Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 673 : อักษรเลือด
ต้นเถาวัลย์ที่ดูคล้ายกับบันไดพาไปสู่สรวงสวรรค์ ค่อยๆ ทิ้งตัวล้มลงทีละชั้นสองชั้น จนกระทั่งทั้งหมดหดกลับไปยังใต้ดิน
ไม่ว่าจะนักบุญมืดที่เป็นจิตหลัก หรือเลโอมาสต์ที่เป็นด้านดี ทั้งหมดหายตัวไปอย่างน่าฉงน เหลือเพียงพลเรือเอกดวงดาว แคทลียา ที่ยังยืนอยู่บนหินใหญ่ กวาดตาไปรอบตัวอย่างเหม่อลอย
ราชินีเงื่อนงำน่าจะดึงเลโอมาสต์จิตหลักและจิตด้านดีกลับความฝันตัวเองไปแล้ว… หรืออาจจะนำตัวไปที่อื่น เพื่อทดลองหาทางเข้าที่แท้จริงของดินแดนเทพทอดทิ้ง?
ดูเหมือนว่าทั้งสองบุคลิกจะมิอาจแยกกันอยู่คนละความฝัน ไม่อย่างนั้น ราชินีเงื่อนงำคงหาโอกาสสนทนากับเลโอมาสต์ด้านดีตัวต่อตัว หาทางช่วยอีกฝ่ายโค่นล้มปีศาจเพื่อแลกกับข้อมูลสำคัญ ไม่จำเป็นต้องดึงออกมาทั้งคู่ให้ยุ่งยาก…
มีโอกาสเป็นไปได้ค่อนข้างมาก ว่าถ้าต้องการกำจัดนักบุญมืด อาจต้องบุกรุกเข้าไปในซากปรักหักพังสักแห่งบนโลกความจริง… กระทั่งราชินีเงื่อนงำก็ยังไม่กล้าเสี่ยงในเรื่องนี้ เพราะมีโอกาสที่ราชินีเงื่อนงำด้านชั่วร้ายซึ่งยึดถือคติพจน์ ‘ทำตามใจอยาก และยิ่งต้องเดือดร้อนคนอื่นให้มากที่สุด’ จะถือกำเนิดขึ้น… ไคลน์เบือนสายตากลับพลางครุ่นคิด พยายามเพ่งไปทางอาคารใกล้กับประตูอารามสีดำ ที่นั่นมีหน้าต่างใสสูงจากพื้นจรดเพดาน แต่แบร์นาแดตไม่อยู่อีกแล้ว
ไคลน์ไม่เสียเวลามองหาอีกฝ่าย ไม่พยายามสืบสาวว่า ราชินีเงื่อนงำได้ข้อมูลใดจากเลโอมาสต์ด้านดีไปบ้าง เพราะชายหนุ่มยังไม่ลืมฐานะที่แท้จริงของเกอร์มัน·สแปร์โรว์
ข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูล!
นอกจากนั้น พลเรือเอกดวงดาวก็ทราบเป็นอย่างดีเช่นกัน ว่า ‘เดอะซัน’ แห่งชุมนุมทาโรต์อาศัยอยู่บนดินแดนเทพทอดทิ้ง จึงเป็นไปไม่ได้ที่มิสเตอร์ฟูลจะไม่ทราบวิธีเข้าถึงดินแดนดังกล่าว
ดังนั้น ข้ารับใช้มิสเตอร์ฟูลอย่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ต้องไม่มีแรงจูงใจในการสืบสาวเรื่องนี้!
