Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 653 : หน้าดำมือดำ
พื้นดินสั่นสะเทือนเล็กน้อย เงารางสูงกว่าสามเมตรปรากฏตัวขึ้นชายขอบผืนป่าบนเกาะร้าง
ร่างกายทุกส่วนของมันถูกฉาบด้วยสีเทาอมขาวคล้ายก้อนหิน ใบหน้าตะปุ่มตะป่ำ ไม่มีดวงตา จมูก ปาก และใบหูที่ชัดเจน
“ยักษ์ศิลา…” พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา พึมพำประเภทของสัตว์วิเศษ
ทั้งไคลน์และแอนเดอร์สันต่างไม่มีข้อมูล
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครหันไปมองแคทลียาด้วยสีหน้าฉงน ทั้งคู่ยังคงจดจ้องสัตว์ประหลาดอย่างไม่ละสายตา อากัปกิริยาสมกับเป็นมืออาชีพ
แคทลียาหมุนตัวไปทางอนาคตกาลที่จอดเทียบท่าอยู่ด้านข้าง ตามด้วยการยกมือขวาขึ้นพร้อมกับเปล่งเสียงที่ถูกขยาย
“เล็ง!”
เหล่าโจรสลัดที่ประจำการเตรียมพร้อม รีบปรับทิศของปืนใหญ่หลายสิบกระบอกบนเรือให้เล็งไปยังยักษ์ศิลาตัวหนาที่กำลังย่างกรายเข้าใกล้
ตูม! ตูม! ตูม!
กระสุนปืนใหญ่พุ่งออกไปและตกลงใกล้กับยักษ์ศิลา ฝุ่นควันลอยตลบอบอวลปกคลุมอาณาเขตกว้างขวาง
ท่ามกลางการสั่นสะเทือนของพื้นดิน เปลวไฟลุกโชนขึ้นหลายจุด เศษเล็กเศษน้อยกระจัดกระจายไปทุกทิศราวกับทุกสิ่งถูกทำลายจนราบคาบ
ตึง! ตึง! ตึง!
ร่างสูงใหญ่สีเทาอมขาวเดินทะลุผ่านม่านควันในสภาพห่างไกลจากปางตาย มีเพียงแตกรอยร้าวเล็กน้อยตามพื้นผิว
พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“มันไม่ใช่คนยักษ์ แต่เป็นประเภทสัตว์ศิลา แก่นสามารถใช้เป็นวัตถุดิบหลักของโอสถการ์เดี้ยนแห่งเส้นทางเทพสงคราม ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พลังป้องกันของมันจะสูงสักเพียงไหน”
ท่ามกลางเสียงปืนใหญ่ระดมยิง ไคลน์เริ่มสงสัยว่าตนอาจหูฝาด
ในเมื่อตระหนักถึงจุดแข็งของสัตว์ศิลา แล้วทำไมถึงยังสั่งให้ยิงปืนใหญ่? นั่นจะไม่สิ้นเปลืองกระสุนโดยเปล่าประโยชน์เอาหรือ? ชายหนุ่มกึ่งฉงนกึ่งรำพัน
คล้ายกับได้ยินเสียงนึกคิดของไคลน์ แคทลียากล่าวพลางจ้องไปทางยักษ์ศิลาที่กำลังเข้าใกล้
“ฉันไม่เคยเผชิญหน้ากับสัตว์วิเศษประเภทนี้มาก่อน จึงต้องการทดสอบให้แน่ใจ”
สมเหตุสมผล… ไคลน์เงียบงัน
ขณะเดียวกัน แอนเดอร์สัน·ฮู้ดที่สำรวจยักษ์ศิลามาสักพัก ยกมือขึ้นและพูด
“ในหมู่พวกนาย ใครมีพลังพิเศษสายน้ำแข็งบ้าง”
“ฉัน” พลเรือเอกดวงดาวตอบเสียงสุขุม
เมื่อได้ยินคำตอบของเฮอร์มิท ไคลน์กลืนคำพูดที่ตนเตรียมจะเปล่ง
สำหรับชายหนุ่ม หากไม่ใช่เรื่องสำคัญ มันก็ไม่ต้องการพึ่งพาพลัง ‘ยุบพองหิวโหย’ สักเท่าไร แม้ว่าซอมบี้จะมีพลังอยู่ในขอบเขตของน้ำแข็งก็ตาม
บนเกาะร้างแห่งนี้ ไคลน์เชื่อว่าตนคงมิอาจอาหารที่เหมาะสมมาป้อนมันได้แน่!
