Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 479 : รอยยิ้มไร้คำอธิบาย
พ่อบ้านชรา ฟังเกล กำลังวิ่งหนีท่ามกลางทุ่งกว้างอันแห้งแล้ง
มันสูญเสียหมวก และเส้นผมสีเทาอันเคยหวีเรียบกำลังมีสภาพยุ่งเหยิง เสื้อผ้าสกปรกเปรอะเปื้อนหลายจุด
แฮ่ก… แฮ่ก…!
มันหยุดพักครู่หนึ่ง พลางหันกลับไปมองข้างหลังด้วยลมหายใจหอบเหนื่อย เมื่อพบว่าไม่มีใครตามมาจึงเผยสีหน้าโล่งใจ
แต่เมื่อหันหน้ากลับ ฟังเกลมองเห็นบุคคลผู้หนึ่งกำลังยืนจ้องมองตน!
อีกฝ่ายสวมชุดคลุมยาวสีดำ ผ้าคลุมหัวปกปิดใบหน้า แววตาปราศจากอารมณ์ ภายใต้ผ้าคลุมมีเพียงดวงตาสีดำหนึ่งคู่
รูม่านตาฟังเกลพลันหดเกร็งทันที
ขณะกำลังจะกล่าวบางสิ่งด้วยภาษาเฮอร์มิสโบราณ มันพบว่าจมูกของตนได้อันตรธานหายไปอย่างเป็นปริศนา จึงไม่มีเสียงใดดังเล็ดลอดออกมา ใบหน้าเผยเพียงความหวาดผวาสุดขั้ว
ถัดมาไม่นาน ฟังเกลถูกลบตัวตนไปพร้อมกับเสื้อผ้า ไม่หลงเหลือสิ่งได้ไว้บนโลกอีกเลย
…
ฮัดเช่ย! แค่ก! แค่ก!
ท่ามกลางการกระหน่ำโจมตีอย่างไม่หยุดพักของมิสเตอร์ A ผนวกกับภาวะป่วยไข้เรื้อรังและรุนแรง ไคลน์ไม่มีโอกาสได้ใช้งานกระโจนไฟหรือควบคุมไฟแม้แต่ครั้งเดียว
จนกระทั่งถึงจุดย่ำแย่สุดขีด ไม่สามารถใช้ได้แม้กระทั่งกระสุนอากาศ
ขณะความกลัวในความไม่รู้เริ่มกัดกินจิตใจชายหนุ่มอย่างหนักหน่วง นิมิตลางสังหรณ์ของตัวตลกช่วยให้ ‘มองเห็น’ ภาพร่างกายของตนถูกป่นเป็นเศษเล็กเศษน้อย บางที มันอาจไม่คืนชีพกลับมาอีกครั้งในสภาพดังกล่าว
โดยไม่รีรอ ไคลน์ล้วงกระเป๋าและหยิบวัตถุชิ้นหนึ่งออกมา
นี่คือทางออกสำหรับเหตุการณ์เลวร้ายทุกชนิด ซึ่งมันเคยคิดเผื่อไว้นานแล้ว
ไม่ว่าจะกำลังเผชิญวิกฤติในรูปแบบใด นักมายากลต้องเตรียมความพร้อมไว้ในระดับพื้นฐานเสมอ จะได้ไม่ลนลานระหว่างกำลังต่อสู้
มือข้างหนึ่งถือนกหวีดทองแดง ไคลน์ออกแรงเป่าสุดหลอดลมพลางจามและไอกระแอมเป็นระยะ
บรรยากาศรอบตัวยังคงปรกติ แต่ไคลน์สามารถมองเห็นผ่านเนตรวิญญาณได้แจ่มชัด น้ำพุโครงกระดูกกำลังผุดขึ้นจากพื้นดินอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก่อตัวกลายเป็นผู้ส่งสารร่างยักษ์ผู้มีเบ้าตาลุกโชนด้วยเพลิงดำ
ทันใดนั้น หน้าหนังสือมายาในมือมิสเตอร์ A พลันหยุดพลิกเปิด เสียงสวดคาถาอันล่องลอยหยุดลงในเวลาไล่เลี่ยกัน
