Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 517 : เมืองแห่งการให้
กรุงเบ็คลันด์ เขตเชอร์วู้ด
เมื่อแสงสีแดงจางลง ฟอร์สมองเห็นโต๊ะอ่านหนังสืออันคุ้นตาและสมุดโน้ตสำหรับจดบันทึกแรงบันดาลใจใหม่ๆ
ในมุมมองหญิงสาว ประสบการณ์เมื่อครู่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ในใจกลับมิอาจสลัดความหวาดกลัวไปได้หมดจด
นี่ไม่ใช่พลังของมนุษย์ แต่เป็นครึ่งเทพ!
“เราจะได้รับถุงกระเพาะอาหารของผู้กลืนวิญญาณในอีกสองวัน โดยโอสถ ‘ผู้ฝึกหัด’ ขวดใหม่ถูกย่อยใกล้หมดพอดี… เรากำลังจะได้เป็นนักตุกติกในอีกไม่ช้า แต่ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าพลังใหม่มีอะไรบ้าง… สามารถเลื่อนลำดับด้วยลำแข้งของตัวเองเช่นนี้ อาจารย์จะต้องให้ความสำคัญกับเรามากขึ้นแน่นอน อาจเป็นการมอบสูตรโอสถลำดับถัดไปทันที หรืออาจได้วัตถุดิบหลักแถมมาด้วย… แต่เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลำดับ 6 และ 5 ชื่ออะไร ทราบเพียงลำดับ 7 ‘โหราจารย์’ ไว้กลายเป็นนักตุกติกสำเร็จเมื่อไร ค่อยเขียนจดหมายไปถามอาจารย์เพิ่มเกี่ยวกับเรื่องนี้…”
ฟอร์สสัมผัสได้ว่า ตนเริ่มเข้าใกล้การหลุดพ้นจากคำสาปคืนจันทร์เต็มดวงทีละนิด
ทันนั้น เธอได้ยินเสียงฝีเท้าอันเร่งรีบดังออกไปไกลขึ้นทุกขณะ จนกระทั่งมีเสียงปิดประตูบ้านดัง ‘ปัง’
“ซิลออกไปข้างนอกอีกแล้ว… คงมีงานต้องสะสางอีกเพียบ”
ฟอร์สถอนหายใจเสียงแผ่ว
“ถ้าเธอไม่ติดหนี้ไวเคาต์กายลินอยู่สี่ร้อยปอนด์ ป่านนี้พวกเราคงได้ไปเที่ยวอ่าวเดซีย์กันแล้ว”
หลังจากมุมานะเป็นเวลานาน ความพยายามของซิลเริ่มผลิดอกออกผล งานยากๆ ในสมัยก่อนถูกปิดได้ง่ายขึ้นหลังจากซิลกลายเป็นเจ้าพนักงาน และในบางครั้ง เธอยังรับงานจิปาถะแต่ค่าตอบแทนสูงจากชายสวมหน้ากากทอง เงินออมจึงเพิ่มจากหนึ่งร้อยสิบปอนด์เป็นสามร้อยยี่สิบปอนด์ในเวลาไม่นาน เหลืออีก แปดสิบปอนด์ก็จะเพียงพอสำหรับชำระหนี้
“ในความเป็นจริง เราสามารถช่วยกลบหนี้ส่วนต่างแปดสิบปอนด์ตรงนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ถึงเธอจะตัวไม่สูง แต่ศักดิ์ศรีของเธอสูงมาก…”
ฟอร์สครุ่นคิดเรื่อยเปื่อย ก่อนจะกลับเข้าประเด็นความต้องการของเดอะเวิร์ล
ในฐานะแพทย์และนักเขียน เธอไม่มีความรู้เกี่ยวกับเครื่องรับส่งโทรเลขมากนัก หรือแม้กระทั่งเรื่องเกี่ยวกับเครื่องยนต์กลไกทั้งหมด
ฟอร์สจะไม่สนใจเนื้อหาประเภทดังกล่าวขณะอ่านหนังสือพิมพ์ จึงไม่ทราบว่าจะหาซื้อเครื่องรับส่งวิทยุได้จากไหนบ้าง
“ห้างสรรพสินค้า? คงไม่กระมัง จริงสิ… อาวีลล์เขียนนิยายวิทยาศาสตร์ น่าจะมีความรู้ในเรื่องนี้พอสมควร”
ฟอร์สเริ่มพบเป้าหมายให้ปรึกษา
แต่ทันใดนั้น ปัญหาใหม่ผุดขึ้นในใจ นั่นคือ เธอควรแวะไปเยี่ยมอีกฝ่ายโดยตรง หรือเขียนจดหมายไปถามก่อน?
