Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 480 : รางวัลของคนซื่อสัตย์
ภายในห้องโถงซึ่งใจกลางมีซากแท่นบูชาถูกทำลาย กลุ่มเหยี่ยวราตรีในชุดกันลมและหมวกทรงกึ่งสูงสีดำกำลังย่างกรายสำรวจอย่างใจเย็น ผู้นำทีมไม่ใช่ใคร แต่เป็นอาร์ชบิชอปแห่งโบสถ์รัตติกาล บุคคลอันดับหนึ่งของมหาวิหารแซมมัว นักบุญแอนโทนี·สตีเวนสัน
“ถูกใครบางคนขัดขวางกลางคัน?” มันพึมพำโดยไม่หยุดก้าวเดิน พลางนำทางทุกคนมาถึงบานประตูหินซึ่งพาไปสู่ด้านในตัวอาคาร
เมื่อประตูถูกเลื่อนเปิดจนสุด บรรยากาศด้านในมีเพียงความมืดสนิทเข้มข้น
นักบุญแอนโทนีเดินนำเหยี่ยวราตรีเข้าไปสำรวจด้านใน
ตลอดทาง พวกมันไม่พบองครักษ์หรือสิ่งของมีค่าแม้แต่ชิ้นเดียว ราวกับถูกเก็บกวาดอย่างหมดจดก่อนหลบหนีไป
จนกระทั่งมาถึงห้องด้านในสุด แต่ก็ไม่พบสิ่งใดหลงเหลือนอกจากเสาหินต้นใหญ่ ไม่มีประตูแสงสีฟ้าซึ่งไคลน์เคยใช้ผ่านเข้ามา
ทันใดนั้น ตะเกียงในมือเหยี่ยวราตรีพลันอับแสง ความดำมืดอันบริสุทธิ์เข้าครอบงำบรรยากาศรอบห้องเป็นเวลานาน
จนกระทั่งความสว่างกลับคืนสู่สภาพเดิม สมาชิกในทีมเริ่มสังเกตเห็นว่าผนังห้องถูกพลังบางอย่างละลายกลายเป็นของเหลว
แต่หลังจากค้นหาอย่างละเอียดก็ไม่พบประตูลับหรืออุโมงค์พิเศษซ่อนอยู่ หลังกำแพงมีเพียงโคลนเหนียวข้นหรือไม่ก็หินก้อนใหญ่
นักบุญแอนโทนีเงียบงันหลายสิบวินาทีก่อนจะออกคำสั่ง
“ทดสอบแกะรอยด้วยพลังทำนาย กระจายตัวค้นหาในบริเวณใกล้เคียง”
…
ฮัดเช่ย!
หลังจากวิ่งผ่านหน้าผาและผืนป่าหนาทึบตลอดทาง ไคลน์เริ่มหดหู่เมื่อตระหนักว่าตนเริ่มประสบอาการป่วยไข้
ด้วยผลข้างเคียงจากพลังพิเศษของมิสเตอร์ A ผนวกเข้ากับการแช่น้ำเป็นเวลานานในฤดูหนาว ไคลน์จึงเลี่ยงการป่วยเป็นหวัดไม่ได้
อย่างไรก็ตาม มันไม่กล้าแวะเก็บกิ่งไม้แห้งข้างทางขึ้นมาจุดไฟเพื่อให้ความอบอุ่น เหตุเพราะกังวลว่า ตนอาจยังถูกหน่วยพิเศษของโบสถ์ไล่ตามมาจากด้านหลัง
จริงอยู่ มันถูกรับรองโดยไอคานส์·เบอร์นาร์ดจากจิตแห่งจักรกลให้กลายเป็นผู้วิเศษกึ่งทางการ แต่เรื่องราวในปัจจุบันค่อนข้างพิเศษ เกี่ยวพันกับการคืนชีพของแม่มดบรรพกาลและพระผู้สร้างแท้จริง คดีจึงถูกจัดลำดับความสำคัญไว้สูงสุด มันคงไม่แคล้วถูกสอบสวนเป็นเวลานาน ต้องไปนั่งดื่มชากับจิตแห่งจักรกล ทูตพิพากษา และเหยี่ยวราตรีพร้อมกับเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ว่าจะด้วยไม้อ่อนหรือไม่แข็ง