แต่ละบุคลิกล้วนมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน… สามารถช่วยให้เราทำงานง่ายขึ้นในบางเรื่อง แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้บางเรื่องยากขึ้น นี่คือข้อเสียของผู้ไร้หน้า… ไคลน์เบือนหน้ากลับ มองไปทางภาพจำลองวังราชาคนยักษ์บนภูเขาฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง พบว่าแสงสนธยาที่เคยสาดค้าง ค่อยๆ ถูกคายกลับไปยังตำแหน่งเดิม
บนยอดเขาในละแวกใกล้เคียงกัน เหนือหินก้อนใหญ่เด่นตระหง่าน พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา บรรจงกลับไปอยู่ในท่านั่งอีกครั้ง กอดเขาของตัวเองอย่างแนบแน่น
…
กลางวันกลางคืนยังสลับกันอีกสามหน โดยที่เวลาจริงบนโลกภายนอกผ่านไปเพียงหนึ่งวัน
อนาคตกาลแล่นผ่านเกาะและซากปรักหักพังอันตรายหลายแห่ง หลีกเลี่ยงปัญหาซ่อนเร้นตามร่องน้ำปลอดภัยได้อย่างหมดจด จนในที่สุดก็กลับมายังบริเวณทางเข้าอีกครั้ง
ไคลน์และคนที่เหลือมองเห็นซากปรักหักพังแรกสุดซึ่งส่วนใหญ่จมอยู่ใต้น้ำ มองเห็นหินสีเทาก้อนใหญ่และเสาหินที่เรียงซ้อนกัน รวมไปถึงหลังคาทรงโดมด้านบนสุด
ย้อนไปในคราวก่อน ณ ที่นี่ ทุกคนได้ยินเสียงหายใจหอบดังกึกก้อง และผู้ไร้เลือดซึ่งเผชิญความเจ็บปวดมากกว่าใคร แจ้งว่ามีศพใครบางคนอยู่ในซากปรักหักพัง!
และศพนั้นเป็นเจ้าของลมหายใจเสียงดัง!
แต่สำหรับปัจจุบัน ซากปรักหักพังแสนอันตรายดังกล่าว มิได้ทำให้ทุกคนบนอนาคตกาลเกิดความหวาดหวั่น ตรงกันข้าม การมองเห็นมันย่อมหมายความว่า พวกตนกำลังจะได้ออกจากน่านน้ำแสนอันตรายและน่ากลัวแห่งนี้เสียที!
“หือ… ตรงนั้นมีเรือ!” นีน่าที่ปืนขึ้นหอสังเกตการณ์บนเสากระโดง จ้องไปทางซากปรักหักพังพร้อมกับตะโกนเสียงดัง
เรือ? ไคลน์เดินผ่านแอนเดอร์สัน·ฮู้ดไปยังหัวเรือ เพ่งมองอย่างตั้งใจ
ไม่ผิดจากที่ได้ยิน ด้านหลังต้นเสาและหินก้อนใหญ่ มีเรือใบเรียบง่ายสามเสากระโดงกำลังจอดแน่นิ่ง สืบเนื่องจากมีอุปสรรคกีดขวางการมองเห็น หากไม่เพ่งสายตาอย่างตั้งใจหรือมองจากมุมสูง คนบนอนาคตกาลก็คงยากจะหาพบ
เรือใบจอดนิ่งโดยปราศจากลูกเรือบนดาดฟ้า บรรยากาศอันเงียบงันดูลึกลับและน่ากลัวอย่างมิอาจหาคำมาบรรยาย
“ยังกับถูกซากปรักหักพังกินเข้าไป…” แอนเดอร์สันโน้มตัวไปข้างหน้า ส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ “บนน่านน้ำอันตราย หากไม่ใช่เกาะหรือซากปรักหักพังที่คุ้นเคย ห้ามเข้าใกล้โดยเด็ดขาด”
คนที่ทำมือร่างภาพจิตรกรรมของเทวทูตโชคชะตาในอากาศสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนาย ไม่มีสิทธิ์กล่าวคำนั้นออกมา… กลุ่มนักล่าสมบัติมากประสบการณ์ที่แสนทระนงตน สุดท้ายก็เหลือนายแค่คนเดียวไม่ใช่รึไง… ไคลน์มิได้หันหน้าไปมอง เพียงพึมพำในใจไม่กี่คำ
ขณะเดียวกัน พลเรือเอกดวงดาว แคทลียาที่เดินเข้ามาใกล้ มองไปยังเรือใบข้างซากปรักหักพัง
ตั้งแต่เริ่มจนจบ หญิงสาวมิได้ชายตามองเกอร์มัน·สแปร์โรว์แม้แต่น้อย คล้ายกับอีกฝ่ายไม่มีตัวตน
ความเงียบงันเข้าปกคลุมครู่หนึ่ง ก่อนที่แคทลียาจะยกมือถอดแว่นตาหนาเตอะออกจากดั้ง ดวงตาสีม่วงเริ่มมีการไหลเวียนอย่างเชื่องช้า คล้ายกับกำลังวาดสัญลักษณ์ซับซ้อนทีละอัน
ทันใดนั้น เหนือเรือใบที่ปราศจากมนุษย์ ดวงตายักษ์คู่หนึ่งพลันปรากฏกาย เป็นดวงตามายาสีม่วงเข้มกึ่งโปร่งแสง!
