Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 562 : เอลเลน
ชุมนุมผู้วิเศษ?
ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะพยักหน้ารับ
“ตกลง”
ถึงเวลารวบรวมวัตถุดิบรองของโอสถนักเชิดหุ่นไว้บ้างแล้ว อีกทั้งยังมีโอกาสได้พบช่างฝีมือ…
ชายหนุ่มวางแผนในใจเสร็จสรรพ
เมื่อได้ยินเกอร์มัน·สแปร์โรว์ตอบรับ เดนิสเริ่มหายใจทั่วท้อง มันมิอาจเก็บซ่อนรอยยิ้มแฝงความพึงพอใจไว้ได้
พักหลังมานี้ นับตั้งแต่ค่าหัวเพิ่มขึ้นเกินกว่าฝีมือของตน เดนิสเลือกหมกตัวอยู่แต่ในห้องและเฝ้าเครื่องรับโทรเลข ความเบื่อหน่ายและสิ้นหวังกำลังกัดกร่อนจิตใจหนักหน่วง มันจึงอดใจรอให้ถึงช่วงค่ำของคืนนี้ไม่แทบไม่ไหว
ชุมนุมผู้วิเศษที่เดนิสหมายถึงนั้นถูกจัดขึ้นที่ผับใบไม้หอม อุดมไปด้วยโจรสลัด สายข่าว และนักผจญภัยมากมาย เป็นตัวเลือกแรก ๆ สำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลและวัตถุดิบ
ไคลน์ในโค้ทสีดำ หมวกผ้าไหม เดินตามเดนิสผ่านผับอันเนืองแน่นเข้าไปด้านใน จนกระทั่งถึงห้องเล่นไพ่ เมื่อถูกสายตาแฝงความกดดันจากผู้คุมหลายคน เดนิสพูดรหัสผ่าน และได้รับอนุญาตให้เดินลงบันไดไปยังลานกว้างชั้นใต้ดิน
บรรยากาศด้านล่างคล้ายกับผับมังกรชั่วของเมืองทิงเก็น สินค้าในตลาดมืดมีทั้งสมุนไพร น้ำมันสกัด หนังสือโบราณ ยันต์ และอุปกรณ์เวทมนตร์ชนิดต่างๆ แต่จุดที่ไม่เหมือนก็คือ ที่นี่มีอาวุธปืนขาย รวมถึงเครื่องกระสุนอีกหลายชนิด ไคลน์พบกระทั่งปืนคาบศิลาและกระสุนตะกั่วที่แทบไม่มีใครใช้กันแล้วในปัจจุบัน
หือ… แม้แต่บัตรยืนยันตัวตนปลอมและตราประทับปลอมก็ยังมี… แปลว่าอุตสาหกรรมที่นี่เจริญก้าวหน้ากว่าทิงเก็นพอสมควร สมกับเป็นเมืองอาณานิคมใหญ่… ไว้เราค่อยกลับมาซื้อวัตถุดิบสำหรับสร้างยันต์เทพสมุทร ของแบบนี้ ถ้ายิ่งซื้อในปริมาณมาก ราคาก็จะยิ่งถูกลง…
ไคลน์เหลียวซ้ายแลขวาหนึ่งรอบ หวังเก็บรายละเอียดภาพรวมของตลาดมืดให้ครบถ้วน
สำหรับเดนิสด้านข้าง เนื่องจากเริ่มไม่มั่นใจฝีมือการแปลงโฉมของตัวเอง จึงต้องสวมหมวกแก๊ปเพื่อกันพลาด เดินไปไหนมาไหนก็เอาแต่กดปีกหมวกลงต่ำ ปกปิดใบหน้าไว้เกินกว่าครึ่ง จนกระทั่งผ่านไปสักพัก ด้วยความชำนาญพื้นที่ เพลิงพิโรธเดินนำไคลน์ไปถึงประตูอีกฝั่งของตลาดมืด และเคาะประตูด้วยจังหวะยาวสองครั้งสั้นสี่ครั้ง ยืนรอให้คนข้างใดเปิดออกมา
