Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 559 : เผชิญหน้าระหว่างทาง
ไคลน์ตัดสินใจเตรียมสำรวจโลกวิญญาณในวันนี้เลย เพื่อหยั่งเชิงก่อนลงมือจริงนอกเขตหมู่เกาะรอสต์
หมายความว่า หากสำรวจโลกวิญญาณขณะยังอยู่ในเมืองบายัม ก็คงมิอาจนำคทาเทพสมุทรติดตัวไปด้วยได้ เพราะนั่นจะทำให้เกิดผลข้างเคียงตามมามากมาย
แค่ไพ่จักรพรรดิมืดก็พอแล้ว…
ถ้าเราหลงหรือตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย เพียงรีบสิ้นสุดพิธีกรรมอัญเชิญตัวเอง ก็จะได้กลับสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอกอย่างปลอดภัย แทบไม่มีความเสี่ยงในปฏิบัติการ…
ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะเดินไปล็อกประตูห้องนอน เตรียมประกอบพิธีกรรมอัญเชิญตัวเอง
เมื่อเสร็จขั้นตอนพื้นฐาน จิตชายหนุ่มถูกส่งมายังมิติสายหมอกโดยสวัสดิภาพ แต่มันมิได้รีบร้อน ทำเพียงนั่งลงและเสกให้คทาเทพสมุทรลอยออกจากกองขยะ ร่อนลงบนฝ่ามืออย่างนุ่มนวล
ก่อนอื่น ไคลน์ลงมือสำรวจว่ามีสาวกคนใดสวดวิงวอนมาถึงเทพสมุทรบ้าง
ไม่คิดคาด มันได้พบสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับการสวดวิงวอนของสาวกบางคน ตามธรรมชาติแล้ว มนุษย์สามารถโกหกเพื่อนฝูง ครอบครัว หรือญาติพี่น้องได้ไม่ยาก แต่หากต้องสารภาพบาปต่อเทพที่ศรัทธา การเก็บซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงนั้นทำได้ค่อนข้างยาก อย่างมากก็แค่แต่งเติมเรื่องราวเล็กน้อย ให้ตัวเองรู้สึกผิดน้อยลง
ตำรวจเลือดผสมคนหนึ่งที่ไต่เต้าจนมียศปานกลางในสถานีตำรวจบายัม ถูกโน้มน้าวให้เปลี่ยนมานับถือเทพวายุสลาตันอย่างไม่เต็มใจ และเมื่อทำการสารภาพบาปต่อเทพสมุทร มันพยายามอธิบายว่า ตนต้องแบกรับความเจ็บปวดมากเพียงใดที่ต้องแสร้งทำเป็นศรัทธาเทพตนอื่น แต่มันยอมทน เพื่อแลกกับอนาคตและความเจริญรุ่งเรืองของชนพื้นเมือง โดยในตอนสุดท้าย ตำรวจคนดังกล่าววิงวอนให้เทพสมุทรคอยคุ้มครองตน และอวยพรให้ไต่เต้าหน้าที่การงานได้อย่างราบรื่น
อาจฟังดูสมเหตุสมผล แต่ความสั่นคลอนของจิตใจขณะสารภาพบาป รวมไปถึงห้วงอารมณ์ที่ไม่สงบนิ่ง ล้วนถูกฉายอย่างแจ่มชัดบนนิมิตภาพฉาย มิอาจปกปิดต่อหน้าเทพได้