ขั้นตอนดังกล่าวรังแต่จะสร้างปัญหาใหญ่
หนึ่ง ปัญหาเรื่อง ไคลน์·โมเร็ตติเคยเป็นเหยี่ยวราตรีของเมืองทิงเก็นมาก่อน จริงอยู่ นักสืบเชอร์ล็อกอาจมีใบหน้าแตกต่างจาก ‘วีรบุรุษแห่งทิงเก็น’ ค่อนข้างมาก แทบไม่มีจุดใดเหมือนกันเลยในเชิงภาพถ่าย แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่วางใจ ถ้าเกิดให้คนใกล้ตัวมาเทียบเคียง ผนวกกับความเหมือนกันของเส้นทางนักทำนาย ความลับของตนอาจก็ถูกเปิดเผย
สอง เนื่องจากครอบครองเส้นทางใกล้เคียงกัน โบสถ์รัตติกาลจึงไม่เป็นมิตรกับผู้มีความสัมพันธ์กับเทพมรณาสักเท่าไร ย้อนกลับไปในยุคแห่งความไร้ชีวิตชีวาในช่วงปลายยุคสมัยที่สี่ เทพมรณาได้ร่วงหล่นด้วยความร่วมมือจากเหล่าเทพจารีตทั้งหมดบนทวีปเหนือ
แต่นักสืบเชอร์ล็อกกลับสามารถ ‘อัญเชิญ’ ทายาทเทพมรณาสุดแข็งแกร่งได้ในช่วงเวลาวิกฤติ ปัญหาข้อนี้คงหาคำอธิบายได้ไม่ง่ายนัก
เสาหลักของโบสถ์สักแห่งคนนั้น หลังจาก ‘ลบ’ มิสเตอร์ A เสร็จ เธอคงมีภารกิจต้องไปจัดการกับอินซ์·แซงวิลล์ต่อ จึงไม่ต้องการเสียเวลากับมดปลวกอย่างเรานาน…
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังประมาทไม่ได้ ต้องรีบหนีขณะยังมีโอกาสให้หนี!
ใช่แล้ว เราจะเขียนจดหมายหาจิตแห่งจักรกลเมื่อมีโอกาส อธิบายว่าทำไมถึงเดินได้ทางออกจากเบ็คลันด์ชั่วคราว ด้วยวิธีนี้ เรายังกลับมาทำงานร่วมกับพวกเขาได้ในฐานะสายข่าว แต่ก่อนจะเริ่มเขียนจดหมาย คงต้องขอจับตามองพวกเขาไปอีกสักระยะ เพื่อประเมินว่ามีพฤติกรรมรังเกียจทายาทเทพมรณามากน้อยแค่ไหน…
แล้วตอนนี้มิสเตอร์อะซิกกำลังทำอะไรอยู่…
ฮะฮะ… บางที เชอร์ล็อก·โมเรียตี้อาจถูกหน่วยพิเศษของทางการจำหน่ายให้เป็นคนตายไปแล้วก็ได้…
ชะตากรรมมิได้ต่างจากตัวจริงเลยสักนิด…
ไคลน์รีบเคลื่อนตัวออกมาให้ไกลจากอาคารซึ่งถูกใช้เป็นแท่นบูชา จนกระทั่งได้พบเมืองเล็กซึ่งสามารถปะปนไปกับผู้คนเพื่อใช้เป็นจุดหลบภัยจนกว่าจะหายไข้
มีเพียงในสังคมมนุษย์เท่านั้น ผู้ไร้หน้าจึงจะแสดงพลังได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ!