เพียงพริบตา เสาลำแสงสีเขียวอ่อนขนาดมหึมา ถูกยิงออกมาจากหนังสือมายาเบื้องหน้ามิสเตอร์ A ด้วยความเร็วสูง แน่นอน เป้าหมายคือไคลน์ แต่ลำแสงปริศนาดันไปกระทบกับ ‘ผู้ส่งสาร’ โครงกระดูกสูงสี่เมตรเข้าเสียก่อน
โครงกระดูกแหลกละเอียดกลายเป็นละอองสีขาวกระจัดกระจายทุกทิศ
พร้อมกันนั้น ม่านพลังปริศนาซึ่งคอยทำให้ไคลน์วิ่งวนเป็นวงกลมตลอดเวลา ถูกทำลายลงไปพร้อมกับแรงปะทะมหาศาล
ในสภาพเสื้อโค้ทสีดำกระดุมสองแถว ชายหนุ่มไม่รอดพ้นจากพลังอำนาจของเสาลำแสงสีเขียวอ่อนเช่นกัน ร่างไคลน์พลันแหลกเป็นผุยผงประหนึ่งรูปปั้นทรายถูกพายุพัดผ่าน
ทว่า เศษชิ้นส่วนอันกำลังปลิวว่อนไปในอากาศมิใช่เนื้อหนังของมนุษย์ แต่เป็นจุดสีขาวคล้ายกับเศษกระดาษถูกป่นละเอียด
ร่างจริงไคลน์โผล่ออกจากอีกฝั่งในท่าคุกเข่าอย่างหมดสภาพ
หากไม่เพราะมีโครงกระดูกผู้ส่งสารช่วยบังการโจมตีไว้ให้ มันคงไม่เหลือเวลามากพอสำหรับฝืนข่มอาการจามและใช้พลังกระดาษคนตัวแทน
แต่แม้จะผ่านพ้นวิกฤติมาได้ อาการจามของไคลน์กลับยิ่งทวีความย่ำแย่ถึงขีดสุด ถึงขั้นแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงสำหรับปกป้องตัวเอง
พร้อมกันนั้น มิสเตอร์ A ผู้เพิ่งใช้ท่าไม้ตายไปอย่างล้มเหลว เริ่มแสดงอาการสำรอกอย่างหนักในสภาพย่ำแย่กว่าไคลน์หลายเท่าตัว
มันล้มลงไปนอนขดตัวบนพื้น มุมปากผุดฟองเลือดแดงข้นอย่างน่าสยดสยอง
แค่ก! แค่ก! แค่ก!
มิสเตอร์ A สำรอกอวัยวะภายในและก้อนเนื้อจำนวนมากออกทางปาก จากนั้น ด้วยความยากลำบาก มันพยายามอ้าปากและก้มลงไปเลียเพื่อกินสิ่งสำรอกกลับเข้าไปใหม่
เกิดอะไรขึ้น…?
ไคลน์ยังไม่เข้าใจสถานการณ์
แต่สภาพอันย่ำแย่ของมิสเตอร์ A ก็ไม่ช่วยให้มันหยุดไอ ชายหนุ่มบรรจงยกแขนขวาขึ้นพร้อมกับเล็งลูกโม่ไปยังศีรษะอีกฝ่าย
ในวินาทีนี้ มันเริ่มเข้าใจในบางสิ่ง :
ขณะมิสเตอร์ A ได้รับบาดเจ็บหลังจากเหตุการณ์แท่นบูชาระเบิด เวทมนตร์เลือดเนื้อของมันสามารถรักษาได้เพียงร่างกาย มิใช่จิตใจหรือพลังวิญญาณ
ตามปรกติแล้ว มิสเตอร์ A ควรสลับเป็นพลังด้านรักษาเพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูอย่างเต็มประสิทธิภาพเสียก่อน แต่เนื่องจากถูกความคับแค้นผลักดัน จึงตัดสินใจข่มอาการบาดเจ็บและเลือกไล่ตามไคลน์มาแทน ดังนั้น เมื่อใช้พลังติดต่อกันโดยไม่หยุดพักจนกระทั่งร่างกายถึงขีดจำกัด ปฏิกิริยาย้อนกลับจึงกำเริบจนทรุดหนักกว่าเดิม
ปัง! ปัง! ปัง!
