Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 478 : สมบัติปิดผนึกระดับ 0 ออกปฏิบัติการ
- Home
- Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ
- ราชันเร้นลับ 478 : สมบัติปิดผนึกระดับ 0 ออกปฏิบัติการ
ในวินาทีเหลือบเห็นบุคคลแปลกหน้าบนเบาะฝั่งตรงข้าม ท่านหญิงสิ้นหวังพลันเสกหอกผลึกคริสตัลปลายแหลม พร้อมกับขว้างใส่อีกฝ่ายด้วยพละกำลังทั้งหมด
อาศัยแรงถีบ เธอเตรียมทำลายห้องโดยสารรถม้าเพื่อหนีไปยังทางถนนด้านหลัง
ด้วยความผันผวนของสถานการณ์ ท่านหญิงสิ้นหวังย่อมประหลาดใจว่าทำไมถึงมีศัตรูมาโผล่ตรงหน้าได้ เพราะในทางทฤษฎี เธอเตรียมตัวมาอย่างรัดกุม ไม่น่าจะถูกใครพบตัวได้รวดเร็วเช่นนี้ การหาตนให้พบมีระดับความยากไม่ต่างจากการทำลายเมืองใหญ่สักแห่ง หรือไม่ก็การเคลื่อนย้ายมิติจากเบ็คลันด์ไปยังทวีปใต้ในพริบตา
แต่ในฐานะลำดับ 4 ‘แม่มดสิ้นหวัง’ เธอขัดเกลาความชำนาญมาตั้งแต่ยังเป็นนักลอบสังหาร จึงทราบดีว่า ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ตนไม่ควรเสียเวลาโพล่งคำถามไร้สาระหรือไขว้เขวไปกับเรื่องอื่นจนเสียสมาธิ ไว้ค่อยกลับไปคิดหาคำตอบหลังจากปลอดภัยก็ยังไม่สาย
ดังนั้น การชิงโจมตีใส่อีกฝ่ายในพริบตาโดยไม่ให้ตั้งตัวคือทางเลือกถูกต้อง สิ่งนี้จะช่วยเปิดช่องให้ตัวเองได้หลบหนี
ท่านหญิงสิ้นหวังสามารถจินตนาการภาพสตรีปริศนาเจ้าของดวงตาและเส้นผมสีดำแวววาว ถูกแช่แข็งด้วยละอองความเย็นรอบหอกน้ำแข็ง การจะดิ้นรนให้หลุดพ้นจากพันธนาการคงต้องใช้เวลาสักพัก
กว่าอีกฝ่ายจะเริ่มเคลื่อนไหว เธอก็คงปะปนไปกับฝูงชนมหาศาลภายในเบ็คลันด์เรียบร้อยแล้ว
แต่ฉากดังกล่าวกลับไม่เกิดขึ้น ในวินาทีหอกน้ำแข็งแหวกอากาศพุ่งเข้าหาสตรีปริศนา ปลายแหลมของมันค่อย ๆ เลือนหายไปในความว่างเปล่าทีละนิด
เทวทูต…!
แม่มดสิ้นหวังหรี่ตาลง ตามด้วยการระเบิดเปลวเพลิงสีดำออกจากทุกส่วนของร่างกายอย่างพร้อมเพรียง เตรียมแผดเผาทุกสรรพสิ่งในบริเวณใกล้เคียง พร้อมกับการแพร่กระจายโรคภัยใส่ทุกคนในรัศมีรอบตัว
ทันใดนั้น ร่างกายหญิงสาวพลันสั่นเทาอย่างมิอาจหักห้าม แขนขาเกร็งทื่อประหนึ่งรูปปั้นหินอ่อน
สาเหตุมาจาก มือซ้ายของเธอเริ่มเลือนหายไปทีละหนึ่งเซนติเมตร ความสับสนและไม่เข้าใจกำลังพรั่งพรูท่วมท้นหัวสมอง
ยิ่งเวลาผ่านไป ร่างกายก็ยิ่งถูกกลืนกินอย่างเงียบงันมากขึ้นทุกขณะ
ภายในดวงตาของเธอ สตรีเลอโฉมฝั่งตรงข้ามแผ่กลิ่นอายมืดมิดและปลอดโปร่ง ราวกับผนึกความมืดอันบริสุทธิ์ไว้ในร่างกาย
“ไม่จริงน่า… เธอคือ…!”