สายตาจ้องไปทางเก้าอี้เอนกายซึ่งมีผ้าห่มหนานุ่มคลุมอยู่ ผนวกเข้ากับกลิ่นกาแฟและยาสูบซึ่งกำลังอบอวลทั่วห้อง ความอบอุ่นอันแสนเกียจคร้านได้เกาะกินจิตใจฟอร์สทีละนิด
“เราไม่สนิทกับทางนั้น การแวะไปเยี่ยมส่งเดชคงไม่เหมาะสักเท่าไร” หญิงสาวพึมพำพลางกวาดเครื่องเขียนหลบ และวางกระดาษเปล่าแผ่นใหม่ลงบนโต๊ะ
…
เมืองเงินพิสุทธิ์ บ้านตระกูลเบเกอร์
เดอร์ริคลืมตาขึ้นจากภาวะแสร้งหลับ
ตามแผนเดิม เด็กหนุ่มคิดจะประกอบพิธีกรรมสังเวยถุงกระเพาะอาหารของผู้กลืนวิญญาณให้มิสเตอร์ฟูลทันที แต่คำเตือนของแฮงแมนทำให้มันต้องคิดใหม่ และเพิ่มความระมัดระวังตัวมากขึ้น
เห็นทีว่า… เราคงต้องรวบรวมวัตถุดิบตามความต้องการของแฮงแมนให้ครบก่อน จึงค่อยประกอบพิธีกรรมสังเวยในคราวเดียว…
เดอร์ริคเงียบงันสักพัก จึงค่อยเหน็บขวานเฮอร์ริเคนไว้กับเอวและเดินไปยังหอคอยคู่
ก่อนอื่น เด็กหนุ่มตรวจสอบว่า คะแนนผลงานของตนสามารถนำไปแลกเปลี่ยนวัตถุดิบวิเศษชนิดใดได้บ้าง แต่เดอร์ริคยังไม่ใจร้อนแลกเปลี่ยนทันที โดยจะนำราคาไปเปรียบกับตลาดมืดในช่วงกลางคืนเพื่อความแน่ใจ
ถัดมา มันเดินขึ้นไปยังชั้นสาม เป้าหมายคือหอสมุดหมวดหมู่ตำนานโบราณและเอกสารเก่าแก่ เพื่อค้นหาความรู้แปลกใหม่อย่างหิวกระหาย
ทันใดนั้น มันพบหนังสือปกแข็งสีเหลือง
“จดหมายเหตุวังราชาคนยักษ์ ฉบับเขียนด้วยมือของศิลาดำ”
จดหมายเหตุวังราชาคนยักษ์? จะมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับราชาเทวทูตหรือไม่…
เดอร์ริคเอื้อมมือหยิบออกมา และพบว่าหนังสือถูกห่อด้วยหนังสัตว์ประหลาดสีน้ำตาล
ในเวลาเดียวกัน โคลิน·อีเลียด สวมเสื้อเชิ้ตลินินสีขาวและโค้ทสีน้ำตาลทับ กำลังยืนจ้องลงมายังห้องสมุดอย่างเงียบงันจากชั้นบน
เส้นผมหงอกเทาขาดการบำรุงรักษากำลังปลิวไสวไปตามแรงลมแผ่วเบาจากหน้าต่าง ดวงตาสีฟ้าอ่อนของมันทั้งลุ่มลึกและสง่างาม
…
วันพุธที่ 12 มกราคม 17.40 น.