หลอกตัวเองไม่ว่า แต่หลอกแม้กระทั่งเทพ… หากเปลี่ยนเป็นคาเวทูว่า เจ้างูทะเลนั่นคงหลงเชื่อโดยไม่เคลือบแคลง… หืม… เราควรเสกฟ้าผ่าใส่กบาลสักเส้น หรือเสกลมเฉือนสักสิบเส้นเพื่อลงทัณฑ์ให้สาสมกับโทษดี… แต่ว่า การเก็บชนพื้นเมืองที่เป็นตำรวจยศสูงเอาไว้ก่อนก็ไม่เลวเหมือนกัน พวกตีสองหน้ามักมีประโยชน์ให้ใช้งานได้เสมอ…
ไคลน์ยกคทาเทพสมุทรขึ้น เสกให้อัญมณีสีฟ้าเม็ดหนึ่งสองแสง
แสงสว่างถูกฉายเข้าไปในนิมิต ก่อนจะลอยไปฉาบร่างของสารวัตรนามบราญ่าโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
สิ่งนี้ไม่ใช่คำสาป แล้วก็ไม่ใช่พร แต่เป็นออร่าแห่งเทพ ยากจะสัมผัสถึงด้วยวิธีการปรกติ
อธิบายให้เข้าใจง่ายก็คือ เป็นการ ‘หมายหัว’ ว่าจะจับตามองสาวกคนนี้เป็นพิเศษ… ไคลน์เสริมในใจ
ชายหนุ่มยังคงไล่ดูไปเรื่อยๆ จนได้เห็นสาวกวัยหนุ่มคนหนึ่ง ผิวสีแทน ผมหยักศกเล็กน้อย กำลังสวดวิงวอนให้เทพสมุทรลงทัณฑ์ชายที่ชื่อจังโม่ด้วยพายุหรือไม่ก็จมน้ำตาย โดยให้เหตุผลว่า จังโม่ทำการทรยศและไม่ศรัทธาต่อเทพสมุทร แต่ในความเป็นจริง ชาวประมงมากประสบการณ์นามว่าจังโม่ จงรักภักดียิ่งกว่าเด็กคนนี้เสียอีก
การได้มาเห็นทั้งหมด ช่วยให้เราตระหนักว่าจิตใจมนุษย์ล้ำลึกยากหยั่งถึงเพียงใด…
ไคลน์ขมวดคิ้วในตอนต้น ก่อนจะนั่งครุ่นคิดสักพักจนได้บทสรุปให้ตัวเอง
หากผู้ไร้หน้าต้องการ ‘สวมรอย’ ให้สมจริง องค์ประกอบทั้งหมดต้องครบถ้วน ตัวอย่างเช่น รูปลักษณ์ของเหยื่อต้องแม่นยำ บุคลิกและนิสัยประจำตัวต้องไม่ตกหล่น ห้ามหลุดบทบาทแม้แต่วินาทีเดียว โดยแต่ละเป้าหมายการสวมรอยก็จะมีอุปนิสัยแตกต่างกันไป
“การได้นั่งสำรวจคำวิงวอนของสาวกช่วยให้เราได้พบอุปนิสัยอันหลากหลาย แต่ละคนมีกระบวนการคิดแตกต่างกันไป รวมถึงสภาพจิตใจในขณะนั้น พันคนก็พันรูปแบบ มนุษย์มิได้แตกต่างกันแค่ใบหน้า นี่คือประสบการณ์แสนล้ำค่าสำหรับผู้ไร้หน้าอย่างเรา จะได้ไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกหรือสั่งสมประสบการณ์จริงด้วยตัวเอง”
ไคลน์เริ่มตระหนักว่า การสวมรอยเป็นเทพสมุทรให้อะไรมากกว่าที่คิด
ขณะปลอมตัวเป็นครึ่งเทพ ถึงจะไม่ได้รับความคืบหน้าของโอสถ แต่ผลประโยชน์ด้านอื่นก็ไม่น้อยเช่นกัน… เป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้ในตัวตนธรรมดา…
ไคลน์เริ่มมีไฟกับการทำงาน มันไล่ดูคำสวดวิงวอนของทุกคนอย่างตั้งใจ
ผ่านไปฉากแล้วฉากเล่า สายตาชายหนุ่มสะดุดอยู่กับนักธุรกิจชื่อราล์ฟ