ไคลน์ส่งกระสุนผ่านปากกระบอกลูกโม่ ประกอบด้วยกระสุนทองอ่อน ทองแดง และเงินพุ่งตรงไปยังเป้าหมายซึ่งอยู่ไม่ห่างมากนัก
แต่น่าเสียดาย ชายหนุ่มมิอาจอดกลั้นการจามและไอได้ระหว่างยิง กระสุนจึงพลาดเป้าไปสามจากห้านัด นัดหนึ่งตรงเข้าใส่ศีรษะมิสเตอร์ A อย่างแม่นยำ อีกหนึ่งนัดพุ่งเข้าปะทะกับช่วงลำตัว
โผละ!
เสียง ‘โผละ’ คล้ายกับแตงโมแตกดังสนั่น แต่เมื่อพิจารณาให้ดี ไคลน์สังเกตเห็นว่าศีรษะของมิสเตอร์ A ไม่มีกะโหลกห่อหุ้ม กระสุนเพียงพุ่งผ่านเศษเนื้อเน่าเข้าไปยังด้านหลัง ส่วนอีกหนึ่งนัดฝังอยู่ในลำตัวโดยไม่แสดงอิทธิฤทธิ์ใดนอกจากส่องแสงสว่างคล้ายดวงอาทิตย์
มิสเตอร์ A เงยหน้าขึ้น รูโหว่บนศีรษะยังคงเผยให้เห็นอย่างน่าหวาดเสียว
มันยังไม่ตาย… ไม่ใกล้เคียงเลยสักนิด!
นี่คือความหนังเหนียวบัดซบของนักบวชกุหลาบ!
เห็นเช่นนั้น ไคลน์รีบตัดสินใจอย่างชาญฉลาด มันเหลียวหลังกลับทันทีและเริ่มออกวิ่งด้วยความเร็วเต็มฝีเท้า ละทิ้งการโจมตีอย่างสูญเปล่าโดยไม่ลังเล
ทางด้านมิสเตอร์ A มันกำลังนอนหายใจรวยรินอย่างเหนื่อยหอบ พลางก้มหน้าลงไปเลียอวัยวะภายในกลับเข้าร่างกายต่อจนกว่าจะครบ
ท่ามกลางเสียงไอจามตลอดเวลา ไคลน์สุ่มวิ่งหนีในทิศทางส่งเดช มีการกลิ้งตัวหลบอุปสรรคอย่างประปราย
จนกระทั่งมาถึงขอบผาสูงชันไม่ต่ำกว่าห้าสิบเมตร
ด้านล่างเป็นแม่น้ำทัสซอคในสภาพไหลเอื่อย ไม่เชี่ยวกรากมากนัก ขนาดของแม่น้ำค่อนข้างกว้างและมีสภาพขุ่นมัว
โดยไม่ลังเล ไคลน์ย่อตัวพร้อมกับส่งแรงกระโดดไปยังขาทั้งสองข้าง
มันทิ้งดิ่งเหมือนลูกข่าง ปล่อยตัวตามสบายและพุ่งลงมาด้วยร่างกายเบาหวิว
ผิวหนังเสียดสีกับอากาศขณะพยายามจัดระเบียบร่างกายให้เป็นท่าพุ่งหลาวของนักกระโดดน้ำ
แค่ก! ฮัดเช่ย!
