Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 501 : เหยื่อล่อ
หลังจากส่งโทรเลขและเก็บกวาดโต๊ะทำงานเรียบร้อย ฉลามขาว·แฮมิลตันเริ่มผ่อนคลายความกังวล จนสมองปลอดโปร่งพอจะทบทวนเหตุการณ์เมื่อครู่
คำถามแรกผุดขึ้นในหัว :
แล้วคนคุมด้านนอกล่ะ?
แฮมิลตันรีบพยุงตัวยืนด้วยแขนทั้งสองข้าง ก่อนจะเดินไปเปิดแง้มประตูห้อง และได้พบกับลูกน้องหลายคนกำลังยืนสนทนาอย่างหละหลวมพลางยิงมุกตลกเกี่ยวกับโสเภณี
โทสะอันเดือดดาลพลันลุกโชนภายในใจฉลามขาว แต่มันก็รีบสงบสติ และจงใจกระแทกบานประตูให้เกิดเสียงดัง
โครม!
บรรดาลูกน้องด้านนอกต่างสะดุ้งเฮือกพร้อมกับหันมองอย่างพร้อมเพรียง
“บอส…”
“บอส…!”
เมื่อพบต้นตอคนทำเสียงดัง พวกมันรีบยืนตัวตรงและกลับไปประจำตำแหน่งด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
ฉลามขาวถอนหายใจยาวพลางตั้งคำถาม
“มีใครเข้ามาในห้องฉันบ้างไหม”
“มีครับ ลาร์เดโร หมอนั่นเล่าว่าข้างล่างมีความวุ่นวายเกิดขึ้น…” ลูกน้องทำสีหน้างุนงงเมื่อได้ยินคำถาม “บอสเป็นคนอนุญาตให้เข้าไปเองไม่ใช่หรือ”
เมื่อกล่าวจบ กลุ่มลูกน้องเริ่มฉุกคิดถึงความเป็นไปได้ทางอื่น จึงรีบถามกลับอย่างเป็นกังวล
“มีของถูกขโมยไปหรือครับ?”
ขณะเดียวกัน สีหน้าแฮมิลตันพลันดำมืด มันส่ายหน้าพร้อมกับส่งเสียงตวาด
“ทำงานไป! ห้ามคุยเล่น!”
ตึง!
แฮมิลตันดึงประตูปิดเสียงดัง ปล่อยให้ลูกน้องด้านนอกมองตากันสักพักพลางเข้าใจว่า หัวหน้าของตนคงกำลังเมา
ภายในห้องทำงาน แฮมิลตันร่างใหญ่กำลังเดินวนเวียนไปมาอย่างกระวนกระวาย
“ลาร์เดโร… พวกมันเห็นเป็นลาร์เดโร… เจ้านั่นมีพลังในการแปลงโฉม?” ในฐานะสายข่าวผู้รับแลกเปลี่ยนสินค้าและคอยรวบรวมข้อมูลให้โจรสลัด ฉลามขาว·แฮมิลตันย่อมเคยได้ยินตำนานอันโด่งดังมาบ้าง
จึงนึกถึงพลังของพลเรือโทวายุ·คีลิงเกอร์ ผู้สามารถแปลงโฉมเป็นใครก็ได้
มันเริ่มวิเคราะห์อย่างใจเย็น
ไม่สิ… พลังพิเศษของอีกฝ่ายอาจไม่ได้ยอดเยี่ยมถึงขั้นแปลงโฉม แต่เป็นพลังประเภทภาพลวงตา ชี้นำจิตใจ หรือบงการความคิด
…มีบางสิ่งไม่ถูกต้อง แม้ภายนอกเจ้านั่นจะดูคล้ายสุภาพชน แต่ภายในกลับวิกลจริตและบ้าบิ่นจนน่าเหลือเชื่อ ด้วยลักษณะนิสัยดังกล่าว มันควรฆ่าลูกน้องด้านนอกหรือไม่ก็ทำให้สลบเป็นอย่างน้อย จึงค่อยเดินมาเคาะประตูห้องทำงานเราอย่างเลือดเย็น…
หากมันกังวลว่าจะสร้างความวุ่นวายหรือเป็นการเปิดเผยพลังพิเศษ ก็ยังมีวิธีง่ายกว่านั้นอยู่ นั่นคือการปืนหน้าต่างขึ้นมาหาเราโดยตรงอย่างเงียบเชียบ…
ขัดแย้งอย่างมาก… และเหตุผลรองรับความขัดแย้งดังกล่าวมีเพียงสาเหตุเดียว…
มันกำลังปกปิดบางสิ่ง…
กำลังปกปิดพลังพิเศษ หรือปกปิดอุปนิสัยของตัวเอง? หรือทั้งคู่?
