซับซ้อน และอักขระเวทมนตร์ลงบนกระดาษ
หลังจากเสร็จขั้นตอนอันวุ่นวาย พลังวิญญาณเอ็มลินเริ่มกระจัดกระจาย คล้ายกำลังทะยานไปขึ้นไปยังเบื้องบน
เพียงครู่เดียว เอ็มลิน·ไวท์เริ่มมองเห็นภาพเลือนรางมากมาย มีทั้งเงาดำไม่คมชัด ริ้วแสงเจ็ดสีซึ่งเปี่ยมด้วยองค์ความรู้มหาศาล และทุ่งสายหมอกสีเทากว้างไกลอยู่ด้านบนสุด
เหนือสายหมอกสีเทามีวังโบราณ ยากจะมองเห็นรายละเอียดได้คมชัด ภายในวังมีบุคคลกำลังนั่งบนเก้าอี้สูง รอบตัวรายล้อมด้วยม่านหมอกหนาทึบ
ทันใดนั้น เอ็มลินมองเห็นร่างสีทองเปี่ยมกลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์เข้มข้น ด้านหลังมีปีกสีดำสยายกว้างนับสิบคู่
ยังไม่ทันจะได้นับจำนวนปีก ร่างสีทองได้ลอยลงมาโอบกอดจิตของแวมไพร์หนุ่มไว้อย่างอ่อนโยน
“อ๊ากกก!”
เอ็มลินแหกปากอย่าน่าสมเพช สองมือกุมศีรษะพลางลงไปนอนเกลือกกลิ้งบนพื้น ตามลำตัวมีควันสีเขียวเข้มลอยฟุ้งอย่างเชื่องช้า
ต้องใช้เวลาสักพักใหญ่กว่าแวมไพร์หนุ่มจะใจเย็นลง ตามด้วยเสียงของเดอะฟูลซึ่งดังแว่วในเวลาไล่เลีย
“การชี้นำทางใจถูกขจัดแล้ว”
นี่คือความรู้สึกขณะถูกรักษา? ทำไมถึงได้เจ็บปวดรวดร้าวเพียงนี้…
เอ็มลินพยุงตัวนั่งบนพื้นด้วยลมหายใจกระเส่า เส้นผมหวีเรียบของมันเริ่มไม่เป็นทรง
ขณะเดียวกัน เหนือห้วงสายหมอกสีเทา ไคลน์กำลังพยักหน้ากับตัวเองพลางพึมพำ
“กะแล้วเชียว การใช้เข็มกลัดสุริยันกับแวมไพร์จะทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดทรมาน”
ก่อนหน้านี้ ไคลน์เคยคำนวณอย่างมั่นใจแล้วว่า แสงบริสุทธิ์ของเข็มกลัดสุริยัน สามารถขจัดการชี้นำทางใจอ่อนๆ ในวิญญาณเอ็มลินได้อย่างหมดจด มันจึงไม่ต้องการเสียเวลาประกอบพิธีกรรมซับซ้อนตามหนังสือแห่งความลับ และเลือกใช้วิธีค่อนข้างรุนแรงแทน
ผลลัพธ์นับว่าตรงตามความคาดหมาย
เมื่อจัดการธุระเอ็มลินเสร็จ ไคลน์ปลดจี้บุษราคัมออกจากข้อมือซ้ายและเริ่มทำนาย
“เราจะปลอดภัยถ้าไปเยือนคฤหาสน์กุหลาบแดงในช่วงบ่ายของวันนี้”
เมื่อพึมพำครบเจ็ดครั้ง มันลืมตาขึ้นและพบว่าลูกตุ้มวิญญาณอยู่ในภาวะนิ่งสนิท
การจะทำนายถึงบางสิ่งเกี่ยวกับสมบัติปิดผนึกระดับ 0 หรือครึ่งเทพแต่ละครั้งช่างยากเย็นแสนเข็ญ… แทบไม่เคยได้รับการตอบสนองใดกลับมา…
ไคลน์ถอนหายใจยาว สีหน้าเริ่มกังวลเมื่อตระหนักถึงความร้ายแรงของเหตุการณ์
ถัดมา ชายหนุ่มลองทำนายว่า ตนจะปลอดภัยหรือไม่ถ้าแวะเข้าไปเยี่ยมคฤหาสน์กุหลาบแดงในช่วงบ่ายของวันพรุ่งนี้แทน แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงล้มเหลวเช่นเดิม
เคยมีใครบางคนกล่าวว่า พลังทำนายมิได้ไร้เทียมทาน ปัจจุบันคือเครื่องพิสูจน์…
ต้องตัดสินใจเอาเองสินะ… คงมีแต่ต้องยอมเสี่ยง ไม่อย่างนั้นก็ไม่หลุดพ้นจาก ‘เวที’ และกลายเป็นคนนอกสักที… ยิ่งลงมือเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี จะมัวชักช้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้น สถานการณ์อาจแย่ลงจนถอนตัวไม่ทัน…
ไคลน์คิดไวทำไว
มันส่งตัวเองกลับโลกจริง สวมเสื้อโค้ทกระดุมสองแถวและหมวกทรงกึ่งสูง ตามด้วยการเดินออกจากอาคารหมายเลข 15 ถนนมินส์ โดยมีปลายทางเป็นคฤหาสน์กุหลาบแดงขององค์ชายเอ็ดซัค·ออกัสตัส
……………………