ด้านหลังประตูเป็นห้องขนาดเล็ก แสงสว่างมาจากเทียนไขเพียงเล่มเดียวซึ่งตั้งอยู่บนราวเชิงเทียนข้างกำแพง
เดนิสชี้ไปยังสิ่งของมากมายที่วางระเกะระกะภายในห้อง มีทั้งหน้ากากเหล็ก ผ้าคลุม บางชิ้นแขวนบนราว บางชิ้นวางบนโต๊ะ ก่อนจะหันมาพูดกับไคลน์
“จะปลอมตัวเพิ่มหรือไม่ต้องก็ได้ ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล”
ชายหนุ่มกวาดสายตามอง หางตาชำเลืองผู้คุมเล็กน้อย
“ไม่จำเป็น”
ปัจจุบัน เราคือสายข่าวของ MI9… โบสถ์วายุสลาตันก็ทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี ไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวล… หรือหากโจรสลัดกับพวกนักผจญภัยเกิดอยากโจมตีเพียงเพราะเราไม่ปกปิดตัวตน…
หึหึ… สมองไคลน์กำลังจินตนาการภาพเงินค่าหัวลอยมาหาตนก้อนแล้วก้อนเล่า
มุมปากเดนิสกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะโน้มตัวหยิบหน้ากากเหล็กขึ้นมาสวม
จากนั้น ผู้คุมเดินนำเดนิสและไคลน์ไปตามทางเดินที่มืดจนแทบมองอะไรไม่เห็น จนกระทั่งมาถึงอีกห้องหนึ่ง
ตกแต่งได้หรูหรามาก… บนพื้นมีพรมแผ่นใหญ่จากทวีปใต้ ข้างกำแพงมีเชิงเทียนระยิบระยับที่น่าจะทำจากทอง เทียนไขมีกลิ่นใหม่ มอบเปลวไฟสีเข้มข้น…
ไคลน์กวาดตามอง และเดินไปนั่งบนโซฟาหนังสีน้ำตาลโดยไม่ปรึกษาเดนิส ชายหนุ่มเอนหลังพิงเบาะนุ่มสบายพร้อมกับยกขาขวาขึ้นมาไขว่ห้างทับขาซ้าย
ภายในห้องมีสมาชิกไม่ต่ำกว่ายี่สิบคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว คละเพศและช่วงอายุ บ้างสวมหน้ากากเหล็ก บ้างสวมผ้าคลุม และบ้างไม่ปกปิดตัวตนเหมือนไคลน์ อ้างอิงจากคำอธิบายของเดนิสในช่วงเช้า สมาชิกของชุมนุมลับแห่งนี้อาจไม่ใช่ผู้วิเศษเสมอไป เป็นได้ทั้งสายข่าว ตัวแทนของกลุ่มกองกำลัง หรือคนคลั่งศาสตร์เร้นลับที่ต้องการกลายเป็นผู้วิเศษ
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบงัน กระแสเวลาไหลผ่านอย่างรวดเร็ว ราวเจ็ดแปดนาทีถัดมา ชายชราบนเก้าอี้เอนหลังพลันเหยียดตัวตรง สองมือประสานด้านหน้า และตะโกนกล่าวกับทุกคนด้วยเสียงฉะฉาน
“เริ่มได้”
ใบหน้าแก่ชรา ผมสีเทา เส้นผมบางจนแทบไม่เหลือบนศีรษะ แต่ดวงตาสีน้ำตาลกลับไม่ขุ่นมัวเหมือนคนแก่ทั่วไป ยังคงสดใสกระจ่างชัด