อาการป่วยส่งผลให้การหมุนตัวรอบสามเกิดชะงักกลางคัน ส่งผลให้ลำตัวและฝ่ามือไม่ได้อยู่ในท่าถูกต้อง
ร่างกายไคลน์กระทบสายน้ำอย่างผิดท่าจนเกิดเสียงปะทะหนักแน่น ก่อนจะกลายเป็นเพียงเศษกระดาษสีขาวลอยบนผิวลำธาร
เศษกระดาษเริ่มเปียกชุ่มและอยู่ในสภาพกึ่งจมกึ่งลอย
ในจุดใต้น้ำไม่ห่างออกไป ไคลน์โผล่ออกจากความว่างเปล่าด้วยร่างกายสั่นเทา
เสื้อผ้าเปียกแฉะ รวมถึงกระดาษรูปคนใบอื่นและธนบัตรในกระเป๋าสตางค์ล้วนมีสภาพไม่ต่างกันมากนัก
หลังจากรักษาระยะจากมิสเตอร์ A ได้ อาการไข้ของเราทุเลาลงอย่างเห็นได้ชัด…
ไคลน์ครุ่นคิดด้วยสีหน้าตื่นกลัว
หากอาการไอจามไม่หายไปในวินาทีสุดท้ายขณะใช้สลับตำแหน่งกระดาษรูปคน เกรงว่าป่านนี้มันคงกระแทกกับผิวน้ำจนเกิดอาการช้ำในตายไปแล้ว
แต่อย่างน้อย ถ้าตายในสภาพดังกล่าว โอกาสคืนชีพใหม่มีค่อนข้างมาก…
หลังจากเตะขาขึ้นเพื่อส่งตัวเองขึ้นมาลอยใกล้กับผิวน้ำ ไคลน์สร้างท่ออากาศล่องหนเพื่อช่วยให้ตนสามารถหายใจใต้น้ำได้อย่างปราศจากปัญหา
นี่คือหนึ่งในพลังของนักมายากลซึ่งแทบไม่มีโอกาสใช้งานมาก่อน
ไคลน์ใช้ปากเพื่อหายใจเข้า และใช้จมูกพ่นลมหายใจออกขึ้นไป เพื่อมิให้เกิดฟองบนผิวน้ำและถูกพบความผิดปรกติ
มันพยายามว่ายไปยังอีกฝั่งอย่างเงียบงันพลางภาวนามิให้มิสเตอร์ A ตามมาพบตัว
ช่างน่าเสียดาย แถวนี้ไม่ใช่เขตเมือง พลังผู้ไร้หน้าของเราจึงกลายเป็นสิ่งไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง ไม่อย่างนั้นคงปะปนกับฝูงชนและหลุดพ้นจากการตามล่าได้ทันที…
ขณะแหวกว่าย ไคลน์ครุ่นคิดหลายเรื่อง
จนกระทั่ง มันเริ่มหวนนึกถึงเวทมนตร์ธาตุวายุซึ่งมิสเตอร์ A ใช้ในตอนเปิดศึก
ในทางทฤษฎี เวทวายุอยู่ในขอบเขตของเทพวายุสลาตัน… และบนเส้นทางดังกล่าว นอกจากเวทมนตร์วายุแล้ว ยังมีเวทมนตร์ธาตุวารีอีกเป็นกระบุง หนึ่งในนั้นคือการช่วยให้แหวกว่ายในน้ำได้เหมือนปลา…
แหวกว่ายในน้ำได้เหมือนปลา…
คนเลี้ยงแกะเอาเปรียบกันไปแล้วโว้ย!
หัวใจไคลน์แทบหยุดเต้นเมื่อฉุกคิดได้
มันรีบโผล่พ้นน้ำและสับแขนว่ายอย่างสุดฝีมือ ไม่สนการหลบซ่อนอีกต่อไป!
ขณะเริ่มเข้าใกล้ฝั่ง หางตาไคลน์เหลือบไปเห็นใบหน้าอันสง่างามแกมชั่วร้ายของมิสเตอร์ A จากด้านหลัง ลำตัวของอีกฝ่ายกำลังถูกปกคลุมด้วยเกล็ดปลาและครีบเหงือกสำหรับหายใจ!
มิสเตอร์ A ผู้กำลังลอยตัวบนผิวน้ำในชุดคลุมสีแดงเลือด เริ่มยกโค้งมุมปากอย่างมีเลศนัย ดวงตาแฝงจิตอาฆาตไว้อย่างเต็มเปี่ยมโดยไม่คิดเก็บซ่อน
ต้องสู้… มีแต่ต้องสู้เท่านั้น!
ต้องยื้อไว้จนกว่ากำลังเสริมจากโบสถ์หลักจะมาถึง หรือไม่ก็จนกว่ามิสเตอร์อะซิกจัดการกับทางนั้นเสร็จและกลับมาช่วยเรา….