ชายคนนี้เลื่อมใสในปาฏิหาริย์ที่เทพสมุทรกลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้ง จึงตัดสินใจบริจาคเงินจำนวนสองหมื่นปอนด์ หรือหนึ่งในสามของทรัพย์สิน ให้กับกลุ่มต่อต้าน ครึ่งหนึ่งเพื่อการทหาร และอีกครึ่งหนึ่งเพื่อสร้างเทวรูปขึ้นใหม่
ไม่เห็นต้องยุ่งยากขนาดนั้น แค่สังเวยเงินสดให้เทพสมุทรโดยตรงก็สิ้นเรื่อง… ไคลน์พึมพำติดตลก
หลังจากครุ่นคิดสักพัก ชายหนุ่มเสกคลื่นยักษ์และพายุให้ลอยอยู่ด้านหลัง พร้อมกับสร้างฝนตกโปรยปรายสลับกับฟ้าผ่า ก่อนจะตอบคำวิงวอนของพ่อค้าราล์ฟด้วยเสียงแผ่วเบา
“จงช่วยเหลือเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์และพวกพ้อง เพื่อสรรเสริญนามของเราให้กึกก้อง เหล่าแกะน้อยทั้งหลายล้วนต้องการความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือการศึกษา”
ไคลน์ต้องการให้ราล์ฟก่อตั้งกองทุนการกุศลมูลค่าสองหมื่นปอนด์ขึ้น จากนั้นก็พยายามระดมเงินบริจาคจากสังคม เพื่อชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นก่อนหน้า สิ่งนี้จะทำให้ชนพื้นเมืองกลับมากลมเกลียวกันอีกครั้ง แถมยังได้บริจาคอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และทุนการศึกษาแก่เด็กท้องถิ่นไปในตัว
ในส่วนของเงินบำรุงกำลังพลและสรรพาวุธของกลุ่มต่อต้าน ไคลน์ไตร่ตรองไว้แล้วเช่นกัน บนโลกผู้วิเศษที่รบกันด้วยพลังเป็นหลัก ลำพังคนของชนพื้นเมืองคงมิอาจต่อต้านรัฐบาลโลเอ็นมาได้นานขนาดนี้แน่ หมายความว่า กลุ่มต่อต้านคงได้รับความช่วยเหลือจากอาณาจักรอื่นมาโดยตลอด อาจเป็นได้ทั้งอินทิสหรือฟุซัค
แน่นอน หนึ่งในความช่วยเหลือก็คือเงิน
ดังนั้น แม้เงินของราล์ฟไปไม่ถึงงบการทหาร แต่กลุ่มต่อต้านก็คงไม่กระทบมากนัก
น่าเสียดาย เราไม่สามารถเพิ่มข้อกำหนดลงในบัญญัติสิบประการได้ว่า : จงใช้เงินอย่างสุจริตและชอบธรรม… ประเด็นนี้ขัดแย้งกับสภาพความเป็นจริงเกินไป… กลุ่มต่อต้านคงไม่ต้องการลดกำลังพลลง เพราะพวกมันมักส่งคนไปทำลายสาธารณูปโภคด้านการคมนาคมของเมืองบายัมอยู่เสมอ จนเจ้าหน้าที่ทำงานได้ยากลำบากขึ้น เป็นการสร้างข้อเรียกร้องด้วยการใช้กำลังจุดชนวน…
ในฐานะอดีตนักรบคีย์บอร์ด ไคลน์ย่อมมีความรู้พื้นฐานในด้านนี้พอสมควร
จากนั้น ชายหนุ่มเปลี่ยนประเด็นครุ่นคิด เริ่มหันมาทำนายว่า การสำรวจโลกวิญญาณในวันนี้จะมีอันตรายรออยู่หรือไม่