เสียงของแม่มดสิ้นหวังขาดห้วงกลางคัน ร่างกายเลือนหายไปในลักษณะของภาพเขียนถูกยางลบปาดออก ไม่หลงเหลือไว้แม้แต่ร่องรอยให้ตามสืบหา
แววตาสุดท้ายเปี่ยมด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวังเหนือพรรณนา เบาะซึ่งเธอเคยเอนกายพิง ยามนี้ว่างเปล่าราวกับไม่เคยทิ้งก้นลงไปนั่ง
สตรีเลอโฉมใบหน้าไร้อารมณ์ ดึงผ้าคลุมหัวขึ้นมาปกปิดมิดชิด ริมฝีปากขยับแผ่วเบาพร้อมกับเลือนหายไปจากห้องโดยสาร
…
รอบนอกเขตราชินี บนรถม้าไร้ราง
ทริสซีนั่งเงียบภายในห้องโดยสาร เหนือศีรษะสวมหมวกตาข่ายปกปิดตามปรกติ
เธอมิได้หลบหนีออกจากเบ็คลันด์ด้วยเส้นทางแม่น้ำทัสซอค และมิได้หลบหนีผ่านสถานีรถไฟในหัวเมืองใกล้เคียงตามความคาดหมายของทุกฝ่าย
ตัวเลือกของเธอคือ ลอบเดินทางกลับเข้ามายังกรุงเบ็คลันด์หลังจากแยกกับไคลน์
มีเพียงเมืองใหญ่ประชากรกว่าห้าล้านคนและเต็มไปด้วยองค์กรลับมากมายเท่านั้น จึงจะช่วยมอบความปลอดภัยจากการไล่ล่าของนิกายแม่มดให้เธอได้
ในวินาทีนี้ หญิงสาวกำลังหวาดระแวงการไล่ล่าจากพ่อบ้านชรา ฟังเกล ทุกลมหายใจ
ทันใดนั้น สมองของเธอเริ่มปั่นป่วน
แต่เมื่อภาพการมองเห็นกลับมาเป็นปรกติอีกครั้ง ทริสซีกลับพบว่าตนถูกย้ายตำแหน่งออกจากรถม้าอย่างปริศนา โดยปัจจุบันกำลังยืนริมถนนเปียกโคลนข้างทาง
รูม่านตาทริสซีพลันหดเกร็ง สายตารีบกวาดมองรอบตัวตามสัญชาตญาณ
ทันใดนั้น เธอเหลือบเห็นสตรีสวมชุดคลุมสีดำยาวทรงโบราณ ศีรษะถูกปกคลุมเกือบมิดชิดด้วยผ้าคลุมของชุด เผยออกมาเพียงดวงตาสีดำสนิทลอดผ่าน
ด้วยเหตุผลบางประการ ทริสซีรู้สึกคล้ายกับตนกลับไปเป็นทารกอีกครั้ง อ่อนแอถึงขั้นปราศจากเรี่ยวแรงต่อต้านด้วยประการทั้งปวง
เหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นบนหน้าผาก แข้งขาสั่นระริกโดยมิอาจหักห้าม ไม่สามารถก้าวเดินได้แม้แต่ครึ่งจังหวะ
เราไม่เคยพบใครมีกลิ่นอายน่าหวาดกลัวเช่นนี้มาก่อน ไม่แม้แต่สมาชิกระดับสูงของนิกายแม่มด…!