ท้องฟ้ากำลังมืดครึ้ม ก้อนเมฆเคลื่อนคล้อยอย่างเชื่องช้า น้ำทะเลสีน้ำเงินเข้มสาดซัดสูงต่ำเป็นระลอกเกลียวคลื่น
โมราขาวโยกคลอนขึ้นลงอย่างต่อเนื่องท่ามกลางสายลมรุนแรง ราวกับเป็นเพียงของเล่นชิ้นเล็กบนฝ่ามือยักษ์ใหญ่
“นี่คืออำนาจแห่งมหาสมุทร ไม่ว่าใครจะทรงพลังสักเพียงใด แต่ทุกสิ่งก็จะดูเล็กลงไปถนัดตา” เดนิส ยืนข้างหน้าต่าง กำลังเชยชมวิวทิวทัศน์ด้านนอกด้วยสีหน้าดื่มด่ำ “พวกเราใกล้ถึงเมืองแห่งการให้แล้ว”
หลังออกจากท่าเรือแบนชี การเดินทางของโมราขาวค่อนข้างราบรื่น อาศัยความช่วยเหลือจากแรงลม เครื่องจักรขนาดมหึมาสามารถทำความเร็วได้สูงถึงสิบห้านอตโดยไม่มีอุปสรรค ฉะนั้น ถึงแม้จะมาถึงเมืองท่าเทียร์น่าช้ากว่ากำหนดเล็กน้อย แต่ก็ยังมาถึงปลายทางสุดท้าย บายัม ได้เร็วกว่ากำหนดการเดิม
หรือก็คือ โมราขาวซึ่งมีกำหนดจะถึงเมืองแห่งการให้ในช่วงเช้าของ 13 มกราคม กลับแล่นมาถึงตั้งแต่ 12 มกราคมช่วงเย็น
เมื่อได้ยินเดนิสพรั่งพรูความรู้สึก ไคลน์เพียงเงยหน้ามองอย่างเงียบงัน และก้มหน้ากลับมาใคร่ครวญเรื่องของตัวเองต่อ
ยิ่งสวมบทบาทและตัดสินใจในฐานะเกอร์มัน·สแปร์โรว์นานเท่าใด ไคลน์ก็ยิ่งมองเห็นนิสัยแก่นแท้ของตัวเองชัดเจนขึ้น ในแทบทุกการตัดสินใจและพฤติกรรม ชายหนุ่มพบว่าตนคิดไม่เหมือนกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์เลยสักนิดเดียว
ตัวอย่างเช่น ในสถานการณ์ปัจจุบัน ไคลน์จะสานต่อบทสนทนากับเดนิสในหัวข้อสภาพอากาศอย่างเป็นกันเอง แต่เกอร์มัน·สแปร์โรว์ไม่ทำ
ยิ่งมีความแตกต่างชัด เราก็ยิ่งตระหนักถึงความเป็นตัวเองได้มากขึ้น… ไคลน์ถอนหายใจ
ประสบการณ์เช่นนี้ มันไม่เคยได้รับสมัยปลอมตัวเป็นนักสืบเชอร์ล็อก เพราะในช่วงเวลาดังกล่าว ตนไม่จำเป็นต้อง ‘เปลี่ยน’ นิสัย
เราสัมผัสได้ว่า โอสถผู้ไร้หน้าถูกย่อยเร็วขึ้นเล็กน้อย… อย่างไรก็ตาม ยังคงมีบางจุดในตัวเกอร์มัน·สแปร์โรว์ซ้อนทับกับนิสัยอุปนิสัยจริงของเรา ยกตัวอย่างเช่น การลงจากเรือไปยังเมืองท่าแบนชีเพื่อช่วยชีวิตผู้คน พฤติกรรมเช่นนี้เกิดจากความรู้สึกก้นบึ้งของเรา…
แต่สามารถเรียกได้ว่า สิ่งนี้คือการเพิ่มความซับซ้อนให้ตัวละคร เกอร์มัน·สแปร์โรว์ผู้สวมหน้ากากบ้าคลั่งตลอดเวลา จึงเผยมุมห่วงใยคนใกล้ตัวให้เห็น…
เฮ่อ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องน่ายกย่องนัก เพราะถ้าเรารู้มาก่อนว่าเมืองท่าแบนชีคือบินซี่ การตัดสินใจอาจเปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย…