ผลลัพธ์ระบุว่าไม่อันตรายมากนัก
เมื่อทราบคำตอบ ชายหนุ่มทำการสอดไพ่จักรพรรดิมืดไว้ในร่างวิญญาณ เปลี่ยนแปลงรูปโฉมด้วยเกราะเหล็กสีดำและมงกุฎ ก่อนจะเดินออกจากประตูอัญเชิญที่ตัวมันสร้างรอไว้
กลับถึงโลกจริง ชายหนุ่มยัดบรรดาสมบัติวิเศษเกือบทั้งหมดใส่ไว้ในร่างวิญญาณ เผื่ออาจได้ใช้ในโอกาสสำคัญ
จากนั้น เฉกเช่นคราวก่อน ด้วยการเพ่งจิตขณะอยู่ในร่างวิญญาณ ไคลน์สามารถเข้าสู่โลกวิญญาณได้ทันที
ชายหนุ่มเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ร่างกายผ่านม่านล่องหน จนกระทั่งเริ่มลอยขึ้น
รอบตัวเต็มไปด้วยเส้นสีแดง เหลือง ฟ้า เขียว และแสงอื่นๆ สีสันฉูดฉาด คล้ายกับกำลังอยู่ในโลกของภาพสีน้ำมัน ขณะเดียวกัน สามัญสำนึกของมนุษย์ในเชิงทิศทางเช่นซ้าย ขวา หน้า หลัง บน และล่าง ล้วนไม่ตรงตามตำแหน่งจริงบนโลกปรกติ หากอาศัยหลังดังกล่าวในการเดินทาง จุดจบคงไม่พ้นการหลงทิศ
ไคลน์สำรวจไปเรื่อยๆ อย่างระมัดระวัง บางครั้งก็พบสัญลักษณ์ดวงอาทิตย์สีเหลืองคล้ายฝีมือเด็กวาด บางครั้งก็พบลำธารมายาที่ไหลเวียนตลอดเวลาแต่จับต้องไม่ได้
นอกจากนั้นยังมีสัญลักษณ์ของผู้หญิงสองมิติร่างกายแบนลีบ ท่อนบนไม่สวมเสื้อ อีกทั้งยังมีสัญลักษณ์ดวงจันทร์ยิ้ม เรือพายตั้งตรง พุ่มเชือกแขวนลูกบอลจำนวนมาก และขั้นบันไดที่ขดเป็นวงกลม ม้วนขึ้นไปหาริ้วแสงเจ็ดสีด้านบน
ท่ามกลางโลกอันวุ่นวาย นอกจากสิ่งมีชีวิตวิญญาณแล้ว ข้อมูลทั้งหมดจะปรากฏในรูปแบบสัญลักษณ์ เป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใด การทำนายจึงได้รับคำตอบในเชิงสัญลักษณ์ ต้องไปตีความกันเอาเอง
โดยสัญลักษณ์เหล่านี้ หากพวกมันดำรงอยู่ต่อไปอีกสักนิด ก็อาจกลายร่างเป็นสิ่งมีชีวิตวิญญาณขึ้นมาได้เช่นกัน
ในนี้คือโลกวิญญาณ สถานที่ซึ่งมิอาจใช้สามัญสำนึกของมนุษย์ทำความเข้าใจได้ด้วยประการทั้งปวง…
แต่สิ่งที่ทำให้ไคลน์ประหลาดใจมากที่สุดกลับเป็นเรื่องอื่น ในคราวก่อนที่มันมาเยือนโลกวิญญาณ การพบสิ่งมีชีวิตวิญญาณไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก พบได้ง่ายจนไคลน์หวนนึกถึงคำเตือนของบรรพบุรุษตระกูลอับราฮัม : ห้ามจ้องตาสิ่งมีชีวิตวิญญาณเกินสามวินาที