เรากำลังจะตาย… ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงเพิ่งมาเกิดขึ้น หลังจากเราพยายามหลบหนีอย่างล้มลุกคลุกคลานจนกระทั่งสำเร็จ… ทำไมไม่รีบเกิดตั้งแต่แรกให้มันจบ ๆ ไปเสียเลย…
ความสิ้นหวังและโศกเศร้าเหนือพรรณนากำลังครอบงำจิตใจทริสซี ราวกับถูกกระชากลงไปในฝันร้ายชั้นลึกสุดของจิตใต้สำนึก
ทันใดนั้น วิวทิวทัศน์รอบตัวหญิงสาวพลันถูกแสงสีฟ้าหม่นปกคลุมอย่างกะทันหัน แสงดังกล่าวช่วยขจัด ‘คำสาป’ มิอาจขยับเขยื้อนร่างกายของเธอออกไป
ทริสซีรีบมองตรงไปข้างหน้า แต่ก็ไม่พบร่องรอยของบุคคลน่าหวาดกลัวคนดังกล่าวอีกเลย ทุกสิ่งกลับเป็นปรกติราวกับเหตุการณ์เมื่อครู่คือภาพมายาสุดสมจริง
แต่เมื่อก้มหน้าลง หญิงสาวต้องตกตะลึงเมื่อพบว่า แหวนพลอยสีฟ้าบนนิ้วก้อยข้างซ้ายได้แตกกระจายเป็นเศษอัญมณี สูญเสียความแวววาวเดิมไปจนหมดสิ้น
แกร่ก. แกร่ก.
เศษพลอยร่วงกราวจากฐานแหวน หล่นลงบนพื้นทีละชิ้นสองชิ้น
…
ไคลน์กระโจนม้วนตัวอ้อมเสาหินและมิสเตอร์ A ผู้กำลังบาดเจ็บหนัก ก่อนจะสับเท้าวิ่งไปยังทางออกฝั่งตรงข้ามโดยไม่คิดชีวิต
สำหรับตะกอนพลังซึ่งกำลังรวมตัวหลังจากมาสเตอร์คีย์สลายไป ชายหนุ่มหาได้แยแสแม้แต่ปลายหางตา ด้วยเพราะความกลัวว่ามิสเตอร์ A จะมีเวลาไล่ตามมาทัน
ไคลน์มั่นใจ แม้ว่าตนจะเตรียมตัวมาพร้อมและมีสมบัติวิเศษอย่างครบถ้วน แต่ก็ยังไม่เพียงพอหากต้องเผชิญหน้ากับคนเลี้ยงแกะมากประสบการณ์ จึงไม่ต้องพูดถึงสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งมันมีเพียงนกหวีดทองแดงของมิสเตอร์อะซิกและกระสุนพิเศษสามชนิด ไม่เหลือแม้แต่ก้านไม้ขีดไฟ
จริงอยู่ มิสเตอร์ A อาจบาดเจ็บสาหัส แต่ไคลน์ยังเชื่อในสัญชาตญาณว่าตนไม่ควรเสี่ยงกับอีกฝ่าย แถมยังเคยได้ยินมาว่า ‘นักบวชกุหลาบ’ โอสถลำดับก่อนหน้าคนเลี้ยงแกะ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์เกี่ยวกับเลือดเนื้อ
ตามหลักการ พลังฟื้นฟูร่างกายของมิสเตอร์ A จึงไม่น่าจะด้อยไปกว่า ‘เคลื่อนย้ายความเสียหาย’ ของตนมากนัก
แอ๊ด~
มันดึงประตูบานใหญ่เข้าหาลำตัว
แสงธรรมชาติด้านนอกพลันสาดส่องปะทะใบหน้า กลุ่มเมฆบนท้องฟ้ามีสีเหลืองหม่น แสงอาทิตย์ซีดจางไร้ชีวิตชีวา
ไคลน์รีบวิ่งออกมาและพบว่าตนกำลังอยู่ใจกลางหุบเขา ทุกทิศรายล้อมด้วยขุนเขาสูงตระหง่าน ส่งผลให้อาคารหลังนี้กลายเป็นสุดยอดแหล่งกบดานอย่างไร้ข้อกังขา
กึก. กึก. กึก.
ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าอย่างบ้าคลั่งโดยไม่สนใจทางเดินปรกติสำหรับขึ้นลงเขา ด้วยทักษะอันช่ำชองของตัวตลก มันเลือกวิ่งไต่หน้าผาสูงชันลงไปแทน
ซ่า!
ไคลน์เริ่มได้ยินเสียงสายน้ำกัดเซาะโขดหิน ดังห่างไม่ไกล ต้นเสียงดังมาจากทิศทางเบื้องหน้าเยื้องลงไปด้านล่างเล็กน้อย
แต่ขณะเดียวกัน สัมผัสวิญญาณพลันตระหนักถึงมวลสายลมปริศนาซึ่งกำลังพุ่งตรงมาจากด้านหลัง
โดยไม่มัวรีรอ ชายหนุ่มย่อเข่าลงพร้อมกับกลิ้งหลบไปด้านข้าง
ฉึบ! ฉึบ! ฉึบ!
ในจุดเดิมซึ่งเคยยืน รวมถึงจุดด้านหน้าถัดไปอีกสองสามก้าว พื้นดินได้ถูกใบมีดสายลมคว้านจนเกิดเป็นร่องลึก
มิสเตอร์ A ร่อนลงมายังด้านล่างโดยมีสายลมคอยพยุง ร่างกายของมันยังคงถูกปกคลุมด้วยก้อนเลือดเนื้อสีแดงชุ่มฉ่ำ
เมื่อปลายนิ้วถูกชี้มาทางไคลน์ ก้อนเนื้อขนาดเท่ากำปั้นพุ่งออกจากมือมิสเตอร์ A ลอยแหวกอากาศตรงเข้าหาชายหนุ่มอย่างแม่นยำ
บึ้มมมมม!
ก้อนเนื้อระเบิดกระจัดกระจาย หยดเลือดและเศษเนื้อสาดกระเซ็นไปทุกทิศ ไคลน์รีบตีลังกาด้วยมือสองข้างเพื่อส่งตัวเองไปหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่
เศษเลือดเนื้อซึ่งเป็นราวกับสะเก็ดระเบิด ได้สร้างรูโหว่ขนาดใหญ่ไว้บนต้นไม้และธรรมชาติรอบบริเวณแทบทุกจุด
ย้อนกลับไปขณะไคลน์เริ่มวิ่งหนี มันบรรจุกระสุนกลับไปจนเต็มรังเพลิงอีกครั้ง
ขณะชักปืนออกมาเล็งศีรษะมิสเตอร์ A สายตาชายหนุ่มพลันเหลือบเห็นความมืดมิดอันเข้มข้นภายในดวงตาอีกฝ่าย
ทันใดนั้น แม้เหตุการณ์รอบตัวจะยังคงเดิมทุกประการ แต่ไคลน์ก็ได้ทราบทันที ว่าตนถูกดึงเข้าไปในภวังค์ความฝันเรียบร้อยแล้ว
มันเคยฆ่าฝันร้าย… อย่างต่ำฝันร้าย…
ขณะยังคงรักษาสติได้อย่างครบถ้วน ไคลน์มองเห็นมิสเตอร์ A หายตัวมาโผล่ด้านข้างตนในลักษณะขัดแย้งกับกฎของพลังพิเศษ ตามด้วยการเปลี่ยนร่างเป็นผ้าม่านโลหิตชุ่มฉ่ำผืนใหญ่ แผ่กลิ่นอายสยดสยองอย่างเต็มเปี่ยม หวังกลืนกินตนเข้าไปทั้งตัวโดยไม่เปิดโอกาสให้หลบหนี
คิดจะใช้พลังฝันร้ายทำให้เราหัวใจวายตายไปเองหรือไง… ไคลน์รำพันติดตลกพร้อมกับตอบสนอง
ในเมื่อนี่คือความฝันของตน บุคคลสติกระจ่างชัดย่อมสามารถสร้างอะไรก็ได้!