แคทลียาหยิบม้วนคาถาสีเทาดำออกจากช่องกระเป๋าลับของเสื้อคลุมแม่มด ตามด้วยการพึมพำภาษาเฮอร์มิสโบราณ
“เยือกแข็ง!”
ท่ามกลางความเงียบ ม้วนคาถาถูกเพลิงสีฟ้าเย็นปกคลุม บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยแสงประกายแวววาวและใสกระจ่างราวกับแก้ว
พวกมันโปรยปรายลงบนร่างยักษ์ศิลาและเริ่มแช่แข็งเป้าหมายจนมีน้ำแข็งเกาะหลายจุด
เสียงน้ำแข็งกัดดังระงม ขณะยักษ์ศิลาย่างกรายออกจากขอบเขตเวทมนตร์ ก้อนน้ำแข็งเริ่มแตกออกทีละหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าผิวกายภายนอกสีเทาขาวของมันหมองลงเล็กน้อย การเคลื่อนไหวเชื่องช้าแตกต่างจากก่อนหน้า
ทันใดนั้น แอนเดอร์สันยกมือขึ้นประหนึ่งพิธีกรที่พยายามเรียกร้องให้ผู้ชมปรบมือ
ณ ฝ่าเท้าของยักษ์ศิลา เปลวเพลิงสีส้มอ่อนจนเกือบขาว ลุกโชนราวกับมันเหยียบลงบนกับดัก
ผิวกายภายนอกเริ่มผุดไอน้ำจำนวนมาก ก่อนจะแตกร้าวจนเกิดรอยแยกขนาดใหญ่
แอนเดอร์สันชักแขนขวากลับ หอกเพลิงสีขาวก่อตัวขึ้นบนฝ่ามือ
เปลวไฟปลายหอกเริ่มควบแน่นกลายเป็นจุดแสงขนาดเล็กที่ส่องสว่าง
คมหอกพุ่งแหวกอากาศ กระแทกใส่รอยแยกบนร่างกายยักษ์ศิลาอย่างแม่นยำ รูโหว่ดังกล่าวถูกเติมเต็มด้วยเปลวไฟแผดเผาในพริบตา
แอนเดอร์สัน·ฮู้ดที่เคยยืนอยู่ริมหาด คล้ายกับร่างของมันหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับหอกแสงเล่มเมื่อครู่ นักผจญภัยที่แข็งแกร่งที่สุดโผล่ไปปรากฏตัวด้านหลังยักษ์ศิลาได้อย่างน่าตะลึงงัน
มันกำหมัดซ้ายแน่น ท่อนแขนโป่งพอง ก่อนจะชกผ่านรูโหว่ตรงเข้าไปยังหัวใจของยักษ์ศิลา
การโจมตีอันเรียบง่ายดังกล่าวสร้างผลลัพธ์เหนือจินตนาการ ยักษ์ศิลาพลันแน่นิ่ง ร่างกายแตกร้าวจากด้านใน ก่อนจะสลายตัวกลายเป็นเศษดินหินในพริบตา
โจมตีจุดอ่อน… ไคลน์หรี่ตาลง
พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา ที่ยังยืนในจุดเดิม กล่าวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“ลำดับ 5 แห่งเส้นทางนักล่า ยมทูต… พวกเขาเชี่ยวชาญการหาจุดอ่อนของเหยื่อ”
ยมทูต… ผู้เก็บเกี่ยวชีวิต? งั้นก็ไม่น่าแปลกใจ… ไคลน์พยักหน้ารับเล็กน้อย
ในเวลาเดียวกัน แอนเดอร์สันกำลังนั่งยองลง มือควานหาบางสิ่งจากซากยักษ์ศิลา
จากนั้นก็หันหน้ามาด้วยรอยยิ้มจืดชืด
“สัตว์วิเศษปลอม”
หรืออีกนัยหนึ่ง ไม่มีของมีค่าให้เก็บเกี่ยว!