โดยไม่ลังเล ไคลน์ ผู้เริ่มแสดงอาการไอจามอย่างหนักอีกครั้งหลังจากเข้าสู่ระยะการแพร่โรคของอีกฝ่าย รีบยกแขนขวาขึ้นหวังดีดนิ้วกระทำบางสิ่ง
แต่ทันใดนั้น คนทั้งสองพลันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเหนือแม่น้ำอย่างพร้อมเพรียงโดยมิได้นัดหมาย ราวกับเป็นสัญชาตญาณร่วมกันในส่วนลึกจิตใจผู้วิเศษทุกคน
หญิงสาวปริศนาปรากฏกายจากความว่างเปล่าทีละนิด สวมชุดคลุมยาวสีดำ สวมผ้าคลุมปกปิดศีรษะ
สตรีลึกลับหันไปทางมิสเตอร์ A ด้วยดวงตาอันว่างเปล่า
ในวินาทีนี้ ไคลน์กำลังเป็นประจักษ์พยานการหายตัวไปอย่างสมบูรณ์ของมิสเตอร์ A
คนเลี้ยงแกะลำดับ 5 สุดทรงพลัง เป็นรองเพียงครึ่งเทพ กลับมิอาจต่อต้านขัดขืนอีกฝ่ายด้วยประการทั้งปวง มันถูกลบหายไปราวกับใช้ยางลบขูดไปบนภาพวาดดินสอ
ร่องรอยสุดท้ายของมิสเตอร์ A คือสีหน้าหวาดผวาและสิ้นหวังจากก้นบึ้ง สิ่งนี้ยังคงตราตรึงในความทรงจำไคลน์ ผู้เป็นพยานเพียงคนเดียวในการเหตุการณ์อันยากจะหาคำอธิบายใดมารองรับ
นี่มัน… พลังระดับไหน?
เป็นพลังอะไรกันแน่!
ขณะเกิดคำถามมากมาย ไคลน์สังเกตเห็นว่าสตรีปริศนาเริ่มหันกลับมามองตนบ้างแล้ว
ใบหน้าของเธองดงามไร้จุดบกพร่อง เพียงแต่แววตาว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง ปราศจากอารมณ์ใดทางสีหน้า ดวงตาดำลุ่มลึกราวกับเป็นหลุมดำของจริงมากกว่าสี ๆ หนึ่ง
ขณะหัวใจชายหนุ่มกำลังเต้นโครมครามประหนึ่งจะหลุดออกมาเสียให้ได้ ขณะสมองกำลังลนลาน จินตนาการภาพตัวเองถูกลบหายไปอย่างไร้ร่องรอย และไม่สามารถคืนชีพได้เหมือนในอดีต หญิงสาวปริศนาเพียงส่งรอยยิ้มกลับมาให้อย่างอ่อนโยน
เธอยิ้มให้เรา…?
ไคลน์พลันผงะ ทำได้เพียงคิดว่าตนกำลังฝันไป
จนกระทั่งคืนสติกลับมาอีกครั้ง มันพบว่าสตรีปริศนาไม่อยู่อีกแล้ว รอบตัวไคลน์มีเพียงเสียงน้ำไหลเอื่อยดังก้องอย่างเป็นธรรมชาติ
แม้จะกำลังสับสนสุดขีด แต่ไคลน์ก็ไม่ลืมว่ายน้ำกลับขึ้นฝั่งให้เรียบร้อย ตามด้วยการมองไปรอบตัวอย่างฉงนและไม่เข้าใจ
มันเริ่มแน่ใจว่า ตำแหน่งปัจจุบันของตนค่อนข้างทุรกันดาร ไม่มีแม้แต่ถนนหรือผู้คนพักอาศัยใกล้เคียง การเคลื่อนไหวเพียงอย่างเดียวคือสายน้ำไหลเอื่อย
จบง่ายแบบนี้เลยหรือ…
มิสเตอร์ A หายไปทั้งอย่างนั้นเนี่ยนะ?