ตอนนั้นมีทั้งสายตาลึกลับที่มองไม่เห็นรอบตัว หญิงสาวไร้หัวที่ยืนบนปราสาท มือทั้งสองข้างหิ้วศีรษะอีกสี่เศียร ดวงตากลมโตที่มีเพียงสีขาวและดำโดยปราศจากอวัยวะอื่น รวมถึงแมงกะพรุนยักษ์ที่มีปลายหนวดเป็นกะโหลก
แต่สำหรับคราวนี้ แม้จะสำรวจโลกวิญญาณได้สักพัก ไคลน์กลับยังไม่พบสิ่งมีชีวิตวิญญาณแม้แต่ตนเดียว กระทั่งดวงตาที่จ้องมองมาจากมุมมืดก็ไม่มี ราวกับทั้งหมดพร้อมใจกันซ่อนตัว
อย่าบอกนะว่า เป็นเพราะเรากำลังมองหาผู้ส่งสาร พวกมันจึงหลบหน้า… เป็นไปได้… เราใช้ร่างวิญญาณของตัวเองเชื่อมต่อโดยตรง เจตนาของเราจึงอาจถูกฝังลงในร่างวิญญาณ และเปลี่ยนรูปเป็นสัญลักษณ์เมื่อย่างกรายเข้าสู่โลกวิญญาณแห่งนี้ ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตอื่นมองเห็นเจตนาของเราอย่างแจ่มชัด…
ไคลน์ใคร่ครวญอย่างไม่เข้าใจ และยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้
ขณะความคิดมากมายกำลังแล่นในหัว ร่างกายชายหนุ่มเกิดร่วงหล่นกะทันหัน เป็นการพุ่งตกอย่างอิสระราวกับที่นี่มีแรงโน้มถ่วง
จนกระทั่ง หลังจากไคลน์ท่องไปตามโลกวิญญาณได้สักพัก มันเห็นจุดแสงสีสันฉูดฉาดจากระยะไกลในรูปแบบของสัญลักษณ์ บางจุดเริ่มเปลี่ยนจากสัญลักษณ์กลายเป็นนามธรรม
เกิดอะไรขึ้นกันแน่…
ชายหนุ่มพิจารณาอย่างจริงจัง ว่าตนควรเขียนจดหมายถึงมิสเตอร์อะซิกเพื่อถามให้แน่ใจ หรือไม่ก็นำเครื่องรับโทรเลขไปแช่ไว้บนมิติเหนือสายหมอก ให้สัมผัสออร่าสักพัก จึงค่อยนำออกมาถามอาโรเดส
ขณะกำลังลอยตัวไปเรื่อย ๆ สัญชาตญาณของไคลน์ถูกกระตุ้นฉับพลัน ร่างวิญญาณจึงขยับตัวหลบไปไกลตามจิตใต้สำนึก
ทันใดนั้น แสงสีเหลืองสว่างวาบเข้ามาในมุมสายตา ตามด้วยท่อนขาขนาดมหึมา ใหญ่พอจะกระทืบไคลน์ให้แบนราบ เหยียบลงบนสีแดงและฟ้าฉูดฉาดในจุดที่ชายหนุ่มเคยยืน
ฝ่าเท้าค่อนข้างยาว ผิวหนังเต็มไปด้วยของเหลวสีเขียวและเหลืองปกคลุม ความสูงของเท้าไม่ต่ำกว่าสามเมตร เหนือขึ้นไปเป็นร่างกายอันใหญ่โตที่มีผ้าพันศพรัดไว้คล้ายกับมัมมี่
อีกฝ่ายชะงักงันสักพัก ก่อนที่ขาซึ่งเต็มไปด้วยหนองสีเหลือเขียว จะลอยขึ้นจากจุดเดิมอย่างเชื่องช้า และพุ่งหายเข้าไปในส่วนลึกของโลกวิญญาณ
ไคลน์กำลังที่ซ่อนตัวในจุดห่างไกล ไม่กล้าส่งเสียงใดออกมาเป็นเวลานาน
จนกระทั่งยืนยันได้ว่าปลอดภัย จึงยืนครุ่นคิดเช่นนั้นสักพัก ก่อนจะยิ้มแห้ง
โลกวิญญาณน่ากลัวชะมัด… บังเอิญหลงมาพบกับตัวตนทรงพลังเข้าจนได้… สัตว์ประหลาดนั่นเป็นสิ่งมีชีวิตวิญญาณแน่หรือ…