ผู้หญิงชุดคลุมขาวคนนั้น หากเดาไม่ผิดคงเป็นแม่มด เธอบอกให้มิสเตอร์ A ส่งตนไปยังเขตตะวันออก…
เมื่อประเมินจากความชั่วร้ายและอารมณ์ด้านลบของพิธีกรรม เขตดังกล่าวจะต้องมีคนสังเวยชีวิตไปมากทีเดียว…
ด้วยสัญชาตญาณของนักทำนาย หัวใจชายหนุ่มเริ่มปวดแปลบ
ทันใดนั้น ทิวทัศน์รอบตัวพลันแปรเปลี่ยนให้มีลักษณะอึมครึม สีแดงยิ่งแดงสด สีขาวสิ่งเจิดจ้า และสีดำยิ่งดำสนิท คล้ายกับดวงตาของมันถูกฉาบด้วยสีน้ำมันกะทันหัน
เหตุการณ์เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ เมื่อได้สติกลับมาอีกครั้ง ไคลน์รีบมองไปรอบตัวและพบว่า ตนมิได้อยู่ในจุดซ่อนตัวภายในเมืองเล็ก
ด้านข้างคืออะซิก·อายเกสผู้กำลังจ้องมองด้วยสายตาอ่อนโยน
“มิสเตอร์อะซิก…! คุณบาดเจ็บรึเปล่า?”
ไคลน์ซักถามด้วยสีหน้าโล่งใจ
“ก็มีบ้าง” อะซิกตอบเถรตรง “แต่ด้วยพลังของอมรณา บาดแผลแค่จึงนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โต”
ไคลน์พยายามสงบสติ
“เกิดอะไรขึ้นกับอินซ์·แซงวิลล์และ 0-08 บ้างครับ?”
“อินซ์·แซงวิลล์ยังมีชีวิตอยู่ มันยังคงเป็นเจ้าของ 0-08 ตามเดิม” อะซิกกล่าวขณะเดิน
ไคลน์เดิมตามพลางถอนหายใจยาว
“น่าเสียดาย…”
“คุณไม่ต้องกังวล ชายคนนั้นได้รับบาดเจ็บค่อนข้างสาหัส” อะซิกเล่าเสียงขรึม “และเหนือสิ่งอื่นใด พวกเราทราบแล้วว่า มันลอบสมคบคิดกระทำบางสิ่งกับราชวงศ์ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะหามันไม่พบในอนาคต
“ด้วยเหตุนี้ คุณสามารถมีสมาธิกับการพัฒนาตัวเองได้โดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ส่วนผมจะเดินทางไปยังดินแดนบางแห่งภายในความทรงจำ บางที อาจได้รับอดีตกลับคืนมาเพิ่มเติม… หึหึ นับว่าคุณยังมีโชค ในช่วงก่อนหน้านี้ ผมแอบจับตามองพฤติกรรมของ MI9 กับทางราชวงศ์มาตลอด เพื่อสังเกตว่าอินซ์·แซงวิลล์กำลังวางแผนใดร่วมกับราชวงศ์ และเมื่อพบว่าคฤหาสน์กุหลาบแดงคือจุดยุทธศาสตร์สำคัญของพวกมัน ผมจึงแฝงตัวในบริเวณดังกล่าวบ่อยครั้ง ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางโผล่ออกไปช่วยคุณได้ทันเวลา”
ไคลน์พลันหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อได้ยินความจริงอันน่าตกตะลึง
“มิสเตอร์อะซิก แล้วคุณไม่สงสัยบ้างหรือ ว่าทำไมผมถึงยังรอดชีวิตมาจากเหตุการณ์ในเมืองทิงเก็น”
“ไม่เลย เพราะตัวผมเองก็เคยตื่นขึ้นมาบ่อยครั้งหลังจากนอนในโลงศพ นี่คือส่วนหนึ่งของความทรงจำซึ่งผมทวงคืนกลับมาได้”
อะซิกเล่าพลางยิ้ม ปราศจากการปิดบัง
“ในความทรงจำไม่สมบูรณ์ของผม ถึงแม้การคืนชีพหลังความตายจะไม่ใช่เหตุการณ์ปรกติ แต่ก็สามารถพบเห็นได้เป็นครั้งคราว”
เขามักตื่นขึ้นมาหลังจากนอนในโลงศพบ่อยครั้ง…?