เธอเป็นใครกันแน่ ทรงพลังถึงขั้นมิสเตอร์ A ไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้ส่งเสียงร้อง…
เธอยิ้มให้เราทำไม…
บางที ท่านอาจเป็นตัวตนระดับเทวทูต…
แต่น่าแปลก นอกจากสันตะปาปา สามโบสถ์หลักก็ไม่น่าจะมีเทวทูตเดินดินอีกแล้ว… และตัวตนอย่างสันตะปาปาก็ไม่น่าจะอาศัยอยู่ในกรุงเบ็คลันด์…
ไคลน์ไม่อยากเชื่อว่าตนจะรอดชีวิตมาได้อย่างง่ายดายโดยไม่มีคำอธิบาย
หลังจากพินิจพิเคราะห์ ชายหนุ่มเริ่มผูกโยงเรื่องราวเข้าด้วยกัน
ท่านคงเป็นเสาหลักของบางโบสถ์ และถ่อมาไกลเช่นนี้เพราะต้องการช่วยเรา หรือไม่ก็เจาะจงจำกัดมิสเตอร์ A…
ถ้าเราไม่แจ้งมิสจัสติสล่วงหน้า ทางโบสถ์คงไม่มีเวลาเตรียมตัวได้ทัน และเราคงเสร็จมิสเตอร์ A ไปแล้วเป็นแน่แท้ อาจเลวร้ายถึงขั้นไม่ได้คืนชีพกลับมาอีก…
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นเพราะการยื้อชีวิตจนสุดความสามารถของเราด้วย สามารถลากการต่อสู้ออกมาได้ยาวนานจนกำลังเสริมมาถึง…
ทำได้ไม่เลว…
หลังจากถอนหายใจยาว ไคลน์เริ่มมองหาทางกลับ
…
“เนรเทศ!”
ชายสวมหน้ากากสีทองชี้นิ้วไปทางอะซิก·อายเกส พร้อมกับส่งบุรุษผิวแทนกระเด็นเข้าไปในห้วงมิติอันว่างเปล่าและไม่มีใครทราบปลายทางแท้จริง
จากนั้น มันหันมากล่าวกับอินซ์·แซงวิลล์ ผู้กำลังจ้องตนด้วยสีหน้าฉงน
“พวกเราไม่เหลือเวลาอีกแล้ว การสังหารชายคนนั้นจะทำให้เสียเวลามากเกินไป! ตอนนี้ต้องรีบซ่อนตัวโดยด่วน คุณคงไม่อยากให้ทางโบสถ์หลักค้นพบความลับหรอกใช่ไหม” ชายสวมหน้ากากตำหนิอย่างหัวเสีย
อินซ์·แซงวิลล์หายสงสัย เพียงพยักหน้ารับและเดินไปหยิบ 0-08 ซึ่งหยุดเขียนมาสักพัก
สภาพร่างกายของมันค่อนข้างดูไม่จืด กึ่งกลางตาตุ่มสองข้างยังมีขอบกางเกงขายาวกองอยู่ แต่ก็ใกล้ขาดเต็มทีหลังจากผ่านการต่อสู้อันดุเดือดแลกชีวิตมาหมาด ๆ
…
ภายในคฤหาสน์กุหลาบแดง องค์ชายเอ็ดซัคกำลังนั่งข้างหน้าต่างเต็มบานด้วยสายตาเหม่อลอยอย่างผิดธรรมชาติ
“องค์ชาย ได้โปรดเร่งมือด้วย” เสียงของบุคคลผู้หนึ่งดังย้ำเตือน
ดวงตาขององค์ชายกลับมาส่องประกายแวววาวอีกครั้ง ก่อนจะสูดลมหายใจยาวพร้อมกับหยิบลูกโม่บนโต๊ะข้างลำตัวขึ้นมาจ่อขมับแนบชิด
ด้านในบรรจุกระสุนชนิดพิเศษ
กระสุนทำลายวิญญาณ
เอ็ดซัค·ออกัสตัสหันหน้าไปมองสนามกอล์ฟและลานกว้างสำหรับขี่ม้าเล่น
ปัง!
มันลั่นไกโดยไม่กล่าวคำใด
……………………