สิ้นเสียงแอนเดอร์สันอธิบาย เศษหินเลือนหายไปด้วยความเร็วที่มองทันด้วยตาเปล่า
“…”
ผู้ที่ถูกสาปให้อับโชคอย่างนาย ไม่ควรอาสาเปิดกล่องสมบัติหรือค้นหาของมีค่าจากศพ! ไคลน์อดไม่ได้ที่จะรำพัน
แอนเดอร์สันเดินกลับมาโดยยังไม่หยุดบ่น
“ปัญหาใหญ่ที่สุดของทะเลแห่งนี้ก็คือ ไม่ใช่สัตว์วิเศษทุกตัวที่จะมอบสมบัติ!”
คงเพราะสัตว์ประหลาดมายาตัวนี้เกิดจากฝีมือสัตว์วิเศษทรงพลัง หรือไม่ก็เกิดจากเศษเสี้ยวพลังและออร่าตกค้าง… ไคลน์มีทฤษฎีในใจ
ตลอดทางที่ล่องเรือผ่านมา มันพบเศษเสี้ยวพลังพิเศษของเส้นทางสุริยัน รัตติกาล วายุสลาตัน และผู้ชม โดยยิ่งสำรวจก็ยิ่งพบหลักฐานสนับสนุนแนวคิดของตน
เดิมที มันเชื่อว่าท้องทะเลแห่งนี้เคยเป็นสนามรบของเทพบรรพกาลจากยุคสมัยที่สองประกอบด้วยเส้นทาง ‘วายุสลาตัน’ ซึ่งเป็นของราชาเอลฟ์ ซอนญาธริม เส้นทาง ‘ผู้ชม’ เป็นของมหาราชามังกร แอนเคอร์เวล และเส้นทาง ‘รัตติกาล’ เป็นของหมาป่าแห่งการทำลายล้าง เฟรเกีย – หลังจากอ่านบันทึกเทพบรรพกาลที่เดอะซันน้อยคัดลอกมาให้ ไคลน์เริ่มคาดเดาพลังพิเศษและเส้นทางของเทพบรรพกาลแห่งยุคสมัยที่สอง
ทว่า ด้วยสภาพแวดล้อมที่ส่วนใหญ่เป็นกลางวันยามเที่ยง รวมไปถึง ‘ราชรถแห่งสุริยัน’ ที่เป็นทองคำล้วน ทฤษฎีดั้งเดิมของไคลน์จึงเริ่มสั่นคลอน เนื่องจากไม่มีเทพบรรพกาลตนใดจากทั้งแปดที่ครอบครองอำนาจบนเส้นทางสุริยัน
แต่เพียงไม่นาน ไคลน์เริ่มนึกถึงบิดาของอาดัมและอามุนด์ผู้มีสมญานามว่า ‘เทพสุริยันบรรพกาล’
หลังจากพระผู้สร้างองค์ดังกล่าวลืมตาตื่น และหลังจากการต่อสู้อย่างดุเดือด ท่านทำการทวงคืนพลังของเทพบรรพกาลกลับคืนมาเป็นของตน!
หมายความว่า นั่นคือที่มาของเศษซากสมรภูมิเทพแห่งนี้? ทันใดนั้น ภาพจิตรกรรมฝาผนังบางส่วนภายในซากปรักหักพังโบราณเอลฟ์ พลันผุดขึ้นในความคิดชายหนุ่ม
ซอนญาธริม ราชาเอลฟ์ และพระผู้สร้างของเมืองเงินพิสุทธิ์ หรือที่รู้จักในนามเทพสุริยันบรรพกาล กำลังเผชิญหน้ากันอย่างดุเดือด!