ไม่สิ ผลทำนายออกมาแล้วว่า อันตรายอยู่ในขอบเขตรับได้ เราคงกระทำในเรื่องเดิม…
ไคลน์ใช้ความคิดเรื่อยเปื่อย
ขณะเดียวกัน มันตระหนักได้ว่า การปลอมตัวเป็น ‘บุคคลใหม่’ ยังไม่ใช่วิธีในอุดมคติของเทคนิคสวมบทบาท อาจทำให้โอสถถูกย่อยได้บ้างก็จริง แต่ก็ไม่มากเท่าอีกหนึ่งวิธี
วิธีนั้นก็คือ การปลอมตัวเป็น ‘บุคคลจริง’ โดยต้องทำให้คนรอบข้างแยกแยะไม่ออกระหว่างตัวปลอมกับตัวจริง ต้องคอยซึมซับอารมณ์ ความรู้สึก และปฏิกิริยาตอบสนองของญาติสนิทหรือเพื่อนฝูงรอบตัว แต่ห้ามจมอยู่กับห้วงอารมณ์จนเลยเถิดเด็ดขาด
จะเป็นใครก็ได้ แต่สุดท้ายต้องเป็นตัวเอง…
เริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว…
ไคลน์มองพรมสีเหลืองอ่อนบนพื้นพลางวางแผนอนาคต
เมื่อเห็นว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ไม่ตอบสนอง เดนิสเพียงยักไหล่อย่างหมดคำจะกล่าว ภายในใจเริ่มเบื่อหน่าย
หากไม่นับการใช้งานเราเยี่ยงทาส ชายเสียสติคนนี้นับว่าเป็นคนไม่เลว ข้อเสียเดียวคือความเงียบขรึมอันชวนให้อึดอัด หากปล่อยไว้แบบนี้ต่อไป เราคงได้กลายเป็นบ้าไปอีกคน…
แต่สวรรค์กำลังเข้าข้าง! อีกไม่นาน โมราขาวก็จะเข้าเทียบท่าเมืองบายัม เรากำลังจะได้เป็นอิสระ!
เดนิสเชื่อว่า หากต้องอยู่บนเรือนานกว่านี้อีกแค่วันเดียว ตนคงต้องฝึกพูดกับตัวเองเพื่อบรรเทาความตึงเครียด
ทันใดนั้น มันเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์เงยหน้าขึ้นและเผยรอยยิ้มเย็นๆ
“เล่าเรื่องจุดชุมนุมโจรสลัดในเมืองบายัมให้ฟังหน่อย”
…แม่เย็*! ถ้าจะพูดแล้วเป็นแบบนี้ สู้กลับไปเงียบแบบเดิมยังดีเสียกว่า!
ใบหน้าเดนิสเริ่มบิดเบี้ยว
ปู๊น~
เวลา 18.15 น. ก่อนพายุเข้า โมราขาวแล่นเข้าเทียบท่าเรือขนาดใหญ่อย่างราบรื่น
เกาะแห่งนี้คือเมืองแห่งการให้ บายัม
และยังรู้จักกันในชื่อ เกาะแห่งเครื่องเทศ ภายในบายัมจะมีเครื่องเทศพิสดารหลากหลายชนิด รายได้หลักของเมืองมาจากภาคเกษตรกรรม
เมืองบายัมตั้งอยู่บนเกาะ ‘ภูเขาคราม’ อาณาเขตเกินกว่าครึ่งของเกาะเป็นเทือกเขาขนาดมหึมา อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทองคำ เงิน ทองแดง ทองเหลือง ถ่านหิน เหล็ก และแร่ธาตุชนิดอื่นๆ ผืนป่าถูกปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่เขียวขจี มีผลไม้รสเลิศหลากหลายสายพันธุ์ นับเป็นดินแดนในอุดมคติแบบสำหรับการดำรงชีวิต นักล่าอาณานิคมกลุ่มแรกจึงนิยามเมืองนี้ไว้ว่า ‘เมืองแห่งการให้’ โดยมองว่าเป็นพรอันวิเศษซึ่งเทพประทานมาให้แก่มนุษย์