โดยไม่รีรอ พระอาทิตย์สีทองอร่ามเจิดจรัสปรากฏตัวกึ่งกลางท้องฟ้าทันที แสงแดงแผดเผาทุกสรรพสิ่งภายในความฝันจนมอดไหม้
ไคลน์เลียนแบบภาพนิมิตขณะตนเผลอจ้องมองเทพสุริยันเจิดจรัสโดยตรง!
แทบจะในเวลาเดียวกัน มันหลบหนีออกจากฝันตัวเองพร้อมกับได้ยินเสียงครวญครางของใครบางคนดังแว่ว
มิสเตอร์ A เสียหลักเซถอยหลัง โลหิตแดงฉานไหลซึมออกจากดวงตาทั้งสองเบ้า
ผ้าคลุมเลือดของมันเริ่มละลายทีละนิดในลักษณะคล้ายของเหลว
เปาะ!
ไคลน์ดีดนิ้วเพื่อจุดไฟบนต้นไม้ห่างออกไปราวสามสิบถึงสี่สิบเมตร
ใต้ฝ่าเท้า มันเผาไหม้วัชพืชแห้งและปล่อยให้เปลวเพลิงร้อนระอุลุกท่วมร่างกาย
ใบหน้าคล้ายสตรีของมิสเตอร์ A พลันแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าซึ่งใกล้เคียงกับหญิงสาวยิ่งกว่าเก่า ตามด้วยการเสกหอกน้ำแข็งเล่มยาวขึ้นบนฝ่ามือ และขว้างไปยังต้นไม้ติดไฟซึ่งห่างออกไปหลายสิบเมตรด้านหน้าอย่างสุดแรง
เมื่อไคลน์ย่างกรายออกจากกองเพลิงบนต้นไม้ปลายทาง คมหอกสีใสได้พุ่งมาจดจ่ออยู่หน้าจมูกเรียบร้อย
ขนาดของปลายหอกใหญ่ขึ้นทีละนิด จนกระทั่งบดบังทัศนวิสัยไคลน์เกือบสมบูรณ์
ชายหนุ่มรีบกระโดดหลบไปด้านข้างได้ทันท่วงที แต่ร่างกายกลับยังไม่รอดพ้นไอความเย็นซึ่งกำลังจับตัวเป็นก้อนน้ำแข็ง
หอกน้ำแข็งไฟดับไฟบนต้นไม้จนมอดสนิท พื้นดินใต้ฝ่าเท้าชายหนุ่มถูกเปลี่ยนให้เป็นลานน้ำแข็งรัศมีหลายเมตรในพริบตา
ในสภาพลอยตัวเคว้งกลางอากาศ ไคลน์ม้วนร่างกายพร้อมกับทิ้งศีรษะลงด้านล่าง
มือซ้ายถูกเหยียดออกมายันพื้นน้ำแข็งเพื่อส่งร่างกายให้ดีดตัวกลับขึ้นไปใหม่ ทว่า เนื่องจากฝ่ามือสัมผัสเข้ากับน้ำแข็งโดยตรง ผิวหนังในบริเวณดังกล่าวจึงเกิดการฉีกขาดพร้อมกับเสียง ‘ปึด’
หลังจากรอดพ้นระยะพื้นน้ำแข็ง ไคลน์กลิ้งตัวไปบนพื้นพร้อมกับควักยันต์หลับใหลทำเองออกมาเตรียมขว้าง
แต่ขณะกำลังจะท่องคาถา จมูกเกิดอาการคันยุบยิบพร้อมกับจามสุดแรง
ฮัดเช่ย! ฮัดเช่ย! ฮัดเช่ย!
ศีรษะเริ่มร้อนรุ่ม มันตะเบ็งจามไม่หยุดพัก เรี่ยวแรงในการต่อสู้เริ่มลดลงชัดเจน
เราป่วย? ถูกเล่นงานด้วยพลังพิเศษเกี่ยวกับโรคภัย?