ครุ่นคิดมาถึงจุดนี้ แฮมิลตันเริ่มได้ข้อสรุป
เจ้านั่นอาจเป็นแค่มือใหม่… พฤติกรรมเสียสติเป็นเพียงการแสดง โดยพลังพิเศษเกิดมีแหล่งกำเนิดจากสมบัติวิเศษ!
ต้องเป็นแบบนั้นแน่!
ทฤษฎีนี้สามารถอธิบายความขัดแย้งได้…
เจ้าไก่อ่อนไม่กล้าเสี่ยงปืนหน้าต่างเนื่องจากยังเป็นแค่ผู้วิเศษลำดับต่ำ และไม่ใช่เส้นทางชำนาญด้านการปืนป่าย… เพื่อให้ได้เข้ามาในห้องเรา มันลงทุนลดศักดิ์ศรีและยอมเรียกเราว่า ‘บอส’ …
พลังในการตบตาลูกน้องล้วนเกิดจากผลของสมบัติวิเศษ… และมันไม่ได้เสียสติจริง…
มันกล้าทำตัวเหมือนคนบ้าเพราะมีสมบัติวิเศษช่วยสร้างความหวาดกลัวในใจเรา ทั้งหมดมีจุดประสงค์เพื่อหลอกถามข้อมูล…
นั่นยังอธิบายได้ด้วยว่า ทำไมมันถึงเดินออกจากห้องไปทั้งอย่างนั้น…
หลังจากครอบครองสมบัติวิเศษหายากเข้าโดยบังเอิญ มันวางแผนใช้พลังดังกล่าวหลอกถามเรา และหวังล่าค่าหัวโจรสลัดปลายแถวสักคนสองคนติดไม้ติดมือ… แต่เมื่อทราบว่าเราทำงานให้กับหน่วยข่าวกรองของพลเรือเอกโลหิต เฒ่าควินน์ และโอเดล·อสรพิษเหรียญเงิน ผู้มีแนวโน้มว่าจะเป็นคนของราชินีเงื่อนงำ มันจึงเกิดความหวาดกลัวและรีบถอนตัวกลับทันทีโดยไม่กล้าฆ่าใครแม้แต่คนเดียว!
ยิ่งแฮมิลตันใช้ความคิด มันก็ยิ่งมั่นใจในการวิเคราะห์ของตน
เครื่องรับส่งวิทยุถูกติดตั้งอีกครั้งพร้อมกับการพลิกเปิดสมุดบันทึกข้อมูล ตามด้วยการส่งโทรเลขโดยมีเนื้อหาอ้างอิงจากทฤษฎีใหม่
แฮมิลตันไม่เชื่อว่าตนถูกคุกคามโดยนักล่ามือฉมัง อีกฝ่ายเป็นแค่เด็กหนุ่มทะเยอทะยานผู้บังเอิญโชคดีได้ครอบครองสมบัติวิเศษหายาก
ฉลามขาวพยายามอธิบายข้อมูลของอีกฝ่ายโดยละเอียด
“ผมทอง ตาฟ้า ไม่บ้าบิ่น ค่อนข้างขี้ขลาด ครอบครองสมบัติวิเศษเกี่ยวกับการแปลงโฉมหรือไม่ก็สร้างภาพลวงตา แต่เมื่อประเมินจากออร่าความน่าสะพรึงกลัว อย่างหลังมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่า เจ้านั่นเป็นแค่มือใหม่ผู้ไม่เจนโลกมากนัก ออร่าสัตว์ประหลาดรอบตัวมันคงเป็นผลจากสมบัติวิเศษเช่นกัน มันพอจะมีข้อมูลเกี่ยวกับฉันอยู่บ้าง และทำตัวไม่เหมือนกับหน้าใหม่ผู้เพิ่งมาเยือนเมืองท่าดาเมียร์เป็นครั้งแรก”
แกร่ก. แกร่ก. แกร่ก…
ฮามิลตันชะงักนิ้วพร้อมกับเอนหลังพิงด้วยสีหน้าพึงพอใจ เก้าอี้ทำงานส่งเสียงตอบสนองเล็กน้อยเมื่อถูกน้ำหนักตัวกดทับ
มุมปากยกโค้งอย่างมีความสุข ราวกับกำลังจินตนาการภาพของชายเสียสติคนเมื่อครู่ถูกจับถ่วงก้นทะเล