ดวงตากลอกไปมาอย่างเชื่องช้ารอบดาดฟ้า ก่อนจะมองเข้าไปในห้องโดยสาร
เป็นพลังพิเศษที่มีประโยชน์มาก… จะว่าไป พลังที่พลเรือเอกดวงดาวและราชินีเงื่อนงำแสดงให้เห็น ดูคล้ายกับเวทมนตร์สุดมหัศจรรย์ในเทพนิยายมากทีเดียว… ฟู่ว… อย่าบอกนะว่า ราชินีเงื่อนงำสามารถเสกมนุษย์ให้เป็นกบได้? นอกจากนั้น คำว่า ‘ส่องความลับ’ ในชื่อโอสถผู้ส่องความลับ มีแก่นแท้เป็น ‘ดวงตา’ เองหรือ? อา… ดวงตาของพลเรือเอกดวงดาวนับว่าค่อนข้างพิเศษ หลังจากนี้ เราคงต้องระวังตัวให้มากกว่าเดิม… ไคลน์ตั้งสมมติฐานในใจ รอผลลัพธ์เพิ่มเติมจากการสำรวจทางไกลของแคทลียา
ผ่านไปสักพัก ดวงตาสีม่วงของแคทลียาเริ่มอับแสง
หญิงสาวลูบหัวคิ้ว สวมแว่นกลับ หันไปพูดกับแอนเดอร์สัน·ฮู้ดและแฟรงค์·ลี
“บนเรือมีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล”
ขณะกล่าว หญิงสาวหยิบผงหลากสีจากกระเป๋าลับเสื้อคลุมทรงโบราณหนึ่งกำมือ ตามด้วยการโปรยไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เศษผงกระจายเต็มพื้น ก่อนจะขยับเขยื้อนเรียงตัวกลายเป็น ‘ภาพสี’
ฉากหลังคือห้องกัปตัน บนโต๊ะทำงานมีภาพถ่ายของชายคนหนึ่ง และบนผนังก็มีภาพวาดของชายคนเดียวกัน รูปลักษณ์เป็นดังนี้
ไหล่กว้าง ผมสีเหลืองอ่อน ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเหมือนกับชาวฟุซัค!
นี่มัน… ไคลน์รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตา ก่อนจะจำได้ทันทีว่าเคยพบที่ไหน
ย้อนกลับไปขณะอยู่ในเมืองนาสบนเกาะการ์กัส นักผจญภัยรายหนึ่งถูก ‘จิลเซียส’ ผู้ช่วยกัปตันของ ‘ราชาอมตะ’ วิ่งไล่เข้าไปในผับ ‘ลาร์ดาล’ เหยื่อพยายามร้องขอความช่วยเหลือจากคนของสหภาพนักผจญภัย โดยในตอนนั้น ท่ามกลางกลุ่มคนที่ยืนขึ้นเพื่อเสนอตัวช่วยเหลือ มีชายชาวฟุซัคคนหนึ่งดูเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ ร่างกายกำยำบึกบึน สูงเกินกว่าสองเมตร ไคลน์ประเมินว่าอีกฝ่ายคงฝีมือไม่ธรรมดา และกะเกณฑ์ว่าอาจมีลำดับ 6 เป็นอย่างน้อย!
เหตุใดเรือของเขาถึงแล่นเข้ามาในทะเลแถบนี้อย่างกะทันหัน แถมยังสำรวจซากปรักหักพังอันตรายโดยไม่ระวังตัว? ไคลน์ที่เกิดความสงสัย เพ่งมอง ‘ภาพวาด’ บนดาดฟ้าอย่างตั้งใจมากขึ้น
ในหนนี้ ชายหนุ่มมองเห็นบ่อเลือดเจิ่งนองบนพื้นห้อง ข้างบ่อมีอักษรเลือดภาษาฟุซัคเขียนไว้
“น้ำพุไม่แก่เฒ่า…”
หางของตัวอักษรสุดท้ายลากยาวมาก เชื่อมไปจนถึงบานประตู
ไคลน์พอจะคาดเดาเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุได้ ผู้วิเศษลำดับ 6 ชาวฟุซัคถูกโจมตีโดยไม่ระวังและล้มลงไปนอนกับพื้นในสภาพปางตาย แต่ขณะพยายามเขียนอธิบายสาเหตุการตาย เขาถูกใครบางคนจับศีรษะหรือไม่ก็ขา ลากตัวออกไปทันที!