ขณะสมองไคลน์กำลังประมวลผล แอนเดอร์สันยิ้มอีกครั้ง พลางมองมาทางไคลน์และกล่าว
“ฉันต้องเรียกนายว่าอะไร”
“เกอร์มัน·สแปร์โรว์” ไคลน์แนะนำตัวเสียงห้วน
“เกอร์มัน·สแปร์โรว์?” แอนเดอร์สันผงะเล็กน้อย จึงค่อยกลับมาเป็นปรกติ “ฉันเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน นักผจญภัยที่เกือบล่าพลเรือโทโรคภัยสำเร็จ เจ้าของฉายานักผจญภัยที่บ้าคลั่งที่สุด! ย้อนกลับไปเมื่อเดือนก่อน ขณะเรือที่ฉันโดยสารแล่นผ่านเกาะรอสต์และโอลาวี ฉันนึกอยากจะนัดพบนายและดื่มทำความรู้จัก แต่ไม่รู้ว่าจะตามตัวได้ที่ไหน”
เมื่อเดือนก่อน? ฉันทำงานเป็นอาสาสมัครอยู่ที่โรงพยาบาล… ไคลน์พยักหน้าและตอบ
“รู้จักชื่อแล้วสินะ… หลังจากนี้ก็ไม่ต้องพยายามชวนคุย”
“…” แอนเดอร์สันยิ้มแห้ง “นั่นสินะ ความโชคร้ายจะทำให้คำพูดของฉันฟังดูแย่ลงเสมอ เลิกมองด้วยสายตาแบบนั้นสักที ฉันสัญญาว่าจะไม่พูดอะไรอีก ช่วยเก็บยันต์ในมือนายกลับเข้าไปก่อน”
สืบเนื่องจากยักษ์ศิลาปรากฏกาย ระยะเวลาสำหรับพักผ่อนหย่อนใจของเหล่าโจรสลัดจึงสั้นลง อนาคตกาลออกแล่นอีกครั้ง ตรงไปยังส่วนลึกของท้องทะเล
ตลอดทาง ไคลน์มักยืนบนดาดฟ้าในท่าพิงกราบเรือ คอยสังเกตการณ์ภาพรวมโดยรอบ ขณะที่แอนเดอร์สันเดินวกวนไปมาบนเรือเพื่อตีสนิทโจรสลัดอย่างเป็นมิตร
ไม่เลว… ด้วยวิธีนี้ เขาจะรับรู้สถานการณ์ปัจจุบันของอนาคตกาลได้เร็ว… ไคลน์ชำเลืองแอนเดอร์สันที่กำลังเมามายไปพร้อมโจรสลัดกลุ่มเล็กในมุมหนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจด้วยสีหน้าซับซ้อน
แน่นอน… ‘โจรสลัดที่แข็งแกร่งที่สุด’ ผู้นี้คงไม่ทราบว่า ในถังเหล้าเบียร์มียากล่อมประสาทที่ไม่รู้ว่าผลิตจากอะไรบ้างผสมอยู่… ไคลน์ฝืนกลั้นยิ้มขณะคิดถึงเรื่องตลก
อาศัยความช่วยเหลือจากแอนเดอร์สัน อนาคตกาลแล่นผ่านกระแสน้ำวนสองจุดที่หลบอยู่ในมุมอับสายตา รวมไปถึงซากปรักหักพังและราชวังลอยตัวอย่างราบรื่น มุ่งหน้าต่อไปบนน่านน้ำปลอดภัย
จากนั้นประมาณสามชั่วโมง ช่วงเวลากลางคืนมาเยือนอีกครั้ง
บนโลกความฝัน ไคลน์คืนสติกลับมาอย่างรวดเร็ว จึงลืมตาตื่นและมองไปรอบตัว
ทัศนียภาพของมันมีเพียงความมืดมิด มองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น
“…”
คงไม่ได้ตาบอดใช่ไหม… ไคลน์สงสัยตามสัญชาตญาณ ก่อนจะนำมือขวาล้วงกระเป๋าและหยิบกล่องไม้ขีด
สำหรับนักมายากล นี่สิ่งสำคัญสำหรับแทบทุกกลอุบาย
หลังจากหยิบก้านไม้ขีดและขูดขอบกล่องอย่างชำนาญ เปลวไฟสีจางปรากฏขึ้นตรงหน้าไคลน์
เมื่อเปลวไฟเริ่มขยายขนาด ฉากรอบข้างปรากฏขึ้นในลักษณะพร่ามัว
ที่นี่คือห้องขัง ห้องขังที่มีกรงเหล็ก!
เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง… ไม่ใกล้กับพลเรือเอกดวงดาวหรือห้องโถงภาพวาดที่มีแอนเดอร์สันอยู่… หมายความว่า เป็นการสุ่มจุดเริ่มต้นภายในขอบเขต? ขณะสมองกำลังประมวลผล ไคลน์สะบัดมือและดับก้านไม้ขีดที่กำลังจะไหม้นิ้ว
มือซ้ายชายหนุ่มพลันฉาบด้วยแสงแดดสุกสว่างและบริสุทธิ์ ดวงตาทั้งสองข้างคล้ายกับมีพระอาทิตย์ขนาดย่อส่วนฝังอยู่ด้านใน
อาศัยดวงวิญญาณ ‘นักบวชแสง’ ชายหนุ่มสามารถมองเห็นในที่มืดได้ด้วยพลัง ‘แสงศักดิ์สิทธิ์’
ขณะกวาดตาสำรวจ ไคลน์พบว่าห้องขังของตนมีขนาดไม่คับแคบจนเกินไป แต่พื้นห้องสกปรกและเต็มไปด้วยรอยเท้าที่ไม่รู้ว่าเป็นของใครบ้าง
เกือบทั้งหมดเป็นรอยเท้ามนุษย์ มีเพียงส่วนน้อยที่ใหญ่กว่าปรกติ อาจเป็นของคนยักษ์… ตรงมุมห้องมีเตียงเดี่ยวสภาพชำรุด กุญแจตกอยู่ข้างประตู มีใครบางคนหนีออกไปได้? ไคลน์เดินมายืนข้างกรงเหล็กและมองออกไปอย่างระมัดระวัง
ด้านนอกห้องขัง ความมืดมิดปกคลุมทางเดินที่ทำจากหิน ฝั่งตรงข้ามเป็นกำแพงเย็นที่ดูมั่นคงแข็งแรง ซ้ายและขวามือเป็นทางเดินยาวสุดสายตา คล้ายกับยังมีห้องขังแบบเดียวกันอยู่อีก
ไคลน์ดึงสายตากลับ หยิบกุญแจบนพื้นเพื่อไขปิดกรงเหล็กให้แน่นกว่าเดิม
มันมิได้พยายามเปิดประตูออกไปสำรวจ ตัดสินใจหมกตัวอยู่ในห้องขัง
ชายหนุ่มยังคงจดจำคำเตือนของวิล·อัสติน ‘อสรพิษแห่งชะตา’ ที่ห้ามสำรวจโลกความฝันได้อย่างแม่นยำ ด้วยเหตุนี้ แผนเดียวของไคลน์จึงเป็นการรอจนกว่าจะถึงช่วงเวลากลางวันอีกครั้ง!
ในเมื่อถูกส่งมาอยู่ในห้องขัง เราก็จะไม่ออกไปไหน… ไคลน์ทิ้งตัวลงตรงมุมห้องเพื่อนั่งบนเตียงสภาพชำรุด เพียงไม่นานก็กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับความมืดรอบตัว
ท่ามกลางความเงียบสงัด ไคลน์พลันเอียงศีรษะเนื่องจากได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบา
เสียงเท้าดังจากจุดห่างไกลอย่างเชื่องช้า และค่อย ๆ ขยับใกล้เข้ามาทีละนิด
……………………………………