“ท่ามกลางท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ฉันไม่เคยเห็นไอ้กระจอกแต่มีของดีคนไหนอายุยืน… รอก่อนเถอะ ฉลามหิวกระหายจำนวนมากกำลังจะเริ่มแหวกว่ายเพื่อตามกลิ่นเลือด! เมื่อถึงตอนนั้น ความลับของเราก็จะถูกปิดเป็นความลับต่อไป”
…
ภายใต้ท้องฟ้าสีดำยามราตรี บรรยากาศรอบเมืองท่าค่อนข้างเงียบสงบ
หลังจากเดินพ้นประตูผับปลาบินและไวน์ ไคลน์ยังคงย่ำเท้าหนีออกมาเป็นระยะทางไกลพลางหักเลี้ยวไปมาอีกหลายซอกซอย ก่อนจะค่อย ๆ ลดความเร็วลงทีละนิดจนกลายเป็นการเดินทอดน่อง
เมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครสะกดรอยตาม เมื่อเดินผ่านมุมมืด ชายหนุ่มแปลงโฉมกลับเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ พร้อมกับยัดชายเสื้อกลับเข้าไปในขอบกางเกงขายาว
ไคลน์จัดแต่งจอนสองข้างให้เรียบร้อย ตามด้วยการหยิบแว่นตากรอบทองขึ้นมาสวม มอบบรรยากาศเย็นชาภายใต้มาดสง่างาม
จากนั้น มันอาศัยแสงสว่างจากดวงดาวนำทางกลับไปยังเรือโมราขาว
ขณะเดิน ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มเยือกเย็น พลางครุ่นคิดท่ามกลางสายลมเหน็บหนาว
หวังว่าฉลามขาวจะไม่โง่จนมองไม่เห็น ‘ตำหนิ’ ซึ่งเราจงใจทิ้งไว้…
ไคลน์จงใจสร้าง ‘ตัวตน’ ชายผมทองดวงตาสีฟ้า ให้เป็นไอ้หนุ่มหน้าใหม่ผู้อ่อนหัดต่อโลก แต่ก็มีข้อมูลเกี่ยวกับท่าเรือดาเมียร์และฉลามขาวพอประมาณ และครอบครองสมบัติวิเศษช่วยให้ดูบ้าบิ่นและวิกลจริต
ไคลน์ตระหนักเป็นอย่างดีว่า การตามหาโจรสลัดกลางทะเลไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแม้แต่รัฐบาลกับเจ็ดโบสถ์หลักก็ยังทำไม่ได้ ตัวมันเองก็คงทำได้ไม่ง่ายเช่นกัน ฉะนั้น แผนการของชายหนุ่มจึงเป็น :
ลองหยั่งเชิงสอบสวนฉลามขาว หากได้พิกัดแน่ชัดของโจรสลัด มันก็จะตามไปถล่มให้ราบคาบทันที แต่ถ้าไม่ได้ ก็จะอาศัยตัวตน ‘นักผจญภัยอ่อนหัดแต่ครอบครองสมบัติวิเศษหายาก’ เพื่อล่อให้เหยื่อเข้ามาติดกับ
เมื่อไคลน์ทราบว่าฉลามขาวสามารถติดต่อกับเฒ่าควินน์ หนึ่งในหน่วยข่าวกรองของพลเรือเอกโลหิต แผนการก็นับว่าลุล่วงทันที
หลังจากนั้นก็ทำเพียงจดจำคลื่นวิทยุและการเข้ารหัสเพื่อคอยดักฟังความเคลื่อนไหวในอนาคต ผนวกกับเอกลักษณ์พิเศษของเดอะฟูลผู้ไม่มีวันถูกทำนายถึง ไคลน์ก็แค่ดักรอเชือด ‘เหล่าฉลามกระหายเลือด’ ทีละคนสองคนอย่างใจเย็น
แต่ปัญหาในตอนนี้คือ เราไม่มีเครื่องมือสำหรับดักฟังความเคลื่อนไหว… ของแบบนี้หาซื้อในทะเลไม่ได้แน่… คงต้องให้เดอะเวิร์ลฝากมิสจัสติสหรือมิสเมจิกเชี่ยนซื้อและส่งมาจากเบ็คลันด์ นี่คือพลัง ‘เดลิเวอรี่’ อันเป็นจุดแข็งของเดอะฟูล!