ไคลน์หยิบกระเป๋าเดินทาง เดินออกจากห้อง 312 และตรงไปยังดาดฟ้าเรือ
ไม่ผิดคาด ชายหนุ่มได้พบกับครอบครัวดอนน่า คลีฟส์ และคนอื่นๆ
หลังจากเคยเผชิญความตกตะลึงสุดขีดเมื่อวันก่อน สองพี่น้องยังคงมีอาการหวาดกลัวต่อไคลน์อยู่เล็กน้อย เอาแต่หลบด้านหลังพ่อแม่และบอดี้การ์ด
ไคลน์พยักหน้าให้ทุกคนเชิงทักทาย
เออร์ดี้·แบรนช์ลังเลสักพัก ก่อนจะรวบรวมความกล้าพูดออกมา
“มิสเตอร์สแปร์โรว์ คุณจะพักอยู่ในบายัมอีกสักระยะใช่ไหม ถ้าผมต้องการจ้าง ม…ไม่ใช่ ถ้าผมต้องการขอความช่วยเหลือ จะติดต่อคุณได้อย่างไรบ้าง”
สมกับเป็นพ่อค้าผู้รักการผจญภัย แม้จะหวาดกลัว แต่ก็ยังต้องการเป็นมิตรกับผู้วิเศษมีฝีมือ…
ไคลน์ครุ่นคิด
“คนแถวนี้อ่านหนังสือพิมพ์อะไร?”
“ส่วนใหญ่มักจะอ่าน ‘โซเนียยามเช้า’ หรือไม่ก็ ‘ทันข่าว’ ”
เออร์ดี้มอบคำตอบทันทีโดยไม่ต้องนึกนาน
“ลงโฆษณาใน ‘โซเนียยามเช้า’ เป็นเวลาสามวันติดต่อกัน เนื้อหาเป็นการรับซื้อเนื้อหมักเกลือของดาเมียร์ พร้อมกับลงพิกัดนัดพบเอาไว้ ถ้าเห็น ผมจะแวะไปยังจุดดังกล่าวภายในสามวัน แต่ถ้าไม่ปรากฏตัว ก็แปลว่าผมไม่อยู่ในบายัมแล้ว” ไคลน์บอกวิธีติดต่อทางเดียวอย่างระมัดระวังตัว
“ตกลง” เออร์ดี้หายใจทั่วท้อง พลางยิ้ม
คลีฟส์และคนอื่นๆ แสดงความขอบคุณและทยอยเคลื่อนตัวไปตามทางเดินอย่างเป็นระเบียบ
เมื่อเห็นบันไดเรืออยู่ไม่ไกล ดอนน่าชะลอความเร็วลงและเดินกลับมาหาไคลน์ เงยหน้าขึ้นพลางขยับริมฝีปาก
“ลุงสแปร์โรว์ ในเมื่อพลังพิเศษนำมาซึ่งอันตรายและความบ้าคลั่ง แล้วทำไมลุงถึงยังเลือกครอบครองมันคะ?”
เธอครุ่นคิดเรื่องนี้มานานแล้ว แต่เพิ่งจะรวบรวมความกล้าออกมาถาม
ไคลน์ผงะเล็กน้อย ตามด้วยการเผยรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน
“เพื่อทำตามความฝัน…”
จากนั้น มันหรี่เสียงลง
“…และเพื่อปกป้อง”
เพื่อปกป้อง… ดอนน่าทวนคำ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินตามพ่อและแม่ลงไป
เมื่อเห็นครอบครัวแบรนช์ลงจากโมราขาว ไคลน์หันกลับไปมองเดนิส
“นายเป็นอิสระ”
เห…?
เดนิสไม่ชินกับความรู้สึกแบบนี้เลยสักนิด
……………………
Comments for chapter "ราชันเร้นลับ 517 : เมืองแห่งการให้"
MANGA DISCUSSION
Leave a Reply Cancel reply
This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.
bloody-mary
แหม~ ไม่ชินงั้นหรอคะเดนิส??