บ่อยครั้ง…?
ไคลน์เริ่มผ่อนคลายเมื่อทราบว่า ในสายตาบุคคลทรงพลัง ความกังวลใจตนไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเลยสักนิด
สมกับเป็นอมรณาแห่งเส้นทางเทพมรณา!
หากจำไม่ผิด มิสเตอร์อะซิกเล่าไว้ว่า เขา ‘เคย’ อยู่ในลำดับอมรณามานานหลายปี…
ไคลน์ก้มหน้าครุ่นคิด ก่อนจะถามต่อ
“นั่นสามารถตีความได้ว่า ปัจจุบันได้ก้าวข้ามลำดับอมรณามาแล้ว… มิสเตอร์อะซิก อินซ์·แซงวิลล์จะทราบหรือไม่ว่า ผมเป็นคนเดียวกับไคลน์·โมเร็ตติ”
มันกังวลว่าอีกฝ่ายจะนำความแค้นไปลงกับเบ็นสันและเมลิสซ่าแทน
“คงไม่ อย่างมาก มันอาจเข้าใจว่าพวกเรารู้จักกันมาก่อน ทำนองว่าคุณเป็นสายข่าวของผม”
อะซิกเล่าพลางพยายามทวนความจำ
“อย่างไรก็ตาม สมบัติปิดผนึกระดับ 0 ชิ้นนั้นน่าจะรู้… แต่คุณก็ไม่ต้องเป็นกังวลอยู่ดี”
“ทำไมหรือครับ” ไคลน์ซักไซ้
ชายหนุ่มไม่ทราบว่าอะซิกรื้อฟื้นความทรงแบบใดขึ้นมา แต่สีหน้าของอีกฝ่ายเริ่มเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน คล้ายกับพยายามกลั้นขำอยู่
“สมบัติปิดผนึกระดับ 0 ชิ้นนั้นจะจ้องแต่จะเขียนถึงความตายของผู้เป็นเจ้าของ สิ่งนี้น่าจะเป็นผลข้างเคียงด้านลบ และไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยประการทั้งปวง ผมจึงเชื่อว่า ปากกาดังกล่าวน่าจะช่วยอำนวยความสะดวกให้พวกเราสักเรื่องสองเรื่อง อาจเป็นการเปิดเผยจุดอ่อนของอินซ์·แซงวิลล์เราให้ได้รับทราบ เพื่อให้เจ้านายของตนตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบและถูกสังหาร นอกเสียจากจะอยู่ในสภาพแวดล้อมพิเศษซึ่งไม่สามารถทำเช่นนั้นได้”
เมื่อเห็นมิสเตอร์อะซิกแสดงความมั่นใจพร้อมกับอธิบายอย่างกระจ่างชัด ไคลน์ถอนหายใจยาวโดยไม่เคลือบแคลง
ขณะเดียวกัน มันตระหนักว่าตนหายจากอาการไข้หวัดแล้ว
อะซิกเล่าเสริม
“แต่ผมขอแนะนำให้คุณออกจากกรุงเบ็คลันด์ไปก่อนสักพัก บางที อินซ์·แซงวิลล์อาจใช้สมบัติปิดผนึกระดับ 0 ชิ้นดังกล่าวเพื่อแก้แค้นโดยไม่เลือกหน้า และเป้าหมายอาจไม่ใช่ไคลน์ แต่เป็นชื่อปลอมของคุณ”
“ขอเพียงไม่อยู่ในเบ็คลันด์ เท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับความปลอดภัย สมบัติปิดผนึกระดับ 0 จะมีรัศมีการแสดงผลเป็นทรงกลมขนาดไม่กว้างไปกว่าหนึ่งเมืองใหญ่”