เมื่อเห็นโมราขาวอยู่ไม่ไกล ไคลน์เร่งฝีเท้าจนกระทั่งพบกับครอบครัวดอนน่าและคลีฟส์กำลังเดินสวนมาจากถนนอีกฝั่ง
คลีฟส์พยักหน้าทักทายตามมารยาท ตามด้วยการถามเสียงทุ้ม
“ผมได้ยินมาว่า มีเหตุทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นในผับปลาบินและไวน์”
หูไวเหมือนกันนี่… คงมีเส้นสายในเมืองท่าดาเมียร์พอสมควร…
ไคลน์ยิ้ม
“ก็แค่สั่งสอนพวกหัวหมอไปสองคน”
ได้ยินเช่นนั้น คลีฟส์ขมวดคิ้ว และพบว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์แตกต่างไปจากทุกที
ย้อนกลับไปขณะได้พบกันบนเรือครั้งแรกคลีฟส์มองว่า ถึงแม้นักผจญภัยหนุ่มผู้นี้จะเย็นชาและค่อนข้างเย่อหยิ่ง แต่ก็ยังเผยรอยยิ้มเป็นครั้งคราวตามโอกาส มีความสุภาพในการใช้สรรพนามคล้ายกับคนในเมืองหลวง และรู้จังหวะจะโคนว่าตอนไหนควรถอย
แต่ในปัจจุบัน คลีฟส์เริ่มไม่แน่ใจ เพราะมันเริ่มสัมผัสถึงเพลิงแห่งความบ้าบิ่นภายในใจอีกฝ่าย
ทันใดนั้น บิดาของดอนน่าพูดขัดจังหวะ
“มิสเตอร์คลีฟส์ สุภาพบุรุษผู้นี้คือ?”
“เพื่อนร่วมอาชีพครับ เกอร์มัน·สแปร์โรว์”
คลีฟส์แนะนำตัวเรียบง่าย
ไคลน์ยิ้มสุภาพพร้อมกับยื่นมือขวาไปหา
“หากคุณต้องการจ้างใครสักคนและคลีฟส์ไม่ว่าง สามารถนึกถึงผมได้เสมอ”
“ไม่มีปัญหา หวังว่าคุณจะเก่งกาจและมีความเป็นมืออาชีพเหมือนกับเขา!” บิดาของดอนน่าจับมือไคลน์ด้วยท่าทีกระตือรือร้น ตามด้วยการแนะนำตัว “เออร์ดี้·แบรนช์”
ขณะไคลน์ปล่อยมือ สัมผัสวิญญาณไคลน์พลันตระหนักถึงความผิดปรกติเล็กน้อยจากกล่องของขวัญในมือคนรับใช้แบรนช์
ชายหนุ่มแอบเปิดเนตรวิญญาณ และพบว่าภายในกล่องมีเนื้อหมักเกลือหลายชิ้น
ทว่า ผิวรอบนอกของเนื้อกลับกำลังส่องแสงสีขาว ดำ และแดง ลักษณะคล้ายคลึงกับออร่าของโลกวิญญาณ
กลิ่นอายพลังวิญญาณ… แต่ไม่เป็นอันตรายมากนัก… เนื้อพวกนี้แปลกมาก…
ไคลน์ยืนทำหน้าประหลาดใจ
เห็นดังนั้น บิดาของดอนน่าอมยิ้ม
“ความพิเศษของเมืองท่าดาเมียร์คือการมีภูเขาไฟดับมอดอยู่กึ่งกลางเกาะ รอบภูเขามีช่องว่างเล็กน้อยคล้ายโพรงถ้ำ มีลมร้อนตามธรรมชาติพัดผ่านออกมา ส่งผลให้ หากนำเนื้อไปบ่มในบริเวณดังกล่าว จะได้รสชาติสุดกลมกล่อมและเป็นเอกลักษณ์ เหมาะแก่การซื้อไปเป็นของฝากให้เพื่อนฝูง มิสเตอร์สแปร์โรว์ ถ้าต้องการซื้อติดไม้ติดมือกลับไป ตอนนี้ก็ยังทันนะครับ”
รสชาติอันเป็นเอกลักษณ์…
รสชาติของโลกวิญญาณ?