เมื่อพิจารณาว่าอักษรเลือดเหล่านี้ยังไม่ถูกลบออก ไคลน์สงสัยว่า ผู้ที่ลากตัวนักผจญภัยออกไปอาจไม่ใช่มนุษย์
คงเป็นศพในซากปรักหักพังกระมัง… ชายหนุ่มครุ่นคิดด้วยความรู้สึกคันฟัน
“น้ำพุไม่แก่เฒ่า? พวกเขามาที่นี่เพื่อตามหาน้ำพุไม่แก่เฒ่าหรือ?” แอนเดอร์สัน·ฮู้ดกล่าวด้วยเสียงตื่นเต้น
“น่าจะใช่… แต่พวกเขาคงหาไม่พบ” แฟรงค์·ลีส่ายศีรษะอย่างผิดหวัง
ตัวแฟรงค์เองก็ปรารถนาน้ำพุไม่แก่เฒ่าอย่างมาก เนื่องจากของเหลวดังกล่าวคือวัตถุดิบในอุดมคติสำหรับการวิจัย
น้ำพุไม่แก่เฒ่า… ในตอนนั้น นักผจญภัยหนุ่มถูกไล่ล่าโดย ‘จอมเชือด’ จิลเซียส ผู้ช่วยกัปตันของราชาอมตะ… มีข่าวลือว่าราชาอมตะเคยดื่มน้ำจากน้ำพุไม่แก่เฒ่า… จิลเซียสมาเตือนเรา… เตือนเกอร์มัน·สแปร์โรว์ว่า อย่าสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของนักผจญภัยหนุ่มเด็ดขาด อ้างว่าเป็นความประสงค์ของราชอมตะ… ไคลน์ประกอบข้อมูลเข้าด้วยกันอย่างหงุดหงิด
นักผจญภัยหนุ่มคงขโมยหรือได้ฟังความลับของ ‘น้ำพุไม่แก่เฒ่า’ มาจากคนใกล้ตัว ‘ราชาอมตะ’ จึงถูกตามล่าตัว แต่ภายใต้ความคุ้มครองของกลุ่มผู้วิเศษที่ค่อนข้างมีฝีมือจากสหภาพนักผจญภัย นักผจญภัยหนุ่มจึงรอดพ้นจาก ‘จอมเชือด’ จิลเซียสอย่างหวุดหวิด หลังจากนั้น เจตนาหนึ่งต้องการหลบหนีจากราชาอมตะ อีกเจตนาหนึ่งคือการตามหาน้ำพุไม่แก่เฒ่า สุดท้ายจึงเลือกเดินทางเข้ามาในน่านน้ำอันตรายและถูกซากปรักหักพังกลืนกิน…
หรือว่าน้ำพุไม่แก่เฒ่าจะอยู่ในส่วนลึกของซากปรักหักพังนี้? ไคลน์จ้องต้นเสาและก้อนหินสีเทาที่เรียงรายซ้อนกันเป็นยอดสูง ตั้งสมมติฐานในใจอย่างคลุมเครือ
เนื่องจากเป็นเรื่องยากที่จะยืนยันทฤษฎี เพราะไม่ทราบว่าศพในซากปรักหักพังเป็นใคร ไคลน์จึงไม่อยากเข้าไปสำรวจและเพิ่มความเสี่ยง ทำเพียงถอนสายตากลับตามสัญชาตญาณ
เราสามารถถามวิล·อัสตินและ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสได้ในภายหลัง… อา… บางที สิ่งที่ถูกเรียกว่า ‘น้ำพุไม่แก่เฒ่า’ อาจเป็นบ่อหนองสกปรกซึ่งเกิดจากซากศพเน่าเปื่อย… ไคลน์ลองเดาในแง่ร้าย
ขณะเดียวกัน พลเรือเอกดวงดาว แคทลียาที่ได้ยินคำพูดของแอนเดอร์สันและแฟรงค์ ครุ่นคิดสักพักก่อนจะกล่าว