ไคลน์ส่ายหน้า ก่อนจะเริ่มสำรวจต่อ
ณ ตอนนี้ มันไม่รู้อีกแล้วว่าตนกำลังอยู่บริเวณใดบนโลกวิญญาณ
ผ่านไปสักพัก ชายหนุ่มเริ่มพบร่องรอยของสิ่งมีชีวิตวิญญาณมากขึ้น
แต่ขณะไคลน์เตรียมหมุนตัวพุ่งไปทางซ้าย ร่างวิญญาณของมันกลับถูกดูดไปข้างหน้าอย่างมิอาจขัดขืน และด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นทุกขณะ
เมื่อมองตรงไป กลุ่มแสงสีฉูดฉาดและสายหมอกสีเทาขาวพลันแหวกออกอย่างกะทันหัน เพียงพริบตา เรือใบลำใหญ่พุ่งพรวดออกจากจุดฟุ้งกระจายดังกล่าว รอบลำเรือถูกฉาบด้วยสีดำสนิททุกซอกมุม
เรือสีดำมีความยาวกว่าหนึ่งร้อยเมตร ใบเรือดำสนิททั้งสามผืนอยู่ในลักษณะกางออกและชักขึ้น มองผิวเผินจะดูคล้ายกับผืนธง
กราบเรือทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยปืนใหญ่หลายกระบอก บนดาดฟ้ามีลูกเรือประจำการพร้อมทำศึกจำนวนนับไม่ถ้วน
สำหรับไคลน์ ภาพทั้งหมดคมชัดเป็นอย่างยิ่ง สามารถเห็นลึกไปถึงรายละเอียดปลีกย่อยทุกจุด แตกต่างจากลักษณะทั่วไปของสิ่งมีชีวิตวิญญาณโดยสิ้นเชิง
แต่เนื่องจากเรือลำดังกล่าวกำลังอยู่ในโลกวิญญาณ สีดำของมันจึงฉูดฉาดและเข้มกว่าปรกติมาก จนคล้ายภาพสีน้ำมัน
ใจกลางดาดฟ้าเรือมีบัลลังก์หินสูงราวสองสามเมตร ตั้งหันหลังให้ห้องเครื่อง บนบัลลังก์มีคนผู้หนึ่งกำลังนั่งด้วยท่วงท่าสง่างาม ส่วนสูงทัดเทียมกับคนยักษ์ในตำนาน
บุคคลดังกล่าวมีเคราสีดำยาวเลยคอ เหนือศีรษะสวมมงกุฎยอดสูง สวมชุดคลุมหรูหราซึ่งมีพื้นหลังสีดำ และตามขอบเป็นสีเงินแวววาว
ริ้วรอยบนใบหน้าทั้งชัดและลึก เปี่ยมด้วยความน่าเกรงขามเหนือพรรณนา ใครก็ตามที่ได้เห็นเป็นต้องอยากก้มศีรษะคำนับ
ภายใต้หน้าผากที่กว้างและมีริ้วรอยร่องลึก กระจกตาสีแดงเข้มกำลังสะท้อนภาพไคลน์ในชุดเกราะและมงกุฎสีดำ
ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มยังมิอาจขัดขืนการลอยเข้าหาชายคนนั้นอย่างเชื่องช้า
ทั้งคู่ประสานสายตาท่ามกลางสีสันฉูดฉาดอันเป็นเอกลักษณ์ของโลกวิญญาณ จนกระทั่งไคลน์หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยและเป็นปริศนา
บุรุษร่างยักษ์บนบัลลังก์หินโบราณ ยังคงจ้องมองไปยังจุดเดิมเป็นเวลานานโดยไม่ขยับเขยื้อนร่างกาย บรรยากาศรอบตัวมีเพียงความเงียบงันเป็นเวลานาน
……………………