ไคลน์เริ่มเข้าใจสถานการณ์
ตามทฤษฎีของศาสตร์เร้นลับ โลกวิญญาณจะซ้อนทับกับโลกจริงอย่างสมบูรณ์ โดยแยกมิติออกจากกัน ต้องอาศัยพลังพิเศษของบางเส้นทางเพื่อสร้างอุโมงค์สำหรับเดินทางไปมาระหว่างกัน แต่ทฤษฎีดังกล่าวก็ไม่เป็นความจริงเสมอไป พลังของโลกวิญญาณสามารถเอ่อล้นออกมาจนส่งผลกระทบต่อโลกความจริงได้บางส่วน
ตัวอย่างเช่น หากคนตายในน้ำ ก็จะมีโอกาสกลายเป็นพรายน้ำ หรือการมีตัวตนของสิ่งมีชีวิตประเภทซอมบี้และชนิดอื่นซึ่งคล้ายคลึงกัน รวมถึงเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเล็กน้อยภายในบ้านซึ่งเคยมีคนตาย
บางที ในโพรงภูเขาไฟใจกลางเมืองท่าดาเมียร์อาจมีลักษณะเดียวกัน แต่มิได้ร้ายแรงจนส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตผู้คน จุดดังกล่าวช่วยให้เนื้อหมักเกลือมีรสชาติยอดเยี่ยมและเป็นเอกลักษณ์… ประกอบกันคนทั่วไปมิได้รับประทานเข้าไปในปริมาณมาก จึงแทบไม่ส่งผลต่อร่างกาย…
ไคลน์ยิ้มตอบ
“ผมไม่ชอบเนื้อหมักเกลือ”
ขณะเดียวกัน มันก็ได้ข้อสรุปว่า เนื้อหมักเกลือซึ่งบาร์เทนเดอร์ของผับปลาบินและไวน์ยกมาเสิร์ฟตน เป็นเพียงอาหารคุณภาพต่ำและไม่ใช่ของขึ้นชื่อประจำเมืองท่า
ทันใดนั้น เด็กชายแดนตันชี้นิ้วขึ้นไปยังดวงจันทร์ด้านบนท้องฟ้า
“สีแดงสว่างจัง!”
“อื้อ!” ดอนน่าพยักหน้ารับ
สีแดงสว่าง…? ไคลน์แหงนมองและพบว่าดวงจันทร์ยังคงมีสีแดงตามปรกติ
หืม… คงเป็นเพราะเด็กเล็กยังมีจิตบริสุทธิ์ หลังจากกินเนื้อหมักเกลือปนเปื้อนพลังวิญญาณเข้าไป การมองเห็นจึงเหมือนกับขณะใช้เนตรวิญญาณชั่วคราว… ชักน่าสนใจแล้วว่า เด็กทุกคนบนเกาะจะเป็นแบบนี้กันหมดหรือไม่ หึหึ… นี่คงเป็นต้นตนของตำนานปรัมปราทั้งหมดบนเมืองท่าดาเมียร์…
ไคลน์ใคร่ครวญจนเริ่มพบคำตอบ
หลังจากนั้น ทุกคนทยอยเดินขึ้นบันไดไปยังดาดฟ้าเรือ
ไคลน์โบกมืออำลาและเดินตรงไปยังห้องพักชั้นสองของตน
ทันใดนั้น มันสัมผัสถึงแรงกระเพื่อมทางละอองพลังงานรอบตัว จึงรีบเปิดเนตรวิญญาณตรวจสอบ
และไม่ผิดคาด ชายหนุ่มได้พบกับผู้ส่งสารร่างยักษ์ท่ามกลางกองกระดูกสีขาว
อีกฝ่ายรีบวางจดหมายลงตรงหน้าไคลน์
……………………