“หากเขากำลังจะตายขณะตามหาน้ำพุไม่แก่เฒ่าจริง… ฉันไม่คิดว่าเจ้าของภาพถ่ายและภาพวาดคนนั้น จะยังมีกะจิตกะใจทิ้งเบาะแสให้คนที่ผ่านมาพบศพเห็น เพราะในสถานการณ์เช่นนี้ คนแรกที่มาถึงศพย่อมไม่ใช่ญาติมิตรหรือครอบครัว”
สมเหตุสมผล… หากเปลี่ยนเป็นเรา… ถ้าต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดระหว่างตามหาสมบัติและใกล้ตายเต็มที ความคิดแรกคงไม่ใช่การทิ้งเบาะแสให้คนข้างหลังแน่… ไคลน์ส่ายหน้าเล็กน้อย พยายามมองหาเหตุผลอื่นมารองรับ แต่สุดท้ายก็ไม่พบ
แคทลียาชำเลืองไปทางแอนเดอร์สันและแฟรงค์ที่กำลังเผยสีหน้าคาดหวัง
“หากต้องการสำรวจอย่างมีประสิทธิภาพ เราต้องเตรียมความพร้อมและรวบรวมข้อมูลให้ครบถ้วนเสียก่อน ตอนนี้จึงไม่ใช่โอกาสที่เหมาะสม”
เสียงของหญิงสาวดังกังวานไปทั่วทุกมุมเรือ
“แล่นเรือต่อ… ออกจากทะเลแห่งนี้!”
“รับทราบ กัปตัน!” นีน่าที่กำลังยืนบนหอสังเกตการณ์เสากระโดง ตะโกนพร้อมจิบเหล้าเข้าปาก
ไม่กี่นาทีถัดมา ฉากการร่วงหล่นและการลอยตัวอันเหนือสามัญสำนึกได้เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่อนาคตกาลมิได้อยู่ในสภาพน่าสมเพชเหมือนหนแรก การร่อนลงจากหน้าผาสูงกลายเป็นเรื่องง่ายดายและราบรื่น
เพียงพริบตา อนาคตกาลกระแทกลงบนผิวน้ำทะเลสีคราม ไกลออกไปมีพายุลูกใหญ่กำลังปกคลุมท้องฟ้าในแถบนั้น
ไม่ห่างออกไปนัก เรือใบลำหนึ่งกำลังลอยตัวอย่างเงียบเชียบ ลำเรือยาวเกือบสองร้อยเมตร หัวเรือและท้ายเรือโก้งโค้งขึ้นคล้ายพระจันทร์เสี้ยว
เมื่อพบว่าใบเรือของอีกฝ่ายเป็นสัญลักษณ์หลุมศพสีดำ ถ้อยคำหนึ่งพลันผุดขึ้นในใจไคลน์
“ผู้แจ้งความตาย!”
เรือธงของ ‘ราชาอมตะ’ อาการิธ!
ในวินาทีนี้ จิตใจชายหนุ่มปราศจากความตื่นตระหนกหรือหวาดกลัวทั้งปวง มีเพียงความตื่นเต้นที่มาพร้อมกับการสูบฉีดอันร้อนแรงของเลือด!
ราชินีเงื่อนงำอยู่บนเรือ และเธอไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอีก… นอกจากนั้นยังมีเรา พลเรือเอกดวงดาว แอนเดอร์สัน·ฮู้ด และลูกเรืออนาคตกาลอีกมาก โอกาสจมเรือธงของราชาอมตะมาถึงแล้ว! ขณะเดียวกันเป็นแหล่งอาหารของยุบพองหิวโหย! รวมไปถึงการเฟ้นหาหุ่นเชิดตัวแรกของเรา!
แต่ทันใดนั้น ‘แจ้งมรณะ’ พลันหันหัวกลับ ก่อนจะแล่นจากไปด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง
น…หนี? ไคลน์ยื่นเหม่อสักพัก
เพียงพริบตา แจ้งมรณะแล่นหายไปจากการมองเห็นของชายหนุ่มโดยสมบูรณ์
………………………………………….