คิดไว้ไม่มีผิด ปากกา 0-08 มีรัศมีการแสดงผลเป็นวงกลมจำกัด…
ไม่อย่างนั้น อินซ์·แซงวิลล์คงหมกตัวอยู่แต่ในทวีปใต้และคอยเขียนกำหนดดวงชะตาของเหยื่อโดยไม่มีใครหาตัวพบ…
ไคลน์ซักถามหลังจากเรียบเรียงคำพูด
“ถ้าอย่างนั้น ผมจะกลับเข้าไปในเบ็คลันด์สักวันหรือครึ่งวันได้ไหม มีบางสิ่งต้องสะสางก่อนออกเดินทาง เช่นการปลอมแปลงตัวตนและใช้ใบหน้าใหม่”
เมื่อสิ้นเสียง ชายหนุ่มใช้มือลูบใบหน้าเพื่อเปลี่ยนกลับไปเป็นไคลน์·โมเร็ตติสมัยยังอยู่เมืองทิงเก็น
อะซิกเลิกคิ้วเล็กน้อยพลางพยักหน้ารับ
“ไม่มีปัญหา”
ตามด้วยการหันไปมองในจุดห่างออกไป ห่างเสียจนไคลน์มองไม่เห็นว่ามีสิ่งใด
“ดูเหมือนผมจะถูกหมายหัวโดยโบสถ์รัตติกาลเข้าแล้ว ฉะนั้น คุณไม่ควรอยู่ข้างกายผมนานนัก ไม่อย่างนั้นจะถูกดึงเข้ามาพัวพันกับเรื่องอันตราย หึหึ… ดูเหมือนพวกเขาจะสนใจตะกอนพลังเกี่ยวกับเทพมรณามากเป็นพิเศษ”
“ครับ ผมมีแผนล่องทะเลอยู่แล้ว หากย่อยโอสถปัจจุบันเสร็จสมบูรณ์เมื่อใด ผมต้องตามหานางเงือกให้พบ นั่นคือเงื่อนไขในการเลื่อนเป็นลำดับถัดไป” ไคลน์อธิบายแผน
อะซิกเอียงคอ
“นางเงือก? ใช้วิญญาณนางเงือกแทนได้ไหม ผมหาให้ได้ไม่ต่ำกว่าสี่”
“คง… ไม่ได้ครับ…” ไคลน์ใช้มือปาดเหงื่อบนหน้าผาก
สัญชาตญาณของมันบอกว่าไม่สามารถกระทำเช่นนั้นได้ แต่ยังไงก็ต้องทำนายยืนยันด้วยห้วงมิติเหนือสายหมอกเทาอีกที
อะซิกเล่าต่อโดยไม่กลับไปพูดถึงวิญญาณนางเงือก
“หลังจากนี้ ถ้าคุณเดือดร้อนเรื่องใด สามารถติดต่อหาผมได้ทุกเมื่อผ่านผู้ส่งสาร”
ผู้ส่งสาร…!
ไคลน์พลันแสดงสีหน้ารู้สึกผิดพร้อมกับออกท่าทางกระอักกระอ่วน
“ม…มันตายไปแล้วครับ ในการต่อสู้ระหว่างผมมิสเตอร์ A มันช่วยชีวิตผมไว้”
อะซิกชำเลืองเล็กน้อยพลางหัวเราะ
“ฮะฮะ! เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ขอเพียงโลกแห่งความตายยังไม่ถูกทำลาย และมิได้ถูกฆ่าโดยฝีมือเทวทูตหรือตายด้วยวิธีพิเศษ มันสามารถคืนชีพอย่างเชื่องช้าภายในโลกแห่งความตาย โดยระหว่างนั้น ผมยังมีผู้ส่งสารในทำนองเดียวกันอีก… เอ่อ… นับจำนวนไม่ได้เหมือนกัน รู้แค่ว่าเยอะมาก”
คุณกำลังจะบอกว่า คุณครอบครองโครงกระดูกร่างยักษ์ไว้ในจำนวนมหาศาลเทียบกับเท่าหนึ่งกองทัพ?