ขณะกำลังวิเคราะห์อย่างใจเย็น ไคลน์เพิ่งตระหนักว่าตนถูกเส้นด้ายจำนวนมาก ยากจะมองเห็นด้วยตาเปล่า รัดพันจากทุกทิศทางพร้อมกันจนมีสภาพคล้ายมัมมี่
ในอดีต ไคลน์เคยมีประสบการณ์ทำนองนี้มาก่อน จึงทราบทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังใช้พลังของแม่มดสุขสม
ย้อนกลับไปในตอนนั้น มันเอาตัวรอดได้โดยการใช้ยันต์หลับใหลเสกหลับใส่ทั้งตนและเชอรอน จากนั้นจึงอาศัยความพิเศษของตัวเองเพื่อลืมตาก่อนอีกฝ่าย
แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน มิสเตอร์ A ยืนห่างออกไปราวยี่สิบเมตรเห็นจะได้ ไม่มีทางขว้างยันต์โลหะไปถึงด้วยสภาพกึ่งอัมพาตเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม ไคลน์เองก็ไม่ใช่ตัวตลกอ่อนแอเหมือนเมื่อก่อนเช่นกัน ปลายนิ้วบรรจงถูไถจนเกิดเสียง เกิดเป็นเปลวเพลิงสีแดงส้มลุกท่วมร่างกาย
เพียงพริบตา ‘ใยแมงมุม’ ลุกไหม้อย่างง่ายดายจนไคลน์ดูเหมือนคบเพลิงอันใหญ่
ชายหนุ่มกระโดดออกจากกองเพลิงพร้อมกับเริ่มจามอย่างหนักอีกครั้ง ตามด้วยการไอกระแอมอย่างรุนแรงอีกสองสามระลอก ส่งผลให้เวทมนตร์หลายชนิดของตนกลายเป็นหมันเพราะมิอาจเปล่งคาถา
ทันใดนั้น ใบหน้าคล้ายสตรีของมิสเตอร์ A เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกหน คราวนี้เจือความโอหังและทระนงตนไว้อย่างชัดเจน
คนเลี้ยงแกะเหยียดแขนขวาออกมาพร้อมกับกระตุกกำหมัดแน่น ไคลน์สัมผัสได้ทันทีว่า หากตนวิ่งหนีไปทั้งอย่างนี้ คงไม่แคล้วได้วนกลับมายังจุดเดิม
มิสเตอร์ A ในชุดคลุมยาวสีแดงสด เริ่มเผยรอยยิ้มชั่วร้ายเจือความอำมหิต ตามด้วยการเสกหนังสือมายาปกโบราณลอยออกมาตรงหน้า
เสียงโทนแหลมดังแว่วอย่างล่องลอย :
“ข้าบรรลุ ข้าประจักษ์ ข้าบันทึก”
ฮัดเช่ย! แค่ก! แค่ก!
ไคลน์ต้องการหลบหลังต้นไม้ แต่ทำไม่ได้เพราะมิได้กระฉับกระเฉงเหมือนในยามปรกติ
ในวินาทีนี้ มันกำลังลิ้มรสความสุดยอดของคนเลี้ยงแกะอย่างไม่เต็มใจนัก ไม่เกินจริงเลยสักนิดเมื่อมีคำกล่าวไว้ว่า ถ้าไม่นับตัวตนระดับครึ่งเทพ จะไม่มีโอสถใดถือครองพลังรอบด้าน ครอบคลุม และไร้จุดอ่อนได้เท่ากับคนเลี้ยงแกะอีกแล้ว
จริงอยู่ มันอาจไม่ได้เตรียมตัว และไม่ได้พกพาสมบัติวิเศษมาทำศึกมากนัก แต่การไล่ต้อนลำดับ 6 อย่างตนให้จนตรอกชนิดมิอาจโต้กลับได้เลยแม้แต่หนึ่งหน
แค่ ‘เก่ง’ อย่างเดียวคงอธิบายได้ไม่ชัดเจน
……………………