“เจ้าของชุมนุมคือ ‘ชายฉกรรจ์’ โอซิล เคยเป็นโจรสลัดโด่งดังในอดีต ปัจจุบันเป็นบอสลับของผับใบไม้หอม” เดนิสขยับตัวเข้ามาใกล้เพื่อกระซิบบอก
มันเคยเล่าให้ฟังไปแล้วเมื่อเช้า แต่กังวลว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์อาจไม่รู้ว่าเป็นคนไหน จึงต้องอธิบายซ้ำเพื่อป้องกันอีกฝ่ายเข้าใจผิดและโมโหใส่ตน
การปล่อยให้คนอื่นรู้ความลับไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิด… โดยเฉพาะกับคนบ้า…
เดนิสถอนหายใจยาว
ไคลน์พยักหน้ารับเล็กน้อย และนั่งจ้องสมาชิกคนอื่นดำเนินการค้าขายอย่างเงียบงัน
สินค้ามีมากมาย แม้กระทั่งสูตรผลิตโอสถ ‘นักรบ’ ‘ลูกเรือ’ และ ‘ผู้ส่องความลับ’ แต่ข้อเสนอก็เกือบทั้งหมดไม่ถูกตอบสนอง เหล่าพ่อค้าจึงพากันผิดหวังไปตามๆ กัน
เดนิสหันมาจ้องสีหน้าไร้อารมณ์ของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้านข้างพลางกระซิบ
“ชุมนุมแห่งนี้ไม่มี ‘ผู้รับรอง’ รวมถึงไม่มี ‘นักทำนาย’ ลำดับสูง ส่งผลให้สูตรผลิตโอสถมักขายไม่ออก เนื่องจากสินค้าประเภทนี้มีราคาสูงและปลอมแปลงได้ง่าย ต่อให้ซื้อไปแล้วทราบทีหลังว่าเป็นของปลอม ก็ไม่สามารถเอาความกับคนขายได้ เพราะทางนั้นก็อาจถูกหลอกมาอีกทอดเหมือนกัน”
ฉันรู้… นี่คือหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่สูตรโอสถไม่ถูกเผยแพร่เป็นวงกว้าง…
ไคลน์ลดขาขวาลง เอนตัวมาข้างหน้าเล็กน้อยและเปล่งเสียงฉะฉาน
“ฉันต้องการซื้อเศษเสี้ยววิญญาณอาฆาตโบราณ”
ชายหนุ่มมิได้กล่าวถึงผลึกแก่นของการ์กอลย์หกปีก รวมถึงน้ำจากน้ำพุทองคำบนเกาะโซเนียและวัตถุดิบรองชนิดอื่น เพราะอาจมีใครสักคนทราบว่าตนคือผู้ไร้หน้าที่กำลังจะเลื่อนลำดับเป็นนักเชิดหุ่น
ย้อนกลับไปสมัยทิงเก็น ไคลน์เคยอาศัยข้อมูลเกี่ยวกับสูตรผลิตโอสถผู้ชม ตรวจพบความผิดปรกติเกี่ยวกับจิตแพทย์ดักซ์เตอร์ จนสืบทราบในภายหลังว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชม แถมยังเป็นสมาชิกสมาคมแปรจิต
แต่หากขอซื้อเศษเสี้ยววิญญาณอาฆาตโบราณเพียงอย่างเดียว การจะคาดเดาทิศทางแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เนื่องจากสิ่งนี้มักถูกใช้บ่อยครั้งในพิธีกรรมขอบเขตความตาย
ถึงไคลน์จะไม่ปลอมตัว แต่ก็มิได้หมายความว่ามันจะประมาท
ห้องเงียบงันราวสองวินาที ก่อนที่สุ้มเสียงเจือความแหบพร่าจะดังขึ้น
“ต้องการมากแค่ไหน”
มีคนขายด้วยหรือ…
ภายนอก ไคลน์ยังคงทำหน้านิ่ง แต่ภายในใจกำลังออกอาการยินดี
เมื่อหันไปมองตามต้นเสียง ไคลน์พบว่าอีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มชนพื้นเมือง อายุราวสามสิบ
ผิวสีแทน แต่ผิวพรรณไม่เรียบเนียน คล้ายกับขาดสารอาหารเป็นเวลานาน ใบหน้าซูบตอบ โหนกแก้มสูง เบ้าตาจมลึก ดวงตามีสีขาวมากกว่าดำ
“เท่าขวดนี้” ไคลน์หยิบขวดโลหะในกระเป๋าเสื้อออกมาแสดงเป็นตัวอย่าง
ชายผิวสีแทนแก้มซูบกล่าวต่อ
“ห้าร้อย”
สมเหตุสมผล…
ขณะไคลน์คิดจะต่อราคาอีกสักนิด มุมสายตาเหลือบไปเห็นเดนิสด้านข้างเข้า
เราคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์… นักผจญภัยเลือดเย็นและป่าเถื่อน…
ไคลน์ท่องซ้ำในใจสามรอบ ก่อนจะผ่อนลมหายใจยาวด้วยสีหน้าเจือความเจ็บปวด
สุดท้ายก็ต้องยอมปล่อยวาง
“ตกลง”
ชายหนุ่มนำปึกธนบัตรที่เตรียมไว้ ออกมานับให้ครบห้าร้อยปอนด์
ชายแก้มตอบล้วงหยิบหลอดทดลองแก้วออกจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะโยนมาทางไคลน์ในทันที
“เก็บรักษาได้ราวหนึ่งปี หลังจากนั้นพลังวิญญาณจะเสื่อมลง”
มันไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะรับไม่ทันจนขวดหล่นแตก เพราะถึงจะเป็นแบบนั้น แต่สินค้าภายในก็จะไม่เสื่อมสลาย เพียงหาภาชนะใหม่มาบรรจุก็เป็นอันใช้ได้
ไคลน์ยกมือขวาและคว้าไว้อย่างชำนาญ
จากนั้น ชายหนุ่มหยิบขวดขึ้นมาจ้อง และพบว่าด้านในมีจุดเรืองแสงลอยอยู่ เมื่อจุดแสงเลื่อนไปแตะด้านในขวดแก้ว ก้อนกลมจะขยายตัวออกเป็นรูปทรงใบหน้าบิดเบี้ยวที่อ้าปากตะโกนบางสิ่งอย่างเงียบงัน
ของจริง…
ไคลน์พยักหน้ากับตัวเอง พลางยื่นปึกธนบัตรห้าร้อยปอนด์ให้กับผู้ช่วย และนั่งมองผู้ช่วยนำไปส่งถึงมือคนขาย
ถัดจากนั้น ข้อเสนอของสมาชิกคนแล้วคนเล่าดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แต่ก็แทบไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้น
จนกระทั่งใกล้จบชุมนุม ‘ชายฉกรรจ์’ โอซิลหันมายิ้มกับทุกคน
“ฉันมีงานให้ทำ”
มันกล่าวพลางล้วงรูปถ่ายออกจากช่องกระเป๋าเสื้อด้านใน
“ตามหาบุคคลในภาพให้พบ รางวัลตอบแทนคือหนึ่งพันปอนด์หรือวัตถุดิบวิเศษมูลค่าใกล้เคียง แต่จงจำไว้ว่า ห้ามทำอันตรายหล่อนโดยเด็ดขาด”
หนึ่งพันปอนด์เชียว?
ราคาสูงเอาเรื่อง… พวกโจรสลัดและนักผจญภัยต้องพลิกแผ่นดินหาแน่… ชักอยากรู้แล้วว่าใครอยู่เบื้องหลังภารกิจนี้…
ไคลน์ไม่ประหลาดใจเมื่อเห็นสมาชิกส่วนใหญ่ภายในห้องต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม
รูปถ่ายของเป้าหมายถูกส่งผ่านมือต่อมือในทิศทางทวนเข็นนาฬิกา จนกระทั่งมาถึงมือไคลน์ในอีกไม่กี่นาทีถัดมา
หลังจากชำเลืองสักพัก ความประหลาดใจได้ผุดขึ้นท่ามกลางห้วงความรู้สึก
หญิงสาวในภาพจัดว่าหน้าตาสวย ด้วยเส้นผมสีแดงสว่างและดวงตาสีฟ้าคราม แม้ผิวพรรณจะไม่ขาวเนียนเหมือนหิมะ แต่ก็มีสัญญาณของสุขภาพดีและการบำรุง
ขณะกำลังถ่ายภาพนี้ เธอสวมเดรสยาวสีทะเลสาบ บริเวณสะโพกมัดด้วยริบบิ้นชิ้นใหญ่จนทำให้ดูเอวคอดและผอม อย่างไรก็ตาม ถึงใบหน้าจะกำลังเผยรอยยิ้ม แต่กลับแฝงความรู้สึกกระอักกระอ่วนไว้เจือจาง
ลูกคุณหนูแน่นอน…
หืม… ยอมจ่ายมากถึงหนึ่งพันปอนด์แถมยังห้ามทำอันตราย…
เธอถ่ายรูปด้วยรอยยิ้มไม่เต็มใจ…
สมองไคลน์เริ่มเต็มไปด้วยบทหนังรักโรแมนติกเจอความเศร้าและผิดหวัง
ตัวอย่างเช่น เรื่องราวของโจรสลัดคนหนึ่งที่ได้ปล้นเรือซึ่งมีลูกคุณหนูโดยสารมาด้วย มันเกิดรักแรกพบและจับเธอไปขัง แต่หญิงสาวหนีรอดมาได้ หรือไม่ก็ เรื่องราวของลูกคุณหนูใจแตกคนหนึ่งที่ผันตัวเองเป็นโจรสลัด แต่วันหนึ่งถูกจับกุมและควบคุมตัว อย่างไรก็ตาม เธอตกหลุมรักกับทูตพิพากษาระดับกลางจนสามารถหลบหนีออกมาสำเร็จ หรือไม่ก็ เรื่องราวของแม่มดสุขสมที่ไปหลับนอนกับคนอื่นเรี่ยราดเพื่อย่อยโอสถ แต่ดันเกิดตกหลุมรักเหยื่อเข้า…
หลังจากความคิดพลุ่งพล่านผ่านไปได้สักพัก ไคลน์เกือบเลื่อนมือขึ้นมาปิดหน้าตัวเอง
ชาติก่อนเราคงอ่านนิยายมากไป… แถมมาโลกนี้ก็ยังถูกแม่มดตามหลอกหลอนไม่รู้จบ…
ชายหนุ่มถอนหายใจยาว ก่อนจะเงยหน้าและหันไปถามเจ้าของงาน ชายฉกรรจ์·โอซิล
“หล่อนชื่ออะไร”
“เอลเลน” โอซิลตอบห้วน “แต่ตอนนี้คงใช้ชื่อปลอมและเปลี่ยนไปเรื่อยๆ”
เอลเลน ชื่อยอดนิยมของอินทิส…
ไคลน์ถามเพิ่ม
“มีสิ่งของที่เธอพกติดตัวเป็นประจำบ้างไหม …เส้นผมก็ได้”
มันจะนำไปใช้ทำนายระบุตำแหน่ง
ไคลน์ตัดสินใจไม่ถามออกไปว่า มีเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซักของหล่อนเหลือบ้างไหม เพราะมันเกรงว่าเจ้าของภารกิจตัวจริงจะโยนกางเกงในของเธอมาทางตน นั่นยิ่งจะทำให้สถานการณ์กระอักกระอ่วน
โอซิลส่ายหน้า
“ไม่มี… เธอพลังต่อต้านการแกะรอยในระดับสูง”
“ฝีมือประมาณไหน” สมาชิกคนอื่นในชุมนุมเริ่มถามบ้าง
โอซิลตอบเสียงขรึม
“ผู้ว่าจ้างไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก เพียงยืนยันได้ว่า เธอมิได้แข็งแกร่งมาก แต่ก็ยังเก่งกว่าลำดับ 9 ไม่จำเป็นต้องจับตัวมาส่ง ขอเพียงยืนยันที่อยู่ของเธออย่างแม่นยำ พวกนายก็จะได้รับรางวัลเต็มจำนวน”
……………………