ไคลน์ทำเพียงอ้าปากค้าง ไม่ทราบว่าควรสนองสองเช่นไร
แต่ประโยคดังกล่าวก็ช่วยบรรเทาความรู้สึกผิดในใจลงได้มากทีเดียว
“มิสเตอร์อะซิกครับ โลกแห่งความตายตั้งอยู่ตรงไหนหรือ”
“ภายในโลกวิญญาณ ระบุให้ชัดคือ เป็นดินแดนพิเศษในโลกวิญญาณซึ่งถูกสร้างโดยเทพมรณาบรรพกาล” อะซิกไม่ปิดบัง
“เทพมรณาบรรพกาล…? หมายถึงต้นตระกูลฟินิกซ์ เกรจารีหรือ? เข้าใจแล้ว… เป็นเพราะโลกแห่งความตายอยู่ในโลกวิญญาณ วิชาศาสตร์เร้นลับพื้นฐานจึงมิได้กล่าวถึงโลกแห่งความตายเอาไว้ โลกใบหลักจึงมีเพียง โลกแท้จริง โลกวิญญาณ และโลกดารา มิได้มีการระบุถึงนรกหรือโลกแห่งความตาย…”
ขณะไคลน์เตรียมตั้งคำถามต่อ มันฉุกคิดบางสิ่งและรีบกล่าวออกไป
“มิสเตอร์อะซิก ผมมีโอกาสได้รับไพ่เย้ยเทพซึ่งถูกสร้างโดยจักรพรรดิโรซายล์ ในนั้นมีความลับของผู้วิเศษลำดับสูงบรรจุอยู่ ผมคิดว่าสิ่งของนี้อาจช่วยคุณฟื้นฟูความทรงจำกลับมาได้บางส่วน แต่คงต้องรอสักพัก เพราะไพ่ดังกล่าวถูกเก็บไว้ในกรุงเบ็คลันด์”
ไคลน์ไม่พูดถึงเงินค่าหัวในการสังหารพลเรือโทโจรสลัด คีลิงเกอร์ เพราะนั่นอาจต้องเปิดเผยข้อมูลของชุมนุมทาโรต์ ห้วงมิติเหนือสายหมอก รวมถึงมิสจัสติส ดังนั้น ชายหนุ่มจึงหวังตอบแทนด้วยทางอื่น
อะซิกจ้องมองชายหนุ่มอย่างประหลาดใจ แต่ไม่แสดงความเห็นใดออกมา เพียงพยักหน้ารับและมอบคำแนะนำ
“หลังจากกลับถึงบ้าน ค่อยฝากไพ่ใบดังกล่าวมาพร้อมกับผู้ส่งสารของผม ไม่ต้องกังวล ผมจะคืนทันทีเมื่อศึกษามันครบทุกซอกมุม หรือถ้าคุณขยัน จะคัดลอกเนื้อหาด้านในส่งมาให้ก็ไม่ถือสา”
มันเว้นวรรคครู่หนึ่ง ราวกับนึกถึงสิ่งสำคัญขึ้นได้ อะซิกล้วงหยิบถุงมือหนังแผ่นบาง คล้ายกับถูกถลกออกจากร่างมนุษย์ทั้งเป็น พลางยื่นมาทางไคลน์
“ความทรงจำของผมฟื้นฟูกลับมาจำนวนหนึ่งแล้ว เจ้านี่จึงไม่จำเป็นอีกต่อไป หึหึ… มันคือสมบัติวิเศษจากพลเรือโทโจรสลัดคนนั้น ผมผนึกผลข้างเคียงไว้บางส่วน ทำให้มันไม่หิวกระหายทุกวัน แต่หากมีการใช้พลังด้านใน คุณต้องป้อนเลือดเนื้อและวิญญาณมนุษย์ภายในวันดังกล่าวโดยเร็ว ไม่อย่างนั้นมันจะกินคุณแทน”
“…ยุบพองหิวโหย? สมบัติวิเศษจากเส้นทางคนเลี้ยงแกะ?”
ไคลน์ไม่มีวันลืมคุณสมบัติของถุงมือสุดพิสดารข